เรื่องที่แอดมินจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ของคุณ “พิมพลอย ผิวอ่อน” ที่เล่าไว้ในเพจ สยองขวัญวาไรตี้ โดยหลังจากที่ทางเพจได้โพสต์เรื่องราวดังกล่าวไปก็กลายเป็นกระแส จนมีผู้แชร์ต่อมากมายกว่า 20,000 ครั้ง เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้นไปฟังกันเลยดีกว่าครับ
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว แต่สำหรับคุณพิมพลอยยังคงจดจำไม่เคยลืม ต้องบอกก่อนว่าคุณพิมพลอยเป็นคนนครปฐม แต่ว่าย้ายมาอยู่กับแม่และครอบครัวใหม่ที่ จ.กาญจนบุรี พร้อมกับพี่สาวอีกหนึ่งคนชื่อ “น้ำอ้อย”
พี่น้ำอ้อยเป็นคนหน้าตาสะสวย จะบอกว่าระดับนางงามเลยก็ได้ค่ะ ความสวยของพี่สาวลือไปหลายหมู่บ้าน จึงไม่น่าแปลกใจที่มักจะมีหนุ่มๆ มารุมขายขนมจีบมากมาย
พี่น้ำอ้อยตัดสินใจมีครอบครัวเร็ว ตั้งแต่อายุแค่ 19 ปีเท่านั้น พี่น้ำอ้อยมีโรคประจำตัวตั้งแต่เกิด คือโรคลิ้นหัวใจรั่ว และเสียงที่แหบ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่กำเนิด ทำให้ทำอะไรก็เหนื่อยง่ายกว่าคนปกติ
ช่วงราวๆ ปี 2543 ก็ตั้งท้อง เมื่อใกล้ถึงกำหนดคลอดก็มีอาการปวดท้อง ทางบ้านจึงพาไปส่งที่โรงพยาบาลชุมชนแห่งนึงแถวบ้านโป่ง จ.ราชบุรี ซึ่งระหว่างนั้นคุณพิมพลอยกับแม่ก็ไปเยี่ยมพี่สาวบ่อยๆ
จำได้ว่าคืนนั้นเป็นคืนที่ 5 เวลาประมาณตี 3 คุณพิมพลอยตามไปดูแลพี่สาวกับแม่ ช่วงระหว่างรอพี่สาวคลอดก็กินเวลานานจนแม่เริ่มเบื่อ แม่ก็เลยชวนคุณพิมพลอยไปเดินเล่น แม่บอกว่าเดี๋ยวจะพาไปดูห้องศัลยกรรมรวมชาย เพราะแม่เคยมาเฝ้าญาติที่นั่น
ตอนนั้นคุณพิมพลอยก็เบื่อๆ จึงเดินตามแม่ไปดู พอเดินไปถึงห้องรวมศัลยกรรมชาย ก็เห็นทางเข้านั้นมืดสนิท แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าข้างในจะมีอะไร คุณพิมพลอยกับแม่ก็เลยเดินเข้าไปดู..
ยิ่งเดินลึกๆ เข้าไปในห้อง บรรยากาศคล้ายกับโรงพยาบาลร้างยังไงยังงั้นเลยค่ะ ในห้องมีเตียงผู้ป่วย เห็นขาตั้งและสายน้ำเกลือระโยงระยางไปหมด
คุณพิมพลอยเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีและ ก็เลยหันหลังกลับ เตรียมจะวิ่งออกจากห้องนั้น แต่พอแม่เห็น แม่ก็จับมือเอาไว้ บอกว่าไม่ให้วิ่ง ให้เดินเร็วแค่นั้นพอ
ซึ่งระหว่างที่คุณพิมพลอยเดินออกมาจากห้องนั้น ก็ได้ยินเสียงเครื่องช่วยหายใจของคนไข้ เสียงเริ่มดังแรงและก็ถี่มากขึ้นๆ ตามจังหวะฝีเท้าที่คุณพิมพลอยเดินออกมาเลย ความรู้สึกคือขนหัวลุกมาก..!
