
หลังจากที่ไฟกลับมาติดอีกครั้งทั้งๆที่เป็นตะเกียงเทียน หัวใจของผมแทบจะทะลุออกมา ตอนนั้นด้านหน้าของผม มีพระพุทธรูปองค์ขนาดตัวมนุษย์ตั้งอยู่ หมายความว่า ผมจะไม่มีภัยในคืนนี้ แต่ผมกลับไม่รู้สึกโล่งใจเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าเหตุการณ์ในตอนนี้ ได้เป็นข้อพิสูจแล้ว ว่ากฎแผ่นนี้ คือเรื่องจริงแน่นอน แม้คืนนี้ผมจะปลอดภัย แต่คืนต่อๆไปละ คงไม่โชคดีแบบนี้แน่ เพียงอ่านกฎผมก็จินตนาการถึงพวกนั้นออกได้
ผมยืนนิ่งตัวสั่นด้วยความกลัว แต่แล้วผมก็ค่อยๆนั่งคุกเข่าลงบนอาสนะ และกราบลง 3 ครั้ง และท่องบทสวดด้วยน้ำเสียงสั่นเกร็ง ก่อนจะกราบอีก 3 ครั้ง และเอาฟูกมาปูนอน แม้จะกลัว แต่นี้ก็เป็นเพียงโอกาสรอดเดียวของผม แต่เพียงหลับตา จินตนาการในหัวของผม ก็ได้ทำให้เห็นภาพของสัมภเวสีพวกนั้น ที่มาเกาะอยู่ข้างศาลาทำให้เห็นร่างที่เน่าเฟะ จนทำให้ผมไม่สามารถนอนได้ ผมจึงลุกไปหยิบหนังสือต่างๆทั้งบทสวด พุทธประวัติ แม้กระทั่งนิทานชาดก มาอ่านเพื่อให้ธรรมะ เข้ามาขับไล่และแทนที่ความกลัว
เสียงระฆังในรุ่งสาง ทำให้ผมสะดุ้งจนตื่น ด้านข้างมีหนังสือพระพุทธวางอยู่หลายสิบเล่ม และพระพุทธรูปตรงหน้า ก็ได้หายไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นตอนไหนที่ผมเผลอหลับไป เสียงระฆังนั้นบ่งบอกถึงเวลาตี 4 ผมเก็บฟูกพับและวางซ้อนกันไว้ และเริ่มทำวัตรเช้า ด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นตะเกียงบอกเวลา ก็ดับลงเองทันที ผมไล่ดับตะเกียงทุกดวง จนหมด ก่อนที่หลวงตาจะนำอาหารมาให้ หลวงตา คงเห็นสีหน้าที่ราวกับคนที่ไร้วิญญานของผม “อย่ายอมแพ้นะเณร จงต่อสู้กับพวกมัน เหมือนที่พุทธองค์ทรงผจญมาร” หลวงตาพูดกับผม ก่อนจากไป หลวงตาได้บอกกับผมอีกว่า ในตอนเช้าขณะที่มีแสงตะวัน ผมสามารถออกจากที่นี่ได้ โดยสามารถไปที่ห้องนำ้ที่ใกล้ที่สุดได้เท่านั้น อย่าไปที่อื่นเด็ดขาด
หลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็เอากฎมาอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าและเอาบทสวดที่ต้องใช้ตามกฎ มาอ่านสลับไปมา เพื่อให้จำได้แบบไม่มีลืม หวังว่าผมจะไม่พลาด เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
และแล้ว เวลาตัดสินบาปของผมก็ได้มาถึง ตะวันลับขอบฟ้าและตะเกียงบอกเวลาก็ได้ติดขึ้นมาทันทีที่ตะวันลับหายไป ผมรีบจุดตะเกียงทุกดวง และมานั่งถอนหายใจที่อาสนะ และได้ทำสมาธิก่อนที่เหตุการณ์จะเริ่ม พลางภาวนาให้พระผู้เป็นเจ้าคุ้มครอง เพียงแค่ทำสมาธิ ก็ทำให้ผมเหงื่อไหลออกมาเต็มหน้า แม้จะหลับตา แต่สมาธิแทบไม่มี
