หอพักหลอนย่านรังสิต

หอหลอนพักย่านรังสิต

เรื่องราวนี้เกิดขึ้นที่หอพักแห่งหนึ่งแถวย่านรังสิต ที่ขึ้นชื่อเรื่องผีดุ มีหลายคนที่ได้พัก แล้วพบเจอกับประสบการณ์หลอน ๆ มากมายต่างกันไป บางคนอยู่ทนไหมไหว จำใจยอมทิ้งเงินมัดจำ ย้ายออกเลยก็มี    

เรื่องนี้เกิดขึ้นมาเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว ตอนนั้นเรา (คุณบุ๋ม) ได้งานแถวรังสิต แต่พักอยู่ที่นนทบุรี ทำให้ต้องเดินทางไปกลับ นน-รังสิตประจำ เพื่อนที่เป็นคนใต้ด้วยกันเลยชวนให้ย้ายมาพักอยู่หอเดียวกันไหม ราคาไม่แพง แถมอยู่ใกล้ ๆ ที่ทำงาน  เราก็คิดว่าดีเหมือนกันมีเพื่อนอยู่ด้วยก็อุ่นใจดี จำตกลงย้ายมาอยู่หอเพื่อน

เมื่อไปถึงหอพักเป็นตึก 4 ชั้น ส่วนเพื่อนอยู่ที่ชั้น 2 ส่วนตัวเราได้ห้องที่ชั้น 3 มีการวางมัดจำสามเดือน พอย้ายของขึ้นไปที่ห้อง ก็พบว่าห้องข้างๆ เป็นห้องว่างๆไม่มีคนพัก ส่วนระเบียงหลังห้องจะติดกันไม่มีอะไรกั้น 

หลังจากย้ายเข้าไปได้แค่วันเดียว ตอนกลางวันเราก็ไปทำงาน แต่พอกลับมาห้องตอนกลางคืน เราตกใจมาก เพราะห้องถูกงัดจากระเบียงด้านหลัง เหมือนมีคนใช้กุญแจผี ไขห้องข้าง ๆ แล้วก็ปีนระเบียงเข้ามางัดห้องเรา 

สิ่งที่โจรขโมยไปก็เป็นเงินที่เราเก็บสะสมมาทั้งหมด เราก็เลยไปโวยวายกับพี่คนดูแลตึก ว่าทำไมถึงเกิดเหตุลักขโมยในหอได้ แต่คนดูแลหอเค้าก็ขอร้องว่าอย่าแจ้งความได้ไหม เพราะเค้าพึ่งมาทำงานดูแลตึกได้ไม่กี่เดือน กลัวจะโดนเจ้าของว่า  

ขออธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับหอพักเพิ่มเติมก่อนนะครับ หอพักนี้นี้เป็นตึกที่อยู่ลึกเข้าไปในซอยจนสุดซอย ติดกับป่าละเมาะ ส่วนห้องที่บุ๋มอยู่จะหันหลังให้กับป่าละเมาะพอดี บริเวณนั้นก็จะมีคนเอาพวกซากศาลพระภูมิเก่าหักพัง ตุ๊กตาหัก ๆ มาทิ้งไว้

หลังจากเกิดเหตุเราก็เลยขอย้ายห้อง เพื่อนก็เลยชวนให้ย้ายมาอยู่ห้องใกล้ ๆ กันดีกว่า เพราะมีห้องว่างอยู่ (ลืมบอก เพื่อนชื่อโอ๋) ซึ่งโอ๋เนี่ยอาศัยอยู่กับแฟน เราก็คิดว่าดีเหมือนกันถ้าห้องติดกันก็ไม่ต้องกังวลเรื่องระเบียงห้องที่ติดกัน เพราะเป็นห้องของเพื่อน 

หลังจากเราขอย้ายไป คนดูแลก็บอกว่าห้องนี้มันร้างไม่มีคนอยู่มานานตั้ง 3 – 4 เดือนแล้วนะ ห้องก็ล็อคเอาไว้ คือเจ้าของคนเก่าเขาหายสาบสูญไปเลย ไม่ติดต่อ ไม่จ่ายค่าเช่าอะไรเลย  

คุยกันไปซักพัก สุดท้ายคนดูแลก็ยอม และไปตามช่างมาเลื่อยกุญแจหน้าห้องออก พอเปิดประตูเข้าไปสิ่งแรกที่เห็นก็คือ บนเตียงมีผ้าปูเตียง มีหมอน ที่เปลื่อนคราบเหลือง ๆ เน่า ๆ ทิ้งเอาไว้บนที่นอน  ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเป็นคราบประจำเดือน หรือว่าคราบอะไร เพื่อนก็เลยโวยวายบอกว่าขอเปลี่ยนฟูกและของทุกอย่างใหม่เลย พี่คนดูแลเขาก็ไปเปิดตู้เสื้อดู เห็นมีเสื้อผ้าทิ้งไว้อยู่ไม่กี่ชุด ทำให้รู้สึกงงว่าทำไมเจ้าของห้องคนเก่าถึงไม่เอาเสื้อผ้าไปด้วย 

