Home กระทู้ผีพันทิป เดินทางกับศพ

เดินทางกับศพ

เดินทางกับศพ

วันนั้นเรา (เจ้าของกระทู้) ขับรถไปรับสามีที่ศูนย์ลูกเรือ  แต่เนื่องจากสามีติดธุระสำคัญอยู่ ทำให้ออกมาช้า สามีจึงให้คุณรปภ. เดินมาบอกว่าติดธุระสำคัญอยู่  เราก็อ่ะ โอเค ไม่เป็นไร รอในรถก็แล้วกัน  ตอนนั้นที่ไคโรเวลาตีสองกว่าๆ

นั่ง ๆ ไปซักพัก มีรถโรงพยาบาลขับผ่านไป เราก็มองตามวิสัยของมนุษย์ ที่สิ่งของเเล่นผ่านในระดับสายตา แต่ไม่มีการเปิดไซเรน เราก็ไม่แปลกใจ รู้ทันทีว่า ต้องมีเที่ยวบินใด เที่ยวบินหนึ่งมีศพนอนอยู่ในโลงมาด้วยแน่นๆ ซึ่งเป็นปกติของสายการบินพาณิชย์ 

โดยประสบการณ์ส่วนตัวของสามี และเวลาร้องตามไปเที่ยวด้วย จะเห็นทั้งเหยี่ยว หมา แมว นก เป็นปกติ แต่ศพนี้ยังไม่เคย (หรือเคยแต่ ผู้โดยสารอย่างเรา ๆ ท่าน ๆไม่รู้ ??)

เกริ่นก่อนว่าไฟทล์นี้เป็นไฟทล์หนึ่งจากตะวันออกกลาง มายังไคโร เป็นไฟทล์เสริมพิเศษ เพราะโดยสารเยอะมากมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ไฟทล์เสริมนี่เพียบเลย …

สามีเล่าว่า…พอเขารับกระดาษคือเอกสารรายงานจำนวนผู้โดยสาร จำนวนกระเป๋าสิ่งของ และสัมภาระ เอาเป็นว่ารายงานทุกอย่างจากมือผู้จัดการสถานีของเมืองนั้นแล้ว  ก็เห็นว่ามีระบุโลงศพ บรรทุกมากับสัมภาระด้วย ซึ่งสัตว์ และศพ นั้น ต้องแจ้งการรายงานพิเศษมายังกัปตันเท่านั้น ผู้ช่วยนักบิน (Co-Pilot) ไม่มีสิทธิตัดสินใจ หรือรับรู้โดยปราศจากกัปตัน  เนื่องจากต้องเช็คโลงว่า โอเคหรืออยู่ในสภาพดี ไม่มีผลต่อความปลอดภัยขณะทำการบิน 

หรือถ้ามีสัตว์มาด้วย ต้องเช็คอุหภูมิห้องสัมภาระด้วย ว่าต้องเพิ่มหรือลดหรือไม่ ซึ่งสัตว์บางชนิดเช่น เหยี่ยว ต้องปรับอุหภูมิให้สูงขึ้น เพราะมีผล เรื่องการช็อคของเหยี่ยว ถ้าเย็นเกินไปมาก ๆ

สามีเรารับหน้าที่เป็นกัปตันไฟทล์นี้ เลยเรียกหัวหน้าลูกเรือมา เพื่อแจ้งว่า วันนี้ มีโลงศพ พร้อมศพ มาด้วย…เมื่อประชุมกับลูกเรือเสร็จ โอเค เตรียมรอผู้โดยสารบอร์ดขึ้นเครื่อง  ระหว่างที่รอผู้โดยสารทยอยขึ้นเครื่องนั้น มีลูกเรือหญิงคนหนึ่งเป็นชาวอินเดีย เธอกลัวมากเมื่อรู้ว่ามีโลงศพมาด้วย…