พอคุณพิมพลอยออกมาจากห้องศัลยกรรมชายแล้ว ก็เลยหันไปถามแม่ว่า “ทำไมเมื่อกี้ไม่ให้หนูวิ่ง” แม่บอก “ถ้าขืนวิ่งเราจะหัวโกร๋นเอา” คุณพิมพลอยก็เลยเข้าใจ แต่ก็แอบเคืองแม่นิดนึง ที่ทำไมถึงพาคุณพิมพลอยเข้ามาห้องนี้ทำไม
สักพักพยาบาลก็เดินมาบอก ให้คุณพิมพลอยกับแม่กลับบ้านไปก่อน เพราะคืนนี้พี่น้ำอ้อยยังไม่คลอด ก็เลยตกลงตามนั้น และอีกอย่างคุณพิมพลอยก็อยากจะกลับไปนอนที่บ้านเต็มทีแล้ว เพราะพรุ่งนี้ต้องไปเรียนด้วย
พอเช้าวันรุ่งขึ้นแม่ก็กลับมาดูพี่น้ำอ้อยที่โรงพยาบาลตามปกติ เห็นหมอบอกว่าพี่น้ำอ้อยจะคลอดตอนเก้าโมงเช้า ส่วนคุณพิมพลอยก็ตามมาดูภายหลังตอนเลิกเรียนแล้ว
รู้มาว่าพี่น้ำอ้อยตอนนั้นคลอดลูกแล้วเป็นเด็กผู้ชาย แต่ยังไม่มีใครเห็นหลานเพราะต้องเข้าห้องอบตัวก่อน
จังหวะที่คุณพิมพลอยเลิกเรียนแล้วไปหาพี่น้ำอ้อยที่โรงพยาบาล คุณพิมพลอยก็ต้องเดินผ่านห้องศัลยกรรมชายนั้นอีกครั้ง แล้วคราวนี้ก็ต้องตกใจเพราะเมื่อมองเข้าไปในห้อง กลับพบว่าสภาพห้องไม่ได้รกร้างแบบเมื่อคืนที่มาดูเลย แต่กลับมีคนนอนป่วยอยู่เยอะแยะไปหมด เต็มทุกเตียงเลยก็ได้มั๊ง..!
ด้วยความสงสัยคุณพิมพลอยก็เลยเดินไปถามพยาบาลว่า “เมื่อคืนเห็นปิดไฟมืดสนิท นึกว่าร้าง..”
พี่พยาบาลทำหน้าแปลกใจ ก่อนตอบกลับว่า “ที่นี่ไม่เคยปิดไฟค่ะ เปิดตลอดเวลาเลย..!”
พอคุณพิมพลอยได้ยินแบบนั้นก็หน้าเหว๋อเลย งงไปหมด แล้วสรุปที่เจอมาเมื่อคืนนี้คืออะไรกันแน่..
หลังจากวันนั้น 2 วัน ครอบครัวคุณพิมพลอยก็ได้รับข่าวร้ายเมื่อพี่น้ำอ้อยเสียชีวิต ด้วยสาเหตุจากหัวใจล้มเหลวและน้ำท่วมปอด ทางบ้านตัดสินใจเอาศพไปไว้ที่วัดบ้านเกิด คือที่ จ.นครปฐม
สัปเหร่อที่วัดพอรู้ว่าพี่น้ำอ้อยเพิ่งจะคลอดลูกก่อนเสียชีวิต เขาก็มีความเชื่อว่าต้องหาตุ๊กตามาไว้แทนเด็ก ทำนองว่าป้องกันแม่ไม่ให้มาเอาเด็กไป ซึ่งตอนนั้นลูกของพี่น้ำอ้อยก็ยังอยู่โรงพยาบาล เพราะยังไม่แข็งแรง
หลังจากเผาศพพี่น้ำอ้อยไปแล้วทางโรงพยาบาลก็โทรกลับมาบอกให้ไปรับเด็กกลับบ้านได้แล้ว ในวันแรกที่พาหลานกลับเข้าบ้านก็เจอเรื่องแปลกๆ ขึ้นมาทันทีเลย คือช่วงนั้นเวลาประมาณ 4 ทุ่ม เห็นจะได้ คุณพิมพลอยนอนไม่หลับ ก็เลยนอนคุยเล่นกับน้องไปพลางๆ
โดยที่ระหว่างนั้นหูก็ได้ยินเสียงเพลงแว่วมาตามลม ซึ่งทีแรกคิดว่าแถวหมู่บ้านคงมีงานรื่นเริงอะไร ก็ลองเงี่ยหูตั้งใจฟังดู แต่มันน่าแปลกเพราะเสียงเพลงที่ว่ามันกลับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ยิ่งเสียงดังมากขึ้น และเริ่มชัดว่าเป็นเสียงคนร้องแต่ไม่มีดนตรีประกอบ เป็นเพลงกล่อมเด็กนี่เองค่ะ..!!