หลังจากนั้นเราและเพื่อนก็ไปขนของจากชั้น 3 ลงมา กว่าจะเสร็จก็ดึกเลย หลังจากเอาของเข้าห้องเสร็จเราก็เข้านอน คืนนั้นปกติไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น คงเพราะความเหนื่อยเลยทำให้เพลียหลับไป

แต่อยู่ไปไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ ก็มีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้น ทุกคืน ประมาณหลังเที่ยงคืน เราบุ๋มจะได้ยินเสียงเหมือน คนเอาเล็บขูดกับกำแพง  ครืด…ครืดดดดดดด เสียงขูดแบบยาว ๆ จะดังเวลาเดิมๆตลอด ตอนแรกเราคิดว่าเสียงมันน่าจะดังมาจากข้างนอก เพราะห้องเราติดกับบันได แล้วหน้าปากซอยมันมีคลับร้านเหล้า เราก็คิดว่าคงจะเป็นพนักงานที่เขาเลิกงานกลับมาดึก แล้วเมาขึ้นกระไดเอาเล็บขุดกำแพงหรือป่าว

จนเวลาผ่านไป เสียงนี้ก็ยังดังอยู่ทุกคืน เราก็เลยอยากเห็นว่าใครกันที่มันทำแบบนี้ทุกคืน จนกระทั่งมีอยู่คืนหนึ่งพอได้ยินเสียงมาปุ๊บ เราก็กระเด้งตัวขึ้นจากที่นอน รีบเปิดประตูออกไป วิ่งไปดูที่หน้าบันได รองเท้าก็ไม่ใส่เพราะกลัวเขาได้ยินเสียง พอชะโงกหน้าไปดู ปรากฏว่าไม่เจอใครเลย มันว่างเปล่า หรือว่าเขาจะเดินขึ้นไปข้างบนแล้ว เลยชะโงกขึ้นไปดู แต่ก็ไม่เจออะไรเหมือนเดิม แต่พอมาคิดดูดี ๆ ก็ไม่ได้ยินเสียงเท้า แล้วเขาจะไปได้ไวขนาดนั้นเลยหรอ ก็เลยกลับเข้าห้อง 

แต่พอกลับเข้ามาในห้องก็มานั่งคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่เห็นเขา เพราะเราวิ่งออกไปดูเร็วมาก หลังจากนั้นก็ปิดไฟนอน กำลังเคลิ้ม ๆ จะหลับ เสียงก็ดังขึ้นอีก แต่คราวนี้เราไม่ได้ฟังแบบผ่าน ๆ เหมือนทุกที เราตั้งใจฟังเลย ปรากฏว่ามันไม่ใช่เสียงที่มาจากข้างนอก มันเป็นเสียงที่ดังจากในห้องเรา… 

เราก็เริ่มรู้สึกกลัวสิ เลยตัดสินใจเปิดทีวีทิ้งไว้เพื่อกลบเสียงนั้น แต่เสียงขูดเล็บมันก็ยังขูดอยู่อย่างนั้น เราเลยใช้หมอนอีกใบหนึ่ง “ปิดหู” นอนต่อยันเช้า พอเช้ามาเราก็ไปถามโอ๋ว่า 

“โอ๋…โอ๋อยู่ที่นี่มานานหรือยัง”  

 “ประมาณ 6-7 เดือน”

“โอ๋เคยเจออะไรแปลก ๆ บ้างไหม” 

“แปลกยังไง” 

“อืม…..ไม่มีอะไร เราคงฝันละเมอไปเอง” เราเลือกที่จะไม่ถามโอ๋ต่อดีกว่า เพราะกลัวเพื่อนจะไม่เชื่อ

เวลาผ่านไป เรายังได้ยินเสียงนั้นตลอดทุกคืนเกือบเดือน แต่ที่ทนอยู่ได้เพราะเราพยายามคิดว่าไม่มีอะไร บวกกับเรื่องค่าใช้จ่าย ถ้าย้ายหอก็ต้องมีค่ามัดจำใหม่อีก ก็เลยคิดว่าทนไปก่อนให้ครบสามเดือน และคิดเข้าข้างตัวเองว่า “แค่ได้ยินเสียง คงคิดไปเอง ไม่มีอะไรหรอก” 