ตะเกียงทุกดวงดับลง ตอนนี้ได้เข้าสู่เวลา 3 ทุ่มแล้ว เมื่อไฟติดขึ้น ก็เป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้ ไม่มีพระพุทธรูปตั้งอยู่เลย นั่นหมายความว่า คืนนี้ ผมต้องเผชิญกับพวกมัน ไฟด้านหน้าสุดตรงโต๊ะวางพระได้หรี่และดับลงในที่สุด ผมจำได้ดีว่าต้องไปยืนใต้ตะเกียงเสาตรงกลางด้านในด้านนึง และสายลมเย็นยะเยือกชวนขนลุก ก็ได้พัดผ่านกระทบกับร่างกายผมไป
“เณร”! ทันใดนั้นก็มีเสียงกระซิบอยู่ข้างๆหูของผม แม้ไม่มีกฎข้อไหนบอกว่าห้ามหันไปหาเสียงนั้น แต่ผมก็ก้มหน้าลงทันทีและไม่คิดจะหันไป เสียงนั้นหายไปพร้อมสายลมหนาวเหน็บและกลับมาสู่ความเงียบสงัด ผมรีบไปหยิบไฟแช็คมาจุดตะเกียงทันที บรรยากาศรอบด้านเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงแมลง มีเพียงแต่เสียงหัวใจของผม ที่เต้นเป็นจังหวะเสียงดังด้วยความกลัว
ผมหันซ้ายหันขวาไปมาด้วยความระแวงและหยิบหนังสือพุทธชาดกมาอ่านดังๆเพื่อกลบความกลัว และทำให้ที่นี่ไม่เงียบจนเกินไป ถึงปากจะอ่านอยู่ แต่ผมจับใจความของเนื้อเรื่องไม่ได้ด้วยซ้ำ เอาเข้าจริง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมอ่านเรื่องอะไร
ทันใดนั้นผมได้ปิดหนังสือลงเพราะตอนนี้ ตะเกียงสองอันด้านหลังตรงทางเข้ามันกำลังวูปลงและดับลงในที่สุด ผมนั่งลงบนอาสนะหันหน้าไปที่โต๊ะวางพระ ทันใดนั้น เสียงบางอย่างกำลังย่ำเท้ากระทบกับพื้น เสียงนั้นค่อยๆย่างเท้าราวกับกำลังเดินจงกลม เดินไปและเดินกลับมาอยู่อย่างงั้นไปๆมาๆ
สักพักเสียงนั้นก็ได้ย้ำเท้าเร็วขึ้นเรื่อยๆราวกับกำลังโกรธที่ไม่มีใครมอง ผมกัดฟันและกุมมือตัวเองไว้แน่น เพื่อไม่ให้มันรู้ว่าผมกำลังตัวสั่น มันวิ่งเข้ามาใกล้หลังผมที่สุดก่อนเสียงจะหายไป ผมกลัวว่ามันกำลังยืนอยู่ด้านหลังผมแทนที่จะหายไปมากกว่า แต่แล้วพอหันไป ก็ไม่เจออะไร ผมจึงรีบจุดไฟที่ดับ และกลับไปนั่งที่อาสนะ เพราะผมไม่กล้านั่งที่นั่งข้างๆ
ผมใช้มือซับเหงื่อที่หน้าออกและหยิบพุทธชาดกมาอ่านดังๆอีกครั้ง มันเป็นอะไรที่ทรมาณ เพราะผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว เพราะผมจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อตะเกียงตรงหน้าดับ ผมอ่านนิทานชาดกจบไปมากกว่า 3 เรื่อง แต่กลับไม่รู้ลยว่าเป็นเรื่องอะไร มีเนื้อหาอะไร และไฟตรงหน้าก็ได้วูบลงและติดมาอีกครั้ง บอกผมว่าตอนนี้ 4 ทุ่มแล้ว
ผมหันไปดูที่ถนนเพราะกฎบอกว่าจะมีพระเดินมา และมันก็เป็นอย่างงั้นจริงๆ พระรูปนั้นเป็นพระที่อายุน่าจะราวๆ 40 กำลังเดินมาจากถนน ผมรวบรวมความกล้าและพูดออกไป “ท….ท่านจะไปที่ใดกัน” พระรูปนั้นได้ยืนนิ่งซักพัก ก่อนที่จะเดินต่อและหายไปในความมืด หมายความว่า ผมยังต้องเจอกฎข้อต่อไปอีก ผมเลยกลับเข้าไปด้านในและนั่งบนอาสนะอีกครั้ง ในตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ออก ผมจึงเลือกที่จะสวดมนต์ โดยหวังว่า บทสวดจะช่วยอะไรบ้าง
