เรื่องเล่าจากรุ่นน้องของเพื่อนผมคนหนึ่งเมื่อครั้งที่เราไปช่วยงานขึ้นบ้านใหม่เพื่อนผม ยุทธ คือชื่อรุ่นน้องคนนั้น ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์เขียนเว็บไซต์อยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง เพื่อนผมเห็นว่าน้องมีประสบการณ์ผีเลยอยากมาเล่าเรื่องราวที่มันเจอมาเมื่อไม่นานให้ได้ฟังครับ
เมื่อเดือนที่แล้วทางบริษัทได้มีการจัดกิจกรรมงานปีใหม่และมีการประกวดชิงรางวัลกัน ยุทธมีความสามารถเล่นดนตรีคือกีตาร์ แถมร้องร้องเพลงเพราะจึงมีสาวๆในบริษัทชักชวนไปร่วมแสดง
ก่อนการจัดงานสองอาทิตย์รุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่สนิทกับยุทธเลยชวนไปเที่ยวที่อยุธยา เผื่อจะได้ตัดสินใจได้ว่าจะแสดงอะไรกับคนไหน ยุทธเห็นว่าเปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยวก็ดีเหมือนกัน
บ้านของพี่หวานอยู่ในสวนร่มรื่นมาก มีทั้งต้นมะพร้าว มะม่วง ต้นลีลาวดี ก้ามปู เฟื่องฟ้า กว่าจะไปถึงเวลาบ่ายคล้อยแล้ว
ยุทธมาที่นี่พร้อมกับเสื้อผ้าสองชุดและกีตาร์โปร่งหนึ่งตัว พอวางสัมภาระได้ก็ขออนุญาตพี่หวานเดินดูวิวสักหน่อย พี่หวานก็ยิ้มแล้วบอกอีกสักพักมาทานข้าวนะ ยุทธพยักหน้าให้พร้อมกับเดินออกไป
ทุกอย่างมันดูร่มรื่นไปหมด ต่างจากเมืองหลวงที่แสนจะวุ่นวาย ผ่านสุมทุมพุ่มไม้ไปก็เจอกับบ้านทรงไทยหลังน้อยสองชั้นหลังหนึ่ง มีต้นหูกวางอยู่หน้าบ้านแล้วถัดจากนั้นคือศาลาท่าน้ำติดคลองเล็กๆ
ยุทธรู้สึกถูกชะตาบ้านหลังนี้มากเลยถือวิสาสะเดินขึ้นบันไดไปพูดว่า “ขออนุญาตขึ้นไปบนบ้านนะครับ?” ไม่มีเสียงตอบรับ พอไปถึงชั้นสองมองเข้าไปเป็นบ้านแบบในละครสมัยก่อน เดินจนทั่วปรากฏไม่มีใครเลย
ความคิดของยุทธคือเดี๋ยวจะกลับไปขอพี่หวานมานอนที่นี่คืนนี้ พอลงมาถึงข้างล่าง หูได้ยินเสียงฮัมเพลงของผู้หญิงลอยมาตามลม “ฮือ ฮื่อ ฮือ ฮื่อ คะนึงถึงออเจ้าเอย” ยุทธหันกลับไปมองหาเจ้าของเสียงนั้น แต่คิดดูอีกที่หรือว่าอาจจะเป็นบ้านที่อยู่ใกล้กันกับบ้านหลังนี้
ยุทธเดินกลับมาถึงบ้านหลังใหญ่พอดี สำรับกับข้าวถูกวางไว้เต็มโต๊ะ มีแต่อาหารธรรมดาแต่น่ากินทั้งนั้น ผัดดอกโสนใส่ไข่ มะเขือยาวชุบไข่ทอดกับน้ำพริกกะปิ ต้มไก่ใบมะขามอ่อน
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วพี่หวานก็ถามว่าเป็นไงบ้านพี่น่าอยู่ไหม ยุทธยิ้มแล้วบอกว่า “น่าอยู่มากครับแต่พี่หวานคืนนี้ผมขอไปนอนบ้านหลังนั้นได้ไหม” แล้วก็ชี้นิ้วไปที่บ้านทรงไทยไกลๆนั้น
พี่หวานหันมองหน้าพี่พลสามีแกแล้วหันกลับมาถามยุทธว่า ทำไมอยากไปนอนที่นั่นล่ะ บ้านหลังนี้ก็ใหญ่นะนอนสบายด้วย ยุทธเลยถามว่ามีอะไรหรือครับพอดีผมรู้สึกถูกชะตา บรรยากาศก็ดี ว่าจะไปซ้อมร้องเพลงเล่นด้วย
พี่พลเลยบอกว่าบ้านหลังนั้นพึ่งจะมีคนตายเมื่อเดือนก่อนเป็นหลานสาวแกเอง นอนได้ ไม่กลัวแน่นะ ยุทธบอกว่าตั้งแต่เกิดผมยังไม่เคยเจอผีเลย และอีกอย่างผมมาดีน้องคงไม่มาหลอกผมมั้งครับ
เมื่อเกินจะทัดทานพี่หวานกับพี่พลเลยมาส่งยุทธที่บ้านหลังนั้น พอพี่ทั้งสองเดินกลับไปเขาเลยไปนั่งที่ศาลาริมน้ำ ด้วยอากาศเย็นสบายร่มไม้ชายคาเสียงน้ำไหลบวกกับการเดินทางอันเหนื่อยล้าทำให้เขาเผลอหลับไป
ยุทธฝันไปว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดไทยหน้าตาน่ารักทีเดียว เดินอยู่บนบ้านแล้วยิ้มให้เขา แต่อึดใจเดียวเธอก็เอามือทาบที่หน้าอกคล้ายกับคนที่หายใจไม่ออกแล้วล้มลงไป ในฝันเขาเหมือนจะวิ่งเข้าไปช่วยแต่ได้ยินเสียงพูดเสียงดังใส่หูว่า “ช่วยด้วยยยย!!!!!”