เธอร้องไห้ เพื่อนร่วมงานก็ช่วยกันปลอบว่าเป็นอะไร เหนื่อยหรอ หรือว่าอะไร เธอก็ไม่ยอมบอกอะไรทั้งสิ้น จนเรื่องถึงสามี เลยถามว่าเป็นอะไร เธอสารภาพว่า กลัวศพ คือกลัวผี นั่นแหล่ะ  สามีเลยบอกว่า อ่า ถ้างั้นนั่งเป็น dead head ไปล่ะกัน คือขากลับไม่ต้องทำงาน ให้นั่งพัก หรือไปนอนในห้องพักลูกเรือ  เธอก็ขอบคุณแล้วก็ไปพัก..

ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี เครื่อง take off  ประมาณครึ่งชั่วโมงผ่านไป ลูกเรือเดินมาบอกสามีว่า มีผู้โดยสารหญิงชาวอียิปต์ร้องไห้ บอกว่าอยากกลับไปที่สนามบินที่เพิ่งจากมา เริ่มโวยวาย จนตำรวจ (ทุกเที่ยวบิน มีเจ้าหน้าที่หรือตำรวจนอกเครื่องแบบของสายการบินเดินทางไปด้วยทุกสายการบิน) เริ่มแสดงตน แล้วเข้าควบคุมสถานการณ์ 

สามีใช้ดุลยพินิจ เพราะเกี่ยวข้องเรื่องความปลอดภัย หากต้องติดต่อหอบังคับการบิน เพื่อกลับเข้าลงจอดอีกครั้ง แน่นอน เสียเวลาค่ะ …สามีเลยปล่อยให้ผู้ช่วยนักบิน ควบคุมเครื่อง แล้วเดินไปคุยกับผู้โดยสารคนนั้น 

ปรากฎว่าคุยไปคุยมา ทราบเรื่องว่า เธอเป็นเจ้าของโลงศพ ที่มากับเที่ยวบินนั้นด้วย แน่นอนสามีเลยเช็คกระดาษอีกครั้งว่า มีดีแคล์ว่ามีผู้แสดงตน เป็นเจ้าของในทรัพย์สินดังกล่าว เดินทางมาด้วยจริง

เธอบอกกับสามีเราว่า ศพในนั้นเป็นสามีของเธอเอง และระหว่างที่ผู้โดยสารทยอยขึ้นเครื่องนั้น ขณะเดินขึ้นเครื่อง สามีเธออยู่กับเธอตลอดเวลา 

เอาล่ะซิ!! สามีดิฉันไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ แต่เล่นเอาช็อค !! สามีเลยย้ายผู้หญิงคนนั้นมานั่งชั้นหนึ่ง เพราะมีที่ว่างอยู่สองที่ ให้เธอนั่งคนเดียว เผื่อเธออยากหลับหรือสบายใจขึ้น 

สามีบอกว่า ไม่อยากนำเครื่องกลับ เพราะจะเสียเวลากับผู้โดยสารท่านอื่น ๆ ซึ่งตอนนั้น ผู้หญิงคนนั้น เริ่มสงบแล้ว และสัญญาว่าจะไม่โวยวายอีก และทุกอย่างก็สงบโดยดี…สามีเดินกลับมาที่ห้องนักบิน เห็นผู้ช่วยนักบิน นำพระมหาคัมภีร์อัลกุอาน มาวางไว้ตรงคอนโชล สามีแอบขำ แต่ในใจจริง ๆ เขาเครียดค่ะ  ภาวนาให้ถึงที่ไคโรเร็ว ๆ  

พอเครื่อง Landing แล้วจอดหลุมเรียบร้อยแล้ว ผู้โดยสารทยอยกันออก ผู้หญิงคนนั้น ยังไม่ยอมลงค่ะ ลูกเรือบอกว่าถึงไคโรแล้ว สามีบอกว่าเธอเครียด เหมือนช็อค นั่งคุยคนเดียวด้วย เวลาสามีเดินผ่านไปห้องน้ำ ก็เห็นว่าเธอนั่งคุยคนเดียว …

