Home คลังหลอน พิธีกรรมหลบยมบาล ถ้าทำแบบนี้แล้ววิญญาณจะอยู่กับที่ ไม่มีใครเห็น และจะไม่ถูกยมทูตพาตัวไปไหน

พิธีกรรมหลบยมบาล ถ้าทำแบบนี้แล้ววิญญาณจะอยู่กับที่ ไม่มีใครเห็น และจะไม่ถูกยมทูตพาตัวไปไหน

พิธีกรรมหลบยมบาล ถ้าทำแบบนี้แล้ววิญญาณจะอยู่กับที่ ไม่มีใครเห็น และจะไม่ถูกยมทูตพาตัวไปไหน

เรื่องที่จะเล่าวันนี้เป็นประสบการณ์หลอนที่ ครูตรี ได้รับฟังมาจากพี่ท่านหนึ่ง ซึ่งรู้จักกันทางเฟสบุ๊ค ในกลุ่มพระเครื่องเครื่องรางของขลัง รู้จักกันมาเกือบจะ 2 ปีแล้ว ซึ่งพี่ท่านนี้ได้เป็นคนถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้ครูตรีฟัง พอครูตรีได้ฟังแล้วก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก เกิดมาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ก็เลยขออนุญาตนำมาถ่ายทอดในรายการ พาเที่ยว เลี้ยวไปหลอน ครูตรีได้เล่าให้ฟังว่า…

เรื่องนี้เป็นเรื่องของคุณอนุชิต ขอเรียกสั้นๆว่า พี่ชิต แกเล่าให้ฟังว่า ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว บ้านพี่ชิตอยู่ที่จังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน ถ้าเราลองจินตนาการดู ในสมัยเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ถนนหนทางในต่างจังหวัด ยังไม่ได้มีการลาดยางเหมือนสมัยนี้ ทางเข้าหมู่บ้านจึงไม่ค่อยดี ไฟส่องสว่างข้างทางไม่ต้องพูดถึงเลย ไม่มีแน่นอน 

พอตกมืดหน่อย บ้านแต่ละหลังจะพากันจุดตะเกียง ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน เสร็จแล้วก็จะปิดไฟเข้านอนกันแต่หัวค่ำ ดังนั้นเวลาเกิดเรื่องอะไรก็แล้วแต่ในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย วัดจะเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้าน ถ้ามีเรื่องอะไรก็จะไปปรึกษาหลวงพ่อที่วัด นี่คือวิถีชีวิตของชาวบ้านในสมัยนั้น

พี่ชิตอยู่ที่บ้านกับครอบครัว จนกระทั่งวันหนึ่ง พ่อแม่อยากให้พี่ชิตบวช พิชิตก็งงว่าจะให้แกบวชทำไม ในเมื่อแกก็เคยบวชให้แล้ว ตอนนี้ก็อายุ 26 แล้ว ทำไมแม่ยังจะให้แกบวชอีก แม่ก็เลยบอกกับพี่ชิตว่า หลวงพ่อที่วัดทักมาว่า ดวงพี่ชิตควรจะต้องบวช เพราะมีเจ้ากรรมนายเวรกำลังตามอยู่ ถ้าไม่บวชไม่สร้างบุญเพิ่ม อาจจะมีเคราะห์ถึงชีวิต 

ครูตรีก็เลยถามพี่ชิตว่า “เอาตรงๆนะพี่ พี่เชื่อคำที่พระบอกไหม” พีชิตก็ตอบว่า “ตอนนั้นมันก้ำกึ่งนะ แต่เมื่อลองมาย้อนคิดทบทวนดูว่า ในช่วงเวลานั้นเจออะไรแปลกๆไหม ก็มีหลายเหตุการณ์อยู่นะ เช่นเจอเงาคนแว๊บไปแว๊บมา ได้ยินเสียงแปลกๆ หรือเห็นอะไรแปลกๆผ่านทางหางตา บางครั้งก็ได้ยินเสียงพึมพำแว่วลอยมากับลม แต่จับใจความไม่ได้ บางครั้งก็จับใจความได้ว่าเป็นเสียงที่เรียกชื่อพี่ บางทีก็ฝันแปลกๆ ว่าเจอผู้ชายหน้าตาน่ากลัวมาเดินตามในความฝันก็มี แต่ด้วยความที่มันไม่ชัดเจน พี่ก็เลยคิดว่ามันน่าจะเป็นอะไรที่เพ้อไปเอง หลอนไปเอง หรือคิดไปเอง” 