ตอนนี้เวลา 5 ทุ่มแล้วเพราะไฟด้านหน้าผมกำลังวูปและดับลงรวมถึงไฟรอบด้าน ที่ค่อยๆวูบและดับลงพร้อมกันทุกอัน ผมรู้ดีว่าต้องทำอะไร ผมลุกขึ้นเดินออกไปยืนข้างนอก ตามกฎบอกให้ผมนั้นมองออกไปยังถนน แต่ผมกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ผมจึงยกตะเกียงขึ้นมาและมองเปลวไฟสีส้มของตะเกียงแทน ผมรู้สึกว่าได้ยินเสียงคนเรียกอยู่ในหัว มันเรียกให้ผมหันไปมองมัน จนในที่สุด ไฟก็กลับมาติดขึ้น ผมจึงหันกลับเข้าไปอย่างว่องใวและนั่งลงบนอาสนะผืนเดิม ผ่านไปเกือบๆ 20 นาทีที่แสนทรมาณโดยประมาณ
จากเสียงที่เงียบสงัด ในน้ำเริ่มมีเสียงเหมือนมีคน หรือบางอย่างที่ขนาดเท่าคน กำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำตามที่กฎว่าไว้ ผมนั่งขัดสมาธิ มือวางบนตักและเริ่มหลับตา ผมจับเสียงนั้นได้ว่ามันว่างอยู่ข้างๆ และซักพัก เสียงนั้น ก็เริ่มเปลี่ยนเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆจนอยู่ใต้พื้นที่วางอาสนะไว้ และผมกำลังนั่งอยู่ ก่อนที่มันจะหายไป ผมลืมตาขึ้นมาโดยมีเหงื่อเต็มหน้าทั้งๆที่อากาศมันค่อนข้างหนาวเย็น…
ฟังดูเหมือนผมจะคุมสติได้อยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมแทบจะสติแตก ทุกๆนาทีที่ผ่านไปราวกับชั่วโมง ไม่รู้ว่านานแค่ไหนจะเช้า มันเป็นความอึดอัดอย่างหาที่สุดไม่ได้ หากผมเชื่อฟังที่คนอื่นเล่าตั้งแต่แรก ผมคงไม่มาเจออะไรแบบนี้ และแล้ว ดวงไฟทุกดวงก็ได้ดับลง แต่นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนเวลา เพราะตะเกียงตรงหน้ายังติดอยู่ ผมจับตะเกียงก่อนที่จะลุกขึ้นเพื่อเดินออกไป แต่แล้วผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าครั้งนี่ผมต้องนั่งที่เดิมก่อน บ้าเอ้ย! ผมเกือบจะพลาดแล้ว
เมื่อนึกขึ้นได้ ผมรีบนั่งกลับลงไปทันที ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงบางอย่างถูกลากมาอย่างช้าๆตั้งแต่หน้าทางเข้า และใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมจ้องตามองไปตรงหน้าพยายามจะไม่มองไปด้านข้าง แต่มันยากมาก ผมได้แต่คิดในใจว่าให้มันรีบมาในระยะที่หางตาของผมเห็นได้ และแล้วใบหน้าที่หนังหน้าหลุดออกเป็นแผ่นและเหมือนมีบางอย่างยั้วเยี้ยอยู่ในแผล ลูกตาก็กลวงโบ๋ไปข้างนึง ได้เข้ามาที่หางตาด้านขวาของผม แม้ผมจะเห็นแค่หางตา ผมก็จำได้ชัดเจน
ผมรีบหันไปทางตรงข้าม และค่อยๆลุกขึ้นช้าๆ เหมือนผมใจเย็นมากๆ ทั้งๆที่ผมนั้น ได้สะดุ้งจนหัวใจร่วงไปยังตาตุ่มตั้งแต่เห็นแค่เส้นผมของมันแล้ว ผมรีบเดินไปด้านหน้าทันที เมื่อตะเกียงติดขึ้น ผมทรุดตัวลงบนพื้นพร้อมหายใจอย่างรุนแรงด้วยเสียงหายใจสั่นๆ มันน่ากลัวเหลือเกิน
ใบหน้านั้น ไม่อยากคิดเลย ว่าถ้าเห็นมันเต็มตาจะเป็นยังไง ผมตั้งสติซักพักก่อนที่จะลุกขึ้นและเข้าไปยังศาลาปฎิบัติธรรม เพราะมันใกล้เที่ยงคืนแล้ว ผมมองดูเสาสองด้านและอาสนะที่ผมนั่ง เพื่อหาจุดที่กลางที่สุด และยืนรอไฟดับเลย ผมจะได้ไม่ตื่นตระหนกเมื่อไฟดับ