ด้วยความที่ทั้งกลัวและตกใจ คุณพิมพลอยเลยตะโกนถามแม่ที่นอนอยู่อีกห้องว่า “เมื่อกี้แม่ร้องเพลงกล่อมหลานเหรอ ?” ฝ่ายแม่ตะโกนกลับมาว่าแกไม่ได้กล่อมเลย ..!
ซึ่งเสียงคนร้องนั้นยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มันชัดจนแน่ใจว่าเสียงนั้นไม่ใช่เสียงใคร แต่เป็นเสียงพี่น้ำอ้อยที่เพิ่งจะเผาไปไม่กี่วันนี้แน่นอน..!!
บางท่อนร้องว่า “เจ้านกกาเหว่าเอ่ยปล่อยไว้ ให้แม่กาฟัก แม่กาก็หลงรักคิดว่าลูกในอุธรณ์..” พี่น้ำอ้อยร้องเพลงนี้จนจบเลย ทั้งที่สมัยที่พี่แกยังมีชีวิตอยู่ พี่แทบไม่รู้จักเพลงนี้เลยด้วยซ้ำ
ณ เวลานั้นคุณพิมพลอยกลัวจนขนหัวลุกไปหมด เย็นยะเยือกไปทั่วร่างกาย ยกเว้นแม่ที่แกไม่กลัว
พอคืนถัดมาตอนดึกๆ คุณพิมพลอยก็ได้ยินเสียงพี่น้ำอ้อยมาร้องขับกล่อมแบบนี้อีก เป็นแบบนั้นต่อเนื่องกันถึง 7 คืนเลย..! เวลานั้นคุณพิมพลอยอยากทำบุญให้พี่น้ำอ้อยมาก เพื่อหวังช่วยให้วิญญาณพี่สาวไปสู่สุคติ
เช้าวันนึงคุณพิมพลอยตื่นมารอใส่บาตรพระที่หน้าบ้านตอน 6 โมงเช้า แต่ปรากฏว่ายืนรออยู่นานไม่เจอพระเดินมาเลยสักรูปเดียว ทั้งๆ ที่ทางเส้นนี้พระต้องเดินผ่านเพื่อกลับวัดทุกวัน..
และด้วยความที่บ้านคุณพิมพลอยก็ไม่ได้อยู่ห่างจากวัด ด้วยความสงสัยจึงขี่รถไปหาพระที่วัดเลย ถามพระว่าทำไมวันนี้ไม่เห็นท่านไปบิณฑบาตเลย ?
ทั้งพระและเณรเห็นคุณพิมพลอยก็เลยบอกว่า สาเหตุที่ท่านไม่เดินผ่านบ้านคุณพิมพลอย เพราะท่านเห็นพี่น้ำอ้อยมายืนรอใส่บาตรทุกวันเลย จนพระกลัวกันหมด..!! หนักๆ เข้าก็เลยต้องยอมเดินอ้อมเส้นทางอื่นแทน เพราะว่าโยมน้ำอ้อยหลอกพระเณรกระเจิงไปหมด..!!