พี่ชิตเล่าให้ฟังว่า ตอนแรกยังไงพี่ชิตก็ไม่ยอมบวช แต่สุดท้ายพ่อกับแม่ก็มาขอร้องทั้งน้ำตา เหมือนประมาณว่าบวชให้พ่อกับแม่เถอะ พ่อกับแม่ห่วงลูกจริงๆ สุดท้ายพิชิตก็เลยคิดว่า ถ้าพ่อแม่ขอร้องขณะนี้ บวชให้ก็ได้ ในที่สุดพี่ชิตจึงตัดสินใจบวช 

พิธีการบวชเป็นไปอย่างเรียบง่ายมาก ซึ่ง ณ จุดจุดนี้  พี่ชิตใช้เวลาปรับตัวไม่นาน เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยบวชมาแล้วหนนึง ดังนั้นการบวชครั้งนี้ ก็แค่ไปหาหลวงพ่อที่วัด โกนหัวทำพิธีอะไรเสร็จก็เข้าวัด จากนั้นหลวงพ่อก็พาพี่ชิตไปที่ด้านหลังวัด ซึ่งด้านหลังวัดจะเป็น สถูปเจดีย์เก็บกระดูก ตามกำแพงจะเป็นช่องเก็บกระดูก ใกล้ๆกันจะมีที่วางโลงศพ ที่เตรียมไว้ทำพิธีศพต่อๆไป 

หลวงพ่อได้พาพระชิตไปหาลุงคนหนึ่ง ชื่อว่า ลุงปักษ์ หลวงพ่อบอกพระชิตว่า ลุงปักษ์เป็นสัปเหร่อของที่วัด ระหว่างนี้หลังจากที่ทำวัตรสวดมนต์เสร็จในแต่ละวันแล้ว ให้พระชิตมหาลุงปักษ์ทุกวัน วันละ 2 ช่วงเวลา คือตอนเช้าหลังฉันเช้า 1 ครั้ง และหลังทำวัตรเย็นอีก 1 ครั้ง ซึ่งพระชิตก็รับปากหลวงพ่อ เพราะเข้าใจว่าจะให้มาช่วยงานลุงปักษ์ คงจะมีคนทำงานในส่วนนี้ไม่พอ จึงให้ตนมาช่วยยกศพคนเข้าโรง หรือมัดตราสังอะไรก็แล้วแต่ 

พ่อครูตรีเล่ามาถึงตรงนี้ ก็ถามคุณเนตรผู้ดำเนินรายการว่า เคยได้ยินไหม หลังจากที่คนเสียชีวิตไปแล้ว 3 วัน 7 วัน บางคนจะพึ่งรู้ตัวว่าเสียชีวิต แล้วพวกเขาจะมาบอกลาญาติพี่น้อง จากนั้นจะมียมทูตมารับตัวไป นี่คือความเชื่อที่พวกเราเคยได้ยินมา ซึ่งพระชิตก็เคยได้ยินมาแบบนี้เช่นกัน แต่เรื่องแปลกที่ครูตรีจะเล่าให้ฟังมันมีอะไรมากกว่านี้

พระชิตเล่าต่อว่า วันรุ่งขึ้นหลังจากฉันเช้าเสร็จ ก็ไปหาลุงปักษ์ ซึ่งลุงปักษ์ก็ยืนรออยู่ข้างโลงศพโลงเดิม ลุงปักษ์ก็ได้นำพระชิตสวดมนต์ เผื่อแผ่เมตตาให้ศพที่อยู่ในโลง พระชิตก็เริ่มสวดมนต์และแผ่เมตตาตาม  หลังจากแผ่เมตตาเสร็จ พระชิตก็คิดว่าพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงเตรียมตัวจะกลับกุฏิ แต่คิดผิด เพราะลุงปักษ์บอกกับพระชิตว่า จะต้องจัดการศพในโลง ให้ช่วยยกฝาโลงขึ้นหน่อย 