ยุทธสะดุ้งตื่นทันที เห็นว่าฟ้ามืดแล้วจึงเดินขึ้นบ้านไปเปิดสวิตซ์ไฟ บรรยากาศมันดูเหมือนสมัยก่อนมากเลย พลันหางตาเขาเห็นเหมือนผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านหลังไป จึงหันตามไปดูทันที แต่กลับไม่มีอะไร
ยุทธพยายามปลอบใจตัวเองคงจะตาฝาดมากกว่า จัดแจงชุดไปอาบน้ำเดินไปเข้าห้องน้ำ กำลังจะตักน้ำราดตัว จู่ ๆ ได้ยินเสียงผู้หญิงพูดว่า “น่าเกลียดจัง ทำอะไรก็ไม่รู้!”
ยุทธรีบเอาผ้าเช็ดตัวมานุ่งแล้วหันมองรอบๆ เปิดประตูออกมาถามว่า “ใคร! ใครครับ!” แต่ไม่มีเสียงตอบรับ ยุทธคิดในใจหรือว่าจะเป็นหลานสาวพี่พล คงไม่มั้งผีอะไรจะแซวคนได้
เขาอาบน้ำต่อจนเสร็จ พอขึ้นมาข้างบน มานั่งตรงชานชั้นสอง เอากีตาร์มาดีดเล่น ยังไม่รู้ว่าจะเล่นเพลงอะไร ก็มีสายเข้าจากแยมน้องสาวของเขาเองโทรเข้ามา แล้วเสียงเรียกเข้าก็เป็นเพลงออเจ้าเอยที่แยมชอบมากเป็นคนตั้งไว้ให้
ยุทธกำลังจะกดรับ แต่สังเกตว่ามีเสียงผู้หญิงร้องคลอไปกับเพลงนี้ พอกดรับสายคุยกับน้องสาวสักพัก เลยคิดว่างั้นเล่นเพลงนี้ดีกว่า เขาเริ่มดีดกีตาร์แล้วร้องไปเรื่อยๆจนถึงท่อนที่ว่า “กลัวฉันกลัวว่าจันทร์จะลาจากฟ้าไกล กลัวฉันกลัวว่าใจจะขาดเมื่อร้างลา กลัวฉันกลัวออเจ้าจะไกลไม่เห็นหน้า”
เขาทำปิ๊กกีตาร์หล่นเลยก้มลงไปเก็บแต่มีเสียงผู้หญิงกระซิบข้างหูว่า “กลัวชะตาจะมาพรากเรา” ยุทธหันไปมองที่ด้านหลัง เห็นผู้หญิงผมยาวใส่ชุดไทยยืนอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ เธอสวยมากแล้วก็มีเสียงออกมา
“เพียงลับตากระวนกระวายและร้อนรน เพียงมืดมนน้องจะทานทนได้หรือเปล่า เพียงยิ้มมาหัวใจเบิกบานคลายทุกข์เศร้า เราหนอเรา คะนึงถึงออเจ้าเอย”
ท่ามกลางความงุนงงราวถูกเธอสะกด ยุทธเห็นเพียงน้ำตาที่ไหลอาบแก้มสองข้างของเธอ ก่อนที่เธอจะค่อยๆทรุดลงเอามือทาบหน้าอกเหมือนกับในฝัน นาทีนั้นคือเขาต้องไปช่วยเธอก่อน พอวางกีตาร์วิ่งลงไปถึงศาลาปรากฏว่าเธอหายไปแล้ว จะบอกว่ากลัวก็กลัว งงก็งง คือมันตีกันไปหมดในหัว เดินกลับขึ้นมาดูเวลาแล้วสี่ทุ่มครึ่งเลยตัดสินใจเข้านอนดีกว่า
ยุทธตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะรู้สึกว่าหมอนที่หนุนมันไม่เหมือนเดิม ภาพที่เห็นตอนลืมตาคือเขานอนหนุนตักผู้หญิงคนนั้นที่ร้องเพลงออเจ้าเอยให้ฟัง คราวนี้เธอลูบหัวเขาเบาๆแล้วยิ้มก้มหน้าที่สวยหวานแต่แววตาเย็นยะเยือกเหลือเกิน ตาเธอถมึงทึงใส่ยุทธแล้วก็ร้องเพลงนี้อีกครั้งแต่คราวนี้เธอมีลูกคอเอื้อนเป็นทำนองไทยเดิมช่างโหยหวนยิ่งนัก
