กฎในการลาสิกขาของวัดป่าแห่งหนึ่ง EP.3

กฏของการลาสิกขาep3

ตอนนี้เข้าสู่คืนที่ 3 แล้ว ผมก็ยังรู้สึกกลัวและตื่นเต้นเหมือน 2 คืนที่ผ่านมา ผมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่ไฟจะดับลง หลังจากไฟกลับมาติด คืนนี้ ก็ไม่มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ ความอันตราย กำลังจะมาเยือนอีกคืน ผมกำมือไว้แน่น พยายามตั้งสติ เตรียมรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ และทันใดนั้น ตะเกียงตรงเสาคู่ตรงโต๊ะวางพระ ก็ได้วูปและดับลงในที่สุด 

ผมไม่รอช้า ลุกไปยืนใต้ตะเกียง จนสายลมพัดผ่านไป ผมจึงรีบจุดตะเกียง และกลับไปนั่งที่อาสนะ ไม่นานหลังจากนั้น ตะเกียงตรงเสาคู่ด้านหลังก็ดับลง ผมจึงนั่งหลังตรงหันหน้าเข้าหาโต๊ะวางพระ และเสียงวิ่งที่เหมือนกับคืนที่ 2 ก็ดังขึ้น แต่ครั้งนี้ ผมรู้อยู่แล้ว จึงลดความกลัวลงไปได้เล็กน้อย และหลังจากที่เสียงเท้าหายไป ผมจึงรีบไปจุดตะเกียงเช่นเคย 

จนเวลาล่วงเลยผ่านไป ตะเกียงบอกเวลา ก็ได้ดับลงเป็นครั้งที่ 2 เข้าสู่เวลา 4 ทุ่ม ผมลุกขึ้นยืน และเดินออกไปข้างหน้า พระรูปเดิม ก็ได้เดินผ่านมา ไม่สิ! พระรูปนั้น มีรูปร่างและลักษณะ ที่แก่ตัวลงจากคืนที่แล้วเป็นอย่างมาก ใบหน้าและผิวหนัง เหี่ยวย่นลงราวกับคนอายุ 60 ทั้งที่พึ่งผ่านมาเพียงคืนเดียว 

“ท..ท่านจะไปที่ใดกัน” ผมก็ได้ถามคำถามเดิมกลับไป แต่! คืนนี้ พระรูปนั้น ได้หยุดเดิน และหันหน้ามาทางผม พร้อมกับเดินเข้ามาข้างในศาลา ผมขนลุกไปทั้งตัว พระรูปนั้น ได้เดินเข้ามานั่งข้างๆศาลา และหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน มันเป็นหนังสือที่ดูเก่าแก่มากๆ และผมมั่นใจมากว่า หนังสือเล่มนี้ไม่มีในศาลาแห่งนี้แน่ๆ

ผมไม่กล้านั่งบนอาสนะ เพราะใกล้พระรูปนี้เกินไป ผมรู้สึกไม่ปลอดภัย จึงไปนั่งข้างๆศาลาฝั่งตรงข้ามที่พระรูปนั้นแทน และหยิบหนังสือไปด้วย ทุกๆครั้งที่ผมก้มลงอ่านหนังสือ ผมรู้สึกว่า พระรูปนั้น ได้มองมาที่ผมตลอดเวลา และเมื่อผมเงยหน้าขึ้นมอง ก็ได้พบว่า พระรูปนั้น จ้องมองมาที่ผมจริง แถมยังแสยะยิ้มออกมาบนใบหน้าของคนอายุ 60 มันน่ากลัว และน่าสยดสยองมากๆ ทำให้ผม ขนลุกไปทั้งตัว 

แม้จะไม่เจอกฎข้ออื่นต่อจากนี้ แต่ผมบอกได้เลยว่า การเจอพระรูปนี้ สร้างความกดดันอาจจะมากกว่าการเผชิญหน้ากับกฎข้ออื่นๆจากนี้ด้วยซ้ำ 

เวลาผ่านไปนานอย่างกับถูกหยุด ทุกๆที่ตะเกียงดับลง เหมือนเวลาถูกยืดยาวออกไป ใบหน้าที่ยิ้มออกมาอันแสนหน้ากลัวของพระรูปนั้น คงติดอยู่ในหัวผมไปตลอดการ แต่ในที่สุด เวลาก็ล่วงเลยไปจนเสียงระฆังดังขึ้น พระรูปนั้น ได้ลุกขึ้น และเดินออกไปจากศาลา และหายไปในความมืด นั่นหมายความว่า ผมรอดจากคืนที่ 3 แล้ว