ตอนแรกพระชิตคิดว่า จะให้ช่วยจับหรือมัดตราสัง จึงตกลงช่วยลุงปักษ์เปิดฝาโลงขึ้นมา ภายในโลงเป็นศพที่ถูกห่อด้วยผ้าดิบเอาไว้ จากท่าพนมมือดูก็รู้ว่าศพถูกมัดตราสังอยู่แล้ว จากนั้นลุงปักษ์ก็แกะผ้าดิบที่พันตัวศพออก จนเผยให้เห็นใบหน้าของศพ เป็นหน้าของผู้ชายคนหนึ่ง มีใบโพธิ์ปิดตาทั้งสองข้างอยู่ ในปากมีเศษดินอยู่ บ่งบอกว่าถูกอุดไว้ด้วยดิน แต่ที่มันน่าแปลกและสยดสยองยิ่งกว่า คือริมฝีปากบนและล่าง ถูกเจาะและเสียบไว้ด้วยก้านธูปหลายก้าน ตั้งแต่ริมฝีปากซ้ายจนถึงริมฝีปากขวา 

พ่อพระชิตเห็นดังนั้นก็เลยถามลุงปักษ์ว่า ทำไมทำกับศพแบบนี้  ลุงปักษ์ก็บอกว่า มันเป็นความเชื่อว่า ถ้าทำแบบนี้แล้ววิญญาณจะอยู่กับที่ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครสัมผัสได้  และจะไม่ถูกยมทูตพาตัวไปไหน พอครบ 7 วันค่อยนำศพไปเผา แล้ววิญญาณจะขึ้นสวรรค์ เพราะว่ายมทูตตามตัวไม่เจอ 

สาเหตุที่ให้พระชิตมาช่วย เนื่องจากลุงปักษ์แก่แล้ว เปิดโลงและทำพิธีทั้งหมดคนเดียวไม่ไหว พระชิตก็เลยถามว่า แล้วโยมจะให้อาตมาทำอะไร ลุงปักษ์ก็บอกว่าจะให้ช่วยเปลี่ยนใบโพธิ์ เพราะว่าใบโพธิ์ที่ปิดตาศพนั้นต้องเปลี่ยนทุกวัน ในพิธีระหว่างที่เปลี่ยนใบโพธิ์เก่าออก ใบใหม่จะต้องทับต่อทันที มือซ้ายต้องเอาใบโพธิ์เก่าออก มือขวาต้องเอาใบโพธิ์ใหม่วางต่อทันที ไม่ให้มีช่องว่าง  ถ้าเกิดช่องว่าง เดี๋ยววิญญาณจะรู้ว่าตัวเองถูกสะกด และยมทูตเองก็จะเห็นวิญญาณดวงนั้นเหมือนกัน 

ด้วยความที่พระชิตไม่เคยได้ยินพิธีกรรมนี้มาก่อน แต่ในเมื่อลุงปักษ์บอกให้ช่วย พระชิตก็จำเป็นต้องช่วย ซึ่งวิธีนี้ต้องทำทั้งหมด 7 วัน ถึงจะเป็นอันเสร็จพิธี แต่ศพนี้เพิ่งตายได้แค่ 2 วัน เท่ากับว่ายังเหลืออีก 5 วันที่ต้องทำพิธี 

ครูตรีก็ถามพี่ชิตว่า เอาตรงๆนะพี่ ตอนนั้นรู้สึกกลัวไหม กับการที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ พิชิตก็บอกว่า กลัวมากครับ 

พระชิตก็ถามลุงปักษ์ว่า “ลุง แล้วพิธีแบบนี้ใครเป็นคนช่วยลุงทำ” ลุงปักษ์ก็บอกว่า “ทุกทีในพิธีศพจะมีเด็กวัดมาช่วย แต่ตอนนี้มันไม่อยู่แล้ว เพราะมันนอนอยู่ในโลงนี่ไง” แล้วลุงปักษ์ก็ชี้ลงไปในโรง เท่ากับว่าศพที่อยู่ในโลงนั่นก็คือศพของเด็กวัดนั่นเอง 

ลุงปักษ์เล่าให้ฟังว่า “มันถูกงูกัด กว่าคนจะไปเจอมันก็นอนตายอยู่แล้ว ลุงก็เลยเอามาไว้ในโลงศพ แล้วมาทำพิธีให้นี่แหละ อย่างน้อยมันจะได้ไปสวรรค์” พระชิตให้ฟังอย่างนั้น จึงช่วยเปลี่ยนใบโพธิ์และสวดแผ่เมตตาจนเสร็จ แล้วปิดฝาโลง 

พอทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย พระชิตก็รีบไปหาหลวงพ่อ เพื่อถามหลวงพ่อถึงเรื่องทั้งหมดที่ไปเจอมา หลวงพ่อก็บอกว่า จริงๆแล้วพิธีนี้มันเป็นความเชื่อของลุงปักษ์เอง ถ้าเขาทำแล้วเขาสบายใจก็ช่วยเขาไปเถอะ เพราะมันไม่ได้เดือดร้อนอะไรใคร ตกเย็นก็ไปหาลุงเขาอีกนะ หลวงพ่ออยากให้พระชิตไปฝึกเพ่งอสุภกรรมฐาน  จากศพเด็กวัด เพื่อปลงสังขารและตัดความยึดติด 

“การฝึกเพ่งอสุภกรรมฐาน คือการที่เราเพ่งศพที่เกิดการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ในวันแรกๆศพก็อยู่ในสภาพที่ดีหน่อย พอวันเวลาเปลี่ยนไป ศพก็จะเริ่มขึ้นอืดและเน่าเปื่อยไปตามกาลเวลา อะไรที่เคยสวยงามก็จะเริ่มไม่สวย ดังนั้นถ้าเรามองว่ามันเป็นความเป็นไปของธรรมชาติ เราก็จะเริ่มปลงและตัดขาดความยึดติด ว่านี่คือร่างกายของตัวเองได้”  

พระชิตก็รับปากหลวงพ่อ พอหลังจากสวดมนต์ทำวัตรเย็นเสร็จ พระชิตก็ไปหาลุงปักษ์เหมือนเดิม ครั้งนี้ลุงปักษ์ใช่พระจิตช่วยเปิดฝาโลงอีกเช่นเคย จากนั้นพระชิตก็ยืนเพ่งมองศพของเด็กวัด เพื่อปลงสังเวช อยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะปิดฝาโลง แล้วจึงเดินกลับกุฏิ 

วันรุ่งขึ้น หลังจากที่พระชิตฉันเช้าเสร็จ ก็ไปช่วยลุงปักษ์เหมือนเดิม ทำทุกอย่างเหมือนเดิม คือเปิดโลง เปลี่ยนใบโพธิ์ที่ปิดตาศพ พอตอนเย็นก็ไปฝึกอสุภกรรมฐาน ในทุกๆวันที่ผ่านไป ศพก็จะเริ่มบวมอืด  เน่าเหม็นขึ้นเรื่อยๆ แต่ด้วยความที่ตัวพระชิตเองฝึกเพ่งอยู่ทุกวัน จึงเริ่มพอทำใจตรงนี้ได้ 

พอเล่ามาถึงตรงนี้ ตัวพี่ชิตเองก็ถามครูตรีว่า “ตรีคิดว่าทุกอย่างมันจะผ่านไปด้วยดีไหมครับ” ครูตรีก็บอกว่า “เท่าที่ฟังดู ผมคิดว่าพี่น่าจะชินแล้วนะ มันก็น่าจะจบ ไม่น่าจะมีอะไรแล้วล่ะ” แต่ตัวพี่ชิตเองกลับบอกว่า “มันไม่ใช่อย่างที่ตรีคิดน่ะสิครับ เพราะทุกอย่างมันกำลังแย่ลง 

ตอนนั้นเป็นวันที่ 7 ที่จะต้องเปลี่ยนใบโพธิ์ พี่ก็เอาใบโพธิ์ออกเหมือนทุกที และก็นำใบใหม่เปลี่ยนแทนใบเก่าเหมือนทุกครั้ง อย่างที่บอกไปในตอนแรกว่าใบโพธิ์ห้ามขาดช่วงกัน ดังนั้นมือซ้ายที่กดเอาใบโพธิ์เก่าออก และมือขวาที่กดเอาใบโพธิ์ใหม่วางลงไป พอเวลาที่เราออกแรงกดลงไปบนศพที่เริ่มอืดบวมเน่าแล้ว เนื้อมันก็จะเริ่มเละ พอกดใบโพธิ์ลงไปมันก็เลยบ๋อมลงไปในเบ้าตาหน่อยนึง 

คราวนี้พอเปลี่ยนใบโพธิ์ทั้งสองใบเสร็จ ก็ต้องนำผ้าดิบมามัดศพเหมือนทุกครั้ง แต่การมัดในครั้งนี้ พี่ก็ออกแรงเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา แต่เพราะศพมันเริ่มบวมอืดเต็มที่แล้ว มันเลยทำให้แรงจากการมัดผ้านะ ไปทำให้ใบหน้าศพที่บวมอืดอยู่แล้วทะลักออกมา ตาถลนออกจากเบ้า จนทำให้ใบโพธิ์หลุดออกมาด้วย 