พอคุณพิมพลอยได้ยินพระท่านเล่าก็รู้สึกเสียใจมาก ได้แต่นอนร้องไห้เพราะสงสารพี่น้ำอ้อยจริงๆ ขนาดว่าจะไปทำบุญให้ พระเณรก็ยังกลัวกันหมด
อีกสองสามวันถัดมา ก็มีสัปเหร่อแห่งวัดดอนขมิ้น ขี่รถเครื่องพร้อมตะปูดำๆ หงิกๆ งอๆ มาที่บ้านคุณพิมพลอย พอแม่ถามเขาว่ามาที่นี่ทำไม ? สัปเหร่อคนนั้นกลับบอกว่า เขาจะมาสะกดวิญญาณพี่สาวเรา..!
พอแม่ได้ยิน แม่ถึงกับเดือดมากค่ะ ด่าสัปเหร่อเสียหายเลย แม่บอกว่า พี่น้ำอ้อยไปทำอะไรให้ถึงจะมาทำกันแบบนี้ สัปเหร่อเห็นท่าไม่ดี ทนแม่ด่าไม่ไหว แกก็เลยขี่รถกลับไป
และหลังจากนั้นเรื่องก็ยังไม่จบ เมื่อทางวัดที่อยู่ใกล้บ้านคุณพิมพลอยไปเชิญเกจิอาจารย์มาท่านนึงมา ชื่อว่า “หลวงตาสมยศแห่งวัดสวนปาโมกข์จังหวัดสุราษฎร์ธานี” ซึ่งหลวงพ่อท่านนี้ ท่านรู้จักครอบครัวคุณพิมพลอยดี เพราะก่อนหน้านี้ท่านยังเคยให้ขนมที่วัดมาให้ครอบครัวคุณพิมพลอยกินอยู่บ่อยๆ
หลวงพ่อท่านทราบเรื่องของพี่น้ำอ้อย ก็เลยรับช่วยเหลือ ท่านว่าจะรับบิณฑบาตพี่น้ำอ้อยเอง เพื่อว่าดวงวิญญาณของพี่สาวเราจะได้ไปสู่ที่สงบ
เพราะสาเหตุที่พี่น้ำอ้อยมาปรากฏตัวให้ชาวบ้านเห็น ก็เข้าใจว่าเพราะดวงจิตที่ผูกผัน พอคลอดลูกมาไม่ได้เห็นหน้าลูกก็ต้องมาตายซะก่อน วิญญาณจึงมีห่วง..
และการที่พี่น้ำอ้อยไปยืนรอใส่บาตรให้พระเห็น ก็คงเพราะว่าปกติพี่สาวเป็นคนชอบทำบุญชอบตักบาตรอยู่แล้วสมัยมีชีวิต
พอพิธีการเสร็จสิ้น หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นวิญญาณของพี่น้ำอ้อยอีกเลย แม้ทุกวันนี้เหตุการณ์จะผ่านมา 20 กว่าปีแล้วก็ตาม แต่คุณพิมพลอยก็ยังไม่เคยลืมบุญคุณของหลวงตาสมยศเลย ซึ่งปัจจุบันท่านก็ยังอยู่ ตอนนี้อายุท่านน่าจะ 90 ปี แล้ว..
ส่วนสัปเหร่อตาบุญ ที่ช่วยพวกเราตอนแรก ปัจจุบันแกได้เลิกเป็นสัปเหร่อไปแล้ว และได้ให้ลูกแกมาสืบทอดแทน
สุดท้ายนี้คุณพิมพลอยขอยืนยันว่าเรื่องนี้คือเรื่องจริง ไม่ได้แต่งเติมประการใดเลย ส่วนปัจจุบันนี้ลูกชายพี่น้ำอ้อยก็โตเป็นหนุ่ม อายุ 20 ปีแล้ว เรื่องราวทั้งหมดก็มีเท่านี้…ด้วยรักและอาลัย
ขอขอบคุณเรื่องเล่าจากเฟสบุ๊คเพจ สยองขวัญวาไรตี้ โดยลุงเชิงโกดังหลอน
เจ้าของเรื่องโดย “พิมพลอย ผิวอ่อน”
เรียบเรียงใหม่โดยเพจ คลังหลอน
บทความเรื่องนี้ได้รับอนุญาตจาก เพจ สยองขวัญวาไรตี้ เรียบร้อยแล้ว