เข้าสู่คืนที่ 4 แล้ว ผมก็ยังกลัวและตื่นเต้นอยู่เหมือนทุกคืน ทุกๆครั้งที่ตะวันตกดิน หัวใจก็เริ่มเต้นแรง มือไม้ก็เริ่มสั่น ในตอนเช้าหลังจากทำวัตรเช้า ผมแทบจะหลับตลอดทั้งวัน และภาพต่างๆที่ได้เจอมา ก็มักจะมาหลอกหลอนผมในความฝัน  

เมื่อไฟจากตะเกียงบอกเวลาดับลงสู่ 3 ทุ่ม ผมรับมือกับเหตุการต่างๆได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากเจอมา 2 คืนแล้ว จึงไม่ค่อยมีปัญหา แต่มันก็แค่ก่อน 4 ทุ่มแค่นั้นแหละ เมื่อไฟดับลงอีกครั้ง ผมก็เดินไปข้างหน้าศาลา พระรูปนั้นก็เดินผ่านมาเหมือนคืนก่อนๆ แต่ครั้งนี้! สังขารของพระรูปนี้ มีเนื้อหนังที่ติดกระดูก จนแทบจะเห็นเป็นกระดูกไปแล้วถ้าไม่เป็นสีเนื้อ ใบหน้าซูปผอมลงอย่างมากเดินหลังคร่อม เหมือนคนแก่ราวๆ 90 และใกล้จะมรณะภาพแล้ว นี่มันน่ากลัวกว่า 2 คืนที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก 

ผมยืนตัวสั่น และถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆด้วยคำถามเดิม ในใจภาวนาว่าขอให้เดินไปต่อจะดีกว่า และแล้วพระรูปนั้น ก็เดินจากไปอย่างช้าๆ และหายไป ในความมืด ผมโล่งใจได้ซักแปป แต่อีกใจนึง ก็ตระหนักถึงสิ่งที่จะเจอต่อไปนี้ เหงื่อเริ่มไหลอีกครั้ง ผมกลับมานั่งที่อาสนะเพื่อสงบสติ พยายามกุมสติเอาไว้  

เมื่อถึงเวลา 5 ทุ่ม ผมก็รีบลุกออกไปยืนนอกศาลาทันที และก็เหมือนคืนก่อน มีเสียงเรียก แว่วมาในหูของผม แต่ผมเลือกที่จะไม่สนใจ จนตะเกียงกลับมาติดทั้งหมด ผมรีบวิ่งกลับเข้าไปด้วยความตกใจเพราะเสียงแหวกว่ายมันได้ดังขึ้นแล้ว 

ผมรีบนั่งลงที่อาสนะและหลับตาธรรมสมาธิทันที แต่คืนนี้ เสียงแหวกว่าย มันวนไปวนมาอยู่ใต้ศาลาด้วยความรวดเร็ว และเหมือนว่า จะมีเสียงเหมือนกับพวกมัน กระโดดน้ำขึ้นมาบนศาลา และซักพัก ก็มีเสียงกระทบน้ำดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากนั้นเสียงก็เงียบหายไป 

ผมลืมตาขึ้นมองซ้ายและขวาก็ได้พบว่า มีรอยน้ำเปียกเป็นรอยเท้าอยู่ริมศาลาทั้ง 2 ด้าน มันได้กระโดดขึ้นมาจริงๆ ผมปาดเหงื่อที่หน้าผากและหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านตามเดิมจนไฟทุกดวง ดับลงอีกครั้ง ผมปิดหนังสือเเละนั่งนิ่ง เสียงบางอย่างกำลังลากเข้ามาหลังไฟดับ ผมเตรียมใจรอ และจะหันหน้าหนีให้ไวที่สุด ซักพัก เสียงนั้นก็ได้หายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ 

ทันใดนั้น! ใบหน้าที่หนังหน้าหลุดออกเป็นแผ่น ก็ได้พุ่งพรวด!เข้ามาที่หางตาด้านซ้ายของผม ผมรีบหันไปด้านข้าง ทั้งกลัว ทั้งตกใจ ผมเดินไปด้านหน้าศาลาอย่างรวดเร็วด้วยร่างกายที่ขวัญเสียและสั่นไปทั้งตัว แต่ยังคุมตัวเองไว้ได้อยู่ ผมยืนหายใจติดๆขัดๆอยู่หน้าศาลา จนไฟสว่างขึ้น ผมไม่มีเวลาตกใจนาน รีบแบกสังขารที่เรี่ยวแรงส่วนใหญ่หายไปเพราะขวัญเสีย เข้าไปยืนตรงกลางศาลา และไฟทั้งหมด ก็ดับลง 