สาบานเลยครู เป็นเพราะแรงดันจากในร่างกายศพหรืออะไรก็ไม่รู้ มันดันดินที่อุดปากทะลักออกมา ก้านธูปที่ปักอยู่ริมฝีปากก็หักออกมาด้วย พี่มั่นใจเลยว่า ในจังหวะที่ดินทะลักออกมาจากปาก พี่ได้ยินเหมือนเสียงกรีดร้องออกมา 

ตอนนั้น มือซ้ายพี่จับท้ายทอยศพอยู่ มือขวาจับตรงผ้า ด้วยความที่ตกใจ พี่ก็เลยปล่อยมือซ้าย ทำให้คอศพตกลงไปที่พื้นโลง จังหวะนั้น พี่เห็นหน้าศพมองมาที่หน้าพี่ชัดเจนเลย พี่ก็เลยรีบออกจากตรงนั้นแล้วไปหาหลวงพ่อ เพื่อเล่าเรื่องทุกอย่างให้หลวงพ่อฟัง หลวงท่านพ่อนิ่งเงียบไม่พูดอะไร สักพักลุงปักษ์ก็ตามเข้ามากราบหลวงพ่อ แล้วก็นั่งนิ่งเหมือนกัน 

แล้วหลวงพ่อก็บอกว่า ข้าบอกเอ็งแล้วนะไอ้ปักษ์ ว่ามันไม่มีอะไรหนีกรรมพ้น สุดท้ายหลานเองก็ต้องไปรับกรรมที่ตัวเองก่อไว้อยู่ดี 

ซึ่งพอเล่ามาถึงตรงนี้ พี่ชิตก็ขยายความให้ฟังว่า พี่ก็เพิ่งมารู้ทีหลังเหมือนกันว่า ศพเด็กวัดที่อยู่ในโลงนั้นคือหลานของลุงปักษ์เอง วันนั้นหลานของลุงปักษ์เอาไฟฟ้าไปช็อตปลา ระหว่างทางขากลับยังไม่ถึงบ้าน ดันถูกงูกัดตายเสียก่อน 

ด้วยความที่ลุงปักษ์เป็นสัปเหร่อมานานก็ได้วิชาสะกดวิญญาณนี้มาจากอาจารย์  ซึ่งที่ผ่านมาลุงปักษ์ไม่เคยใช้วิชานี้มาก่อนเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่แกใช้กับหลานตัวเอง ซึ่งก่อนจะทำแกก็ได้ไปขออนุญาตหลวงพ่อแล้ว สาเหตุที่หลวงพ่ออนุญาตก็เพราะว่า เพื่อความสบายใจของตัวลุงปักษ์เอง และเห็นว่าไม่ให้ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร ท่านก็เลยอนุญาต หลังจากเหตุการณ์นั้นลุงปักษ์ก็นำศพของหลานชายใส่โลง แล้วก็นำไปทำพิธีศพตามความเชื่อของแกต่อ

ส่วนสาเหตุที่หลวงพ่อให้พี่ชิตไปช่วย เพราะมองว่าวิธีนี้มันเป็นความสบายใจของลุงปักษ์ ส่วนประโยชน์ที่พี่ชิตจะได้รับคือการไปฝึกเพ่งอสุภกรรมฐาน ก็เลยอนุญาตไปตามนั้น 

หลังจากทำพิธีจนครบ 7 วัน เผาเสร็จ ลุงปักษ์ก็นำกระดูกใส่โกฐ ไปเก็บไว้ที่บ้านของแกเอง จากนั้นไม่นานลุงปักษ์ก็เสียชีวิตตามไปอีกคน คาดว่าน่าจะมาจากการตรอมใจหรือไม่ก็โรคชรา 