ยุทธขยับร่างกายไม่ได้มีเพียงตาสองข้างที่กลอกไปมา ตัวสั่นด้วยความกลัว คิดถึงบทสวดมนต์ทุกอย่าง พระคุณพ่อแม่ก็ยังไม่หลุด เธอก้มมาจนตาขาวกลายเป็นตาดำหมดทั้งสองดวงแล้วพูดว่า “หนูร้องเพราะไหมคะคุณพี่” แค่นั้นสติของยุทธก็ดับลงทันที
ยุทธถูกปลุกขึ้นมาในตอนเช้าที่แสงตะวันสว่างแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ พอหันไปเห็นพี่หวานเอาน้ำลอยดอกมะลิใส่ขันเงินพร้อมกับผ้าขนหนูสีขาวมาให้ บอกว่าน้ำมนต์นะ เอาเช็ดหน้าตาก่อนสิ เลยถามว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง พี่พลบอกว่าเขาเป็นคนอุ้มมาเอง
พี่พลบอกว่า ตอนที่เข้านอนแล้วหลับไป พี่พลฝันว่าคุณยายที่เสียไปแล้วมาบอกว่า ไอ้หนุ่มที่มาด้วยโดนอีนังหนูเล่นงานแล้วไปดูหน่อย พอตื่นมาตีห้ากว่าพี่พลเลยชวนพี่หวานไปดู ก็เห็นยุทธนอนตัวสั่นอยู่เลยอุ้มกลับมาบ้านหลังใหญ่ เอาสายสิญจน์ของหลวงตามาผูกแขนให้ถึงหยุดสั่น ยุทธยกข้อมือดูมีสายสิญจน์อยู่จริงๆ
เหมือนกับพี่หวานจะรู้ว่ายุทธจะถามว่าเขาเจออะไรเมื่อคืน แกเดินมาเล่าให้ฟังว่าที่เห็นคือหลานสาวของพี่พลชื่อว่า ดวงพร อายุ 19 ปี น้องเป็นคนสวยหน้าตาไทยๆ มีคนมาชอบพอหลายคน แต่น้องมีโรคประจำตัวคือโรคหัวใจและโรคซึมเศร้า
ประมาณต้นปีน้องบอกว่าได้คบกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งบอกว่าไว้ใจได้ แต่คิดว่าน้องคงพลาดไปมีอะไรกับเขา แล้วเหมือนทางผู้ชายจะเบื่อหรืออย่างไรไม่ทราบตีตัวออกห่าง แล้วประกอบกับที่มหาวิทยาลัยมีการแสดงละคร ซึ่งคณะเลือกเล่นเรื่องบุพเพสันนิวาส เธอได้รับบทเป็นแม่การะเกด ซึ่งดวงพรชอบบทนี้มากถึงขั้นแต่งตัวซ้อมบทอยู่บนบ้าน ร้องเพลงออเจ้าเอยทุกวัน
แต่คงเป็นโชคร้ายของเธอแฟนหนุ่มโทรมาขอบอกเลิกพร้อมกับสั่งห้ามติดต่อทุกทาง เธอช็อคแล้วพอตื่นมาก็เก็บตัวไม่ออกไปไหน พี่พลก็คอยมาหามาดูตลอดแต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจกินยาตาย
พี่พลมาเจอเธอนอนหมดลมหายใจพร้อมกับเพลงนั้นที่เปิดไว้ ที่จริงตั้งแต่งานศพเสร็จไป ไม่มีใครไปที่นั่นเลย ไม่ใช่เพราะกลัวแต่คิดถึงน้องมากกว่า ก็เตือนแล้วนี่นาแต่ว่าทำไมถึงมาหลอกยุทธได้
ยุทธยิ้มเจื่อนๆแล้วบอกว่าเมื่อคืนผมเล่นกีตาร์และก็ร้องเพลงออเจ้าเอยนี่ล่ะครับ สงสัยน้องคงมาตามเสียงเพลงสุดท้ายของเขา พี่หวานกับพี่พลได้แต่ส่ายหัวและก็พายุทธไปที่วัดทำบุญให้น้องดวงพร ก่อนที่เยุทธจะมาเก็บกระเป๋าและกีตาร์กลับกรุงเทพทันที เรื่องราวมีเท่านี้ครับ….
แเรื่องสยองของคนเห็นผี