หมอกหนาเริ่มเข้าปกคลุม จนหมอกใกล้ถึงตัวผมแล้ว ผมก็ได้สังเกตุว่า จากการตกใจเมื่อกี้ ทำให้ผมเผลอเลื่อนอาสนะออกจากตรงกลาง! โชคดีที่ผมยังมีสติ เขยิบตัวเองได้ทัน เพียงเสี้ยววิ ก่อนหมอกมาถึงตัวผม และไฟในมือ ก็ติดขึ้น แต่ไม่มีวี่แววของไฟรอบด้านเลย ครั้งนี้ผมต้องไปจุดเอง 

ผมรวบรวมความกล้า ยื่นตะเกียงไปข้างหน้า และเดินออกไปช้าๆ ไล่จุดตะเกียงทีละอันจนครบ บอกเลยว่ามันยากมากๆ เพราะผมคุมมือให้หยุดสั่นไม่ได้เลย ยิ่งพยายาม เหมือนยิ่งทำให้สั่นหนักกว่าเดิม แต่ผมก็สามารถจุดครบทุกอันจนได้ และก็ตามเดิม ผมเดินวนดูดวงตาที่แฝงอยู่ในหมอก แต่คืนนี้ผมเหนื่อยมากๆ หลังจากที่โดนผีตนนั่นหลอก จนในที่สุด ตะเกียงในมือก็ดับลงซักที 

ผ่านช่วงเที่ยงคืน เข้าสู่ตี 1 แต่เมื่อไฟติดขึ้น ผมก็สะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ขนลุกไปทั้งตัว เพราะว่ามีหญิงสาวในชุดขาว สไบแดง นั่งรออยู่ตรงหน้าอาสนะ ด้านหน้ามีถ้วยกรวดน้ำวางอยู่ ผมหันไปหยิบหนังสือบทสวดไปด้วย เพื่อสวดบทกรวดน้ำ และเมื่อไปนั่งลงที่อาสนะ และเปิดหนังสือ จากนั้นผมก็เริ่มท่องบทกรวดน้ำ 

หญิงสาวตรงหน้า เริ่มยกมือไหว้ และค่อยๆเอื้อมมือมากรวดน้ำช้าๆ ผมก็สวดอย่างช้าๆ โชคดีหน่อย ที่หญิงสาวคนนี้เอาผมปิดหน้า ผมจึงไม่รู้สึกกลัวมาก แต่ก็มีสั่นๆอยู่ ผมท่องจบบทพร้อมกับที่หญิงสาวกรวดน้ำเสร็จพอดี หญิงสาวตรงหน้า ได้ก้มลงกราบผมตามกฎบอก “เจริญพรโยม” ผมพูดออกไป และไฟก็ได้ดับลง เมื่อไฟติด หญิงสาวตรงหน้าก็หายไปแล้ว ผมมีเวลาพักเอาแรงอีกเล็กน้อยก่อนนกแสกจะบินมา 

และแล้วเวลาตี 2 ก็ได้มาเยือน เมื่อตะเกียงบอกเวลาติดขึ้น นกแสกก็ได้บินมาเหมือนเดิม แต่แล้ว! ในปากของมันคือตุ๊กตาปั้นดินเผา ผมขนลุกไปทั้งตัวอีกครั้ง ใจเริ่มเต้นแรงขึ้น และเหงื่อก็เริ่มแตก  หลังจากที่นกแสกบินไป ผมพยายามเรียกสติและสมาธิของตัวเอง จากนั้นเดินออกไปหน้าศาลา 

และแล้ว ก็มีชายและหญิงแก่เดินมา ผมยกมือ 2 ข้างที่สั่นราวเจ้าเข้าขึ้นประกบกันโดยมีตุ๊กตาปั้นดินอยู่ข้างในมือ และเริ่มท่องบทแผ่เมตตาด้วยเสี่ยงที่สั่นตามร่างกายที่สั่น ผมท่องยังไม่ทันจบด้วยซ้ำ ไฟข้างในศาลา ก็เริ่มติดๆดับๆ และภาพที่ผมเห็นตรงหน้า คือร่างของชายหญิงแก่คู่นั่น เริ่มยืดยาวขึ้น แขนขายืนยาวและบิดงอผิดมนุษย์ ใบหน้าบิดเบี้ยวราวกับถูกบีบ ส่งเสียงแสบแก้วหูออกมา 

ผมยืนนิ่งอยู่ซักพักด้วยความตกใจ แต่ก็ดึงสติกลับมาได้อยู่ รีบสับเท้าวิ่งเข้าไปที่อาสนะ นั่งลงหลับตา ท่องบทแผ่เมตตาไปเรื่อยๆ เสียงนั้น เริ่มขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่องๆ จนมาอยู่ 2 ข้างฝั่งศาลา และผมก็จับสัมผัสได้ว่า มันเริ่มมีเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนทั่วทิศของศาลา มีแต่เสียงหวีด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้ผมเหงื่อท่วมไปทั้งตัว 