สามีเดินเข้าไปบอกว่าถึงบ้านแล้ว เธอตอบมาว่า สามีเธอยังไม่ยอมลง อยากนั่งเครื่องบินต่อ เท่านั้นแหละ ลูกเรือสามคนกับผู้ช่วยนักบินและสามีดิฉัน ทุกคนมองหน้ากัน พูดไม่ออกค่ะ..เลยต้องแจ้งรถพยาบาลมานำตัวเธอไป 

ซึ่งเธอบอกว่า เธอต้องเป็นคนไปบอกสามีเธอเอง..เชื่อมั้ยค่ะ ขณะที่รุมผู้หญิงคนนั้นอยู่ ช่างเทคนิค พูดผ่านวิทยุสื่อสารว่า ต้องการญาติเจ้าของโลงศพ เพราะโลงถูกเปิดออก!! 

เท่านั้นแหล่ะ! ลูกเรือชาวอินเดียที่ไม่สบายอยู่ เป็นลมเลยค่ะ แล้วก็ตามด้วยลูกเรือผุ้หญิงอีกคนร้องไห้   ตอนนั้นสามีดิฉันไม่ไหวแล้วเหมือนกัน เดินไปหยิบคัมภีร์ แล้วเดินไปห้องน้ำเพื่อทำ วุดุ แล้วละหมาดทันทีบนเครื่องเลย…

ผู้หญิงคนนั้นก็ไปที่แผนกคลังสินค้ากับเจ้าหน้าที่พยาบาล เพื่อรับโลงศพ…สามีรีบลงจากเครื่องแทบไม่ทัน แต่ก็ยังช้ากว่าผู้ช่วยนักบิน เพราะผู้ช่วยวิ่งนำออกกันไปก่อนเลยค่ะ เพราะพอเครื่องบิน จอดหลุมเสร็จ ถ้าอยู่เกิน 20 นาที ไฟจะปิดอัตโนมัติ ต้องเปิดโดยช่างเครื่อง เพื่อเช็คเครื่องและเติมน้ำมัน

ทุกคนต้องมาที่ศูนย์ลูกเรือ เพื่ออยากรู้ว่าทำไมโลงถึงถูกเปิดออก ทั้ง ๆ ที ปิดล็อกด้วยสลักอย่างดี เธอให้การกับตำรวจว่า “สามีเธอไม่อยากนอนในโลง เขาเลยขอมานั่งที่ห้องผู้โดยสาร” ด้วย นั่นเป็นเหตุว่า พอย้ายเธอมาที่ชั้นหนึ่ง เธอจึงสงบ 

ระหว่างทางลูกเรือก็บอกว่า เห็นเธอนั่งบ่น นั่งคุยคนเดียว เพราะสามีสั่งให้ดูแลเธอให้ดี ….เมื่อลูกสาวผู้ตายมาถึงก็ขอโทษขอโผย และไม่ติดใจเอาความ เรื่องที่โลงถูกเปิดออก และไม่บอกว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร ทำไมผู้เป็นแม่ถึงเป็นแบบนี้ …จบ

อ่านจนจบแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้างครับ ส่วนตัวแอดมินอ่านแล้วนึกภาพตามไปด้วย แบบว่าระทึกมากเลยครับ อารมณ์เดียวกับตอนที่ดูหนังเรื่อง 4 แพร่งเลยทีเดียว ถ้าเป็นแอดมินที่กำลังจะเดินทางแล้วบังเอิญได้รู้ว่าจะมีศพอยู่บนเครื่องด้วย ถึงจะอยู่คนละชั้น คนละโซน คงต้องมีหลอน ๆ  อยู่ไม่สุขแน่ๆ 

ขอบคุณเรื่องจากพันทิป ลิงค์

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here