พอฟังมาถึงตรงนี้ ครูตรีก็เลยถามพี่ชิตว่า “แล้วพี่คิดว่าการทำพิธีต่างๆเหล่านี้ มันเหมือนกับการเล่นคุณไสย หรือการเล่นมนต์ดำต่างๆไหม เพราะว่าถ้าพิธีนี้ทำสำเร็จจริง ยมทูตมองไม่เห็น ดวงวิญญาณไม่ต้องลงไปรับโทษในนรกตามความเชื่อ แล้วได้ขึ้นสวรรค์ แล้วถ้าในกรณีที่ทำไม่สำเร็จล่ะพี่ คนทำพิธีไม่ต้องได้รับผลอะไรเลยหรอ เพราะถ้าเราพูดถึงเรื่องคุณไสยมนต์ดํา คนที่ทำจะต้องได้รับผลของมันเสมอ” 

พี่ชิตเงียบไปคู่นึง แล้วตอบครูตรีกลับมาว่า “คงต้องรับผลของมันแหละ เพราะพิธีนี้ถ้าเรามาคิดกัน มันเป็นการลบหลู่ยมทูตอย่างมากเลยนะ ดวงวิญญาณที่ทำพิธีนี้กับคนที่ทำพิธีนี้ ซึ่งก็คือหลานชายกับลุงปักษ์ คงต้องชดใช้ กลายเป็นสัมภเวสีทนทุกข์ทรมานไปเรื่อยๆ เพราะว่ายมทูตมารับตัวไปไม่ได้ ดวงวิญญาณพวกเขาก็คงต้องวนเวียนไปเรื่อยๆ” 

สาเหตุที่พี่ชิตพูดแบบนี้ เพราะวันนั้นครูตรีแหละพีชิตวิดีโอคุยกัน พี่ชิตก็หันหน้าจอส่องให้ดูในบ้าน ปรากฏว่าครูตรีสังเกตุเห็นภาพของชายแก่คนหนึ่ง และชายวัยรุ่นอีกคนหนึ่ง และก็มีโกฐกระดูกอยู่ด้านหน้า พีชิตบอกว่านั่นคือภาพของลุงปักษ์กับหลานแก สองคนนี้เขาไม่มีใครแล้ว พี่ชิตก็เลยเอากระดูกของพวกเขามาเก็บไว้ที่นี่ เพื่อจะได้ทำบุญให้เขาทุกวันด้วย แต่ทุกวันนี้พี่ชิตก็ยังคงได้ยินเสียงคนร้องไห้โหยหวน สลับกับร้องไห้เป็นระยะ 

เรื่องราวที่ครูตรีรับฟังมาจากพี่ชิตทั้งหมดในวันนั้นก็จะประมาณนี้ ซึ่งครูตรีก็คิดว่าเรื่องมันน่าจะจบแค่นี้ แต่หลังจากที่ครูตรีเล่าเรื่องนี้ที่รายการเดอะโกส ตัวพี่ชิตเองก็ได้โทรมาขอบคุณตรีที่นำเรื่องนี้ไปถ่ายทอด หลังจากที่พูดคุยสัพเพเหระกันเสร็จ เรื่องวันนั้นก็จบไป

วันเวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน พี่ชิตก็ติดต่อมาหาครูตรีอีกครั้ง เพื่อมาเล่าเรื่องนี้เพิ่มเติมให้ฟังว่า “ครูตรี เรื่องทั้งหมดมันยังไม่จบนะครับ เพราะว่าหลังจากเรื่องที่ผมเล่าไปในวันนั้น มีหลายคอมเม้นมากที่บอกว่าทำไมเอากระดูกคนอื่นมาไว้ในบ้านอย่างนั้น ทำไมไม่เอาไปไว้ที่วัด คุณไม่ใช่ญาติเอากระดูกมาเก็บไว้ได้ยังไง” 

วันนั้นหลังจากที่ครูตรีเล่าเรื่องนี้ในรายการเดอะโกสเสร็จ ก็มีหลายคนที่เป็นเพื่อนของพี่ชิต ได้ฟังเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ได้โทรไปถามพี่ชิต ส่วนใหญ่ก็ลงความเห็นกับพี่ชิตว่า ควรจะนำกระดูกของทั้งสองคนนั้นไปไว้ที่วัด ไม่ควรจะเก็บไว้ เพราะไม่ใช่ญาติของเขาเลย ให้เอาไปฝากไว้ที่หลวงพ่อวัดที่พีชิตบวชนั่นแหละ 

ตอนแรกๆพี่ชิตก็เฉยๆ แต่พอหลายคนทักมาหา พูดหลายๆคนเข้า ตัวพี่ชิตเองก็เลยตัดสินใจว่าจะทำตามคำแนะนำของทุกคน 