ผมพยายามนึกถึงการผจญมารของพุทธองค์ และท่องบทแผ่เมตตาไปเรื่อยๆ บอกตัวเองว่า อย่าหยุด! อย่าหยุด! อย่าวอกแวก! ท่องไปเรื่อยๆ จนในที่สุด เสียงหวีด ก็ค่อยๆเบาลงและหายไป ผมหยุดขยับปาก และหายใจอย่างเหนื่อยหอบ  หัวใจเต้นเหมือนจะพุ่งออกมา ดีแค่ไหน ที่ผมไม่สติแตก ผมยังหลับตาอยุ่ รอบข้างมันเงียบมาก ไม่มีแม้แต่เสียงแมลง หรือเสียงปลาในบ่อ เหมือนผม หลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่งยังไงยังงั้น 

ผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ การหลับตารอเวลา มันทรมาณกว่าลืมตาหลายร้อยเท่า ไม่สิ พันเท่าเลยด้วยซ้ำ แต่ในที่สุด ผมก็รู้สึกว่า ไฟตรงหน้า ได้ดับลงไป และติดขึ้นมาแล้ว ผมลืมตาขึ้นทันที และหันไปมองรอบข้าง ไม่มีวี่แววของพวกมันแล้ว  ผมรีบหักตุ๊กตาปั้นดินและโยนทิ้งลงแม่น้ำทันที 

แต่ชะล่าใจได้ไม่นาน เสียงเหมือนบางอย่างทีอยู่ในน้ำ ก็ได้แหวกว่ายเข้ามาอยู่ข้างๆศาลา และเหมือนว่า กำลังจะขึ้นมา ผมไม่รอช้า รีบลุกไปดับตะเกียงทั้งหมด เหลือเพียง 2 อันข้างนอก และตะเกียงบอกเวลาในมือเท่านั้น 

ทันทีที่กลับมานั่งที่อาสนะ ใบหน้าและสังขารร่างคล้ายคนที่กลายเป็นศพและเน่าเละไปแล้ว ก็ได้ปีนขึ้นมาข้างๆศาลาทั้ง 2 ด้าน ผมพยายามจ้องไปข้างหน้าเพราะไม่อยากเห็นพวกมัน แต่เพียงเห็นแค่หางตา ก็รู้แล้ว ว่าพวกมันน่ากลัวและน่าขยะแขยงมากๆ ผมท่องบทชินบัญชรช้าๆ พยายามคุมสติ ไม่ให้แตกพล่านไปก่อน ซึ่งมันพลาดมากๆ เพราะผม ลืมหยิบหนังสือที่เขียนบทสวดนี้มาด้วย แต่ผมก็พอจำได้อยู่ 

จีวรได้เปลี่ยนสีไปแล้วจากเหงื่อ และน้ำตาก็เริ่มไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่ผมก็สวดจนจบบทจนได้ และในชั่วขณะ สายลมก็พัดผ่านอย่างรุนแรง และพวกมันก็ได้หายไปทั้งหมด ผมหงายตัวนอนลงกับพื้นทันที อย่างน้อย มันก็ไม่อยู่จนระฆังดัง ผมแทบจะไม่อยากเชื่อตัวเอง ที่สามารถคุมสติมาได้จนถึงตอนนี้ ผมรอดจากคืนนี้แล้ว ผมนอนนิ่งอยู่อย่างงั้นจนระฆังดัง

หลังจากฉันท์อาหารเช้าผมก็ภาพตัดทันทีตื่นขึ้นมาในช่วงเย็นของวันที่ 5 ในศาลาแห่งนี้ และก็ได้เห็นหลวงตาเจ้าอาวาสวัด มายืนอยู่ตรงหน้าทางเข้า หลวงตาไม่พูดอะไร แต่ได้ยกมือขึ้นมาชี้ไปที่กระดาษกฎ และเดินหันกลับไป แต่ก็ได้หันกลับมาอีกครั้งเพื่อบอกผมว่า “ผ่านมันไปให้ได้นะเณร” ผมหยิบกระดาษกฎขึ้นมาดู ห๊ะ! กฎบางข้อ…มัน….ถูกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม….

ToBe Continue…โปรดติดตามตอนจบของเรื่องราวทั้งหมด ในตอนที่ #4  

เรื่องนี้ได้รับการอนุญาติจากเจ้าของบทความ เฟสบุ๊คแฟนเพจ  The Dark Light ให้สามารถนำมาเผื่อแพร่บนเว็บไซท์คลังหลอนแล้ว 

Previous articleกฎในการลาสิกขา ของวัดป่าแห่งหนึ่ง EP.2
Next articleกฎในการลาสิกขา ของวัดป่าแห่งหนึ่ง EP.Final