แต่แล้วผมก็สะดุ้งแรงอยู่ดีเมื่อไฟดับลง ไฟทุกดวงมืดลง รอบด้านนั้นมีแต่ความมืด มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ผมพยายามยืนให้นิ่งที่สุดเพื่อไม่ให้ตัวผมหลุดจากจุดที่ยืนอยู่ และแล้วควันสีขาวๆมากมาย ก็เริ่มปกคลุมรอบด้านของผม มันเริ่มใกล้เข้ามา ในขณะที่ตาของผมก็เริ่มมองเห็นในความมืด ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่าว่าหมอกเหล่านั้น มีส่วนที่เหมือนใบหน้ามนุษย์อยู่เต็มไปหมด มันรอบล้อมมาเรื่อยๆจนเกือบจะมาถึงตัวผม แต่แล้วไฟก็ติดขึ้นตามที่กฎบอก และติดขึ้นทุกดวงด้วย
ผมถอนหายใจด้วยความโล่งใจได้นิดๆ แต่ตอนนี้เที่ยงคืนแล้ว รอบด้านนั้นมีแต่หมอกหนาที่ปกคลุมจนไม่เห็นผืนน้ำและทิวทัศน์รอบด้านแล้ว ผมเดินวนศาลาเพื่อดูว่ามีดวงตาปะปนอยู่มั้ย บอกเลยว่ามันมองยากมาก ผมเห็นตรงไหนมันคล้ายดวงตา ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ ผมส่องมันทั้งหมด จนไฟดับบอกเวลาตี 1 ผมกลับมานั่งที่อาสนะด้วยความเหนื่อย เหงื่อท่วมจีวรจนเปลี่ยนเป็นสีเข้ม บรรยากาศอันเงียบสงบที่ผมเคยต้องการ ตอนนี้ ผมรู้สึกไม่เป็นมิตรกับความสงบอีกแล้ว
ต่อจากนี้คือช่วงทำบุญของผีไร้ญาติสินะ ช่วงเวลานี้ คงไม่น่ากลัวขนาดนั้น ถ้าเทียบกับกฎข้อต่อจากนี้ ขณะที่ผมกำลังพักเหนื่อย ก็ได้มีเสียงหมาเห่ามาจากหน้าทางเข้า ผมหันไปมองก็ได้เจอกับหมาสีดำ นั่นคือเจ้าดำตามกฎที่ว่านั้นสินะ
ผมลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้มันจนได้เห็น ใบหน้าของเจ้าดำนั้น มีรอยแผลเป็นอยู่ด้วย ไม่สิ มันมีรอยแผลเกือบทั่วทั้งตัว ด้านหน้ามันมีก้อนกรวด 6 ก้อนอย่างที่กฎว่าไว้ ผู้เป็นเจ้าของมัน คงโหดร้ายเกินจะเยียวยา มันคงไม่กลัวบาปกรรมเลยแม้แต่น้อย ผมคิดในใจถ้าผมสึกออกไปจากวัดได้เมื่อไหร่ จะแจ้งตำรวจับเจ้าของมันซะ แล้วผมก็ก้มลงลูปหัวมันเบาๆแล้วพูดว่า “เจริญพรนะ เจ้าดำ” และก้มลงเก็บก้อนกรวดทั้งหมด และหันไปยิ้นให้เจ้าดำผมเห็นชัดเลยว่า มันมีน้ำใสๆไหลออกมาจากตา และก็ได้หันกลับและเดินจากไป ด้วยขาซ้ายหลังที่เดี้ยง
ผมคาดว่าอาจจะเพราะมันเดินมาไกลด้วย เพราะวัดป่านี้ ห่างไกลบ้านคนเกือบ 3 กิโล ทันทีที่เจ้าดำ เดินหายไปในความมืด
หลังจากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์อื่นๆตามมาเลยจนกระทั้งตี 2 เมือไฟติดขึ้น ผมภาวนาในใจว่าขอให้นกแสกคาบใบโพธิ์มา และแล้วนกแสกก็บินมาพร้อมในปากที่มีใบโพธิ์มาจริงๆ หมายความว่า ผมรอดจากกฎข้อที่อันตรายที่สุดต่อจากนี้แล้ว
ToBe Continue…โปรดติดตามเรื่องราวต่อในตอนที่#3
เรื่องนี้ได้รับการอนุญาติจากเจ้าของบทความ เฟสบุ๊คแฟนเพจ The Dark Light ให้สามารถนำมาเผื่อแพร่บนเว็บไซท์คลังหลอนแล้ว