พี่ชิตได้นำโกฐกระดูกทั้ง 2 โกฐไปไว้ที่วัด  พอไปถึง ก่อนที่จะเดินเข้าไปถึงวัด ก็ได้เจอกับชาวบ้านแถวนั้นซึ่งรู้จักกัน ชาวบ้านได้เล่าให้พีชิตฟังว่า รู้ไหมว่าหลังจากที่ตัวลุงปักษ์กับหลานชายเสียชีวิตไปแล้ว ผีลุงปักษ์กับหลานชายเฮี้ยนมาก 

พีชิตก็เลยถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น ชาวบ้านบอกว่ามีคนเห็นวิญญาณของลุงปักษ์ วนเวียนอยู่แถวบ้านของแกเอง เดินไปเดินมาเหมือนกำลังหาอะไรสักอย่าง คนที่เจอจะได้ยินเสียงลุงปักษ์เรียกชื่อหลานแกแว้ว ๆลอยตามลม พร้อมกับเดินหาไปด้วย 

บางคนไม่ได้เจอลุงปักษ์ แต่เดินผู้ชายเดินเซไปเซมาตอนกลางคืน บางครั้งก็เจอแถวละแวกบ้านตัวเอง พอคนที่เห็นเขาก็ตะโกนถามว่านะ เฮ้ย!! นั่นใครนะ พอผู้ชายคนนั้นได้ยิน เขาก็จะหันหน้ามา บนใบหน้านั้นเบ้าตาลึกลงไปเลย ที่ปากมีก้านธูปเสียบเดียว ส่งเสียงแค่ อื้อ ๆ ได้แค่นั้น 

ซึ่งชาวบ้านก็ได้ไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อท่านก็บอกวา น่าจะเป็นดวงวิญญาณของลุงปักษ์กับหลานชายนั่นแหละ แต่เราทำอะไรไม่ได้ เขาต้องวนเวียนอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ เพราะมันคือเวรกรรมที่เขาก่อขึ้นมาเอง จนกว่าเขาจะหมดกรรมนั่นแหละ นี่คือข้อมูลที่พี่ชิตได้ฟังจากชาวบ้านแถวนั้น

หลังจากนั้นพี่ชิตก็เลยเอาโกฐกระดูกของทั้งสองไปให้หลวงพ่อที่วัด หลวงพ่อก็เลยนำไปเก็บไว้ที่เก็บกระดูกด้านหลังวัด 

หลวงพ่อบอกว่า อย่างน้อยถ้าเขาได้อยู่ในเขตวัด ได้ฟังเสียงสวดมนต์เรื่อยๆ พวกเขาก็ยังมีโอกาสได้อนุโมทนาบุญ เผื่อเขาจะหมดเวรหมดกรรมของตัวเองเร็วขึ้น…

เมื่อเราฟังจนจบมาถึงตรงนี้ ต้องบอกว่าสิ่งต่างๆนั้นมันไม่สามารถหนีเจ้ากรรมนายเวรได้ กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ ไม่ว่าเราจะหาวิธีหลบเลี่ยงอย่างไร แบบไหน มันก็ยังจะเกิดขึ้น ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว จงเชื่อเสมอในพลังแห่งความดี ว่าจะทำดีก็ต้องได้ดีเป็นธรรมดา 

แต่เรื่องพิธีกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ ผมก็เพิ่งเคยได้ยินเหมือนกัน มันเป็นพิธีกรรมที่แปลกมาก แต่สุดท้าย หลังจากที่ได้ทราบว่าวิญญาณของลุงสัปเหร่อและหลานชายของเขายังวนเวียนอยู่แถวไหน ผมคิดว่าพิธีกรรมนี้คงหลบหลีกยมทูตไม่ได้จริงๆหรอกครับ เขาทั้งสองคนน่าจะต้องวนเวียนอยู่บริเวณนั้นไปเรื่อย ๆ เพราะถ้าเขาไม่ได้ไปชดใช้กรรมของเขา เขาก็คงต้องวนเวียนอยู่อย่างนั้นไปอีกนาน

ขอบคุณเรื่องจาก พาเที่ยว เลี้ยวไปหลอน พิธีกรรมอาถรรพ์ – ครูตรี  ถอดความโดยคลังหลอน

***บทความ Rewrite ห้ามคัดลอกไปลงที่อื่น หรือนำไปดักแปลงลง Youtube 

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here