มีอยู่วันหนึ่งเราทำงานเลิกดึกประมาณ 4 – 5 ทุ่มได้ ก็ซื้อก๋วยเตี๋ยวมานั่งกินหน้าทีวี กินไปด้วยดูไปด้วย ซึ่งทีวีจะอยู่ปลายเตียง ถัดไปจะเป็นห้องน้ำกับระเบียง ระเบียงก็จะอยู่ติดกับป่าละเมาะ ขณะกำลังกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ จู่ ๆ มีอะไรซักอย่างปลิวเข้ามาในห้อง บุ๋มก็คิดว่า ใครวะทิ้งขยะจนปลิวมาเข้าห้อง 

เราวางชามก๋วยเตี๋ยวแล้วเดินไปดู ปรากฏว่ามันเป็นกระดาษใบปลิวหนัง เรื่อง “ดิ อาย คนเห็นผ” เราก็คิดในใจเอาแล้วไหมละ ใครแมร่งแกล้งวะ ยิ่งกลัวผีอยู่ด้วย หรือจะเป็นเพื่อนที่ทำงานรู้ว่าเรากลัวผีเลยแกล้งหรือเปล่า เพราะหอนี้ก็มีเพื่อนที่ทำงานเดียวกันพักอยู่เหมือนกัน  

ก็เลยเดินไปชะโงกหน้าออกไปดูที่ระเบียงห้อง มองขึ้นไป เผื่อคนแกล้งมันรอดูเราตกใจ แต่ก็ไม่มีใคร ใจเราก็เริ่มรู้สึกไม่โอเครแล้ว เราก็เลยขยำใบปลิวทิ้งถังขยะไป แล้วก็กลับมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวต่อ 

พอกิน ๆ ไปซักพัก หางตาเราก็เหลือบไปเห็นอะไรขาว ๆ แว๊บ ๆ ผ่านหางตาไป ในใจคิด เอาอีกละไอ้คนที่แกล้งโยนโบชัวหนังคงแกล้งเราอีกละ แต่คราวนี้เหมือนเอาผ้ามาผ่านห้องเราไป พอหันกลับไปมองก็ไม่มีอะไร 

จึงตัดสินใจนั่งจ้องมองไปที่ระเบียงเลย ให้เห็นชัด ๆ เลย นั่งจ้องซักไปแปบนึงก็ไม่มีอะไร คิดในใจ หรือเขาไม่ได้แกล้งเรา อาจจะเป็นเพราะชั้นบนซักผ้าปูเตียง แล้วจังหวะชายผ้าปลิวลงมา ก็เลยหันกลับมากินก๋วยเตียวต่อ ปรากฏว่ารู้สึกเหมือนเห็นอะไนแว๊บอีกละ ก็เลยคิดว่าตัวเองอาจจะมโน หรือจินตนาการไปเอง เลยเดินไปเปิดไฟระเบียงทิ้งไว้ กะว่าถ้ามีอีก คราวนี้ก็ต้องเห็นชัด ๆ  

แล้วเราก็กลับมานั่งที่เดิม แต่คราวนี้เรานั่งจ้องเลยค่ะ ถ้าไอ้ขาว ๆ มาปุ๊บ เราจะหันไปมองทันที หลังจากคิดไม่ถึงห้าวิ เห็นขาว ๆ ลอยมาเลย หันไปเห็นเต็ม ๆ ตา ตอนนั้นเหมือนเวลามันหยุดหมุนเดิน เพราะสิ่งที่เห็นคือผีผู้หญิงใส่ชุดขาวหม่น ๆ สีเหลืองเหมือนไม่ได้ซัก ผมยาวปิดหน้าเกือบ ๆ เอว กำลังลอยผ่านระเบียงไป  จากตอนแรกแค่เห็นแค่แว๊บ ๆ แต่ครั้งนี้เค้าลอยช้ามาก ๆ เหมือนตั้งใจให้เราเห็นเต็ม ๆ ตอนนั้นเรากลั้นหายใจเลยค่ะ กลัวเค้าเห็น ได้ยินเสียงน้ำตาตัวเองหล่นลงไปในถ้วยก๋วยเตี๋ยว “ติ๋ง ๆๆ”  เราคิดในใจว่าเมื่อไรจะลอยให้พ้นไปจากมุมห้องเราซักที เหมือนเวลามันผ่านไปเป็นชาติเลย 

พอเค้าลอยไปจนสุดทาง บุ๋มก็วางชามก๋วยเตี๋ยววิ่งออกจากห้องไปที่ห้องโอ๋ที่อยู่ข้าง ๆ ทันที  พยายามเช็ดน้ำตา ไม่อยากเล่าอะไร เพราะกลัวเพื่อนจะช็อค แล้วเรียก “โอ๋ๆๆๆ เปิดประตูให้หน่อย” 

โอ๋เปิดประตูออกมาแล้วทักว่า “พึ่งกลับหรอ” เราก็บอก “พึ่งกลับ” โอ๋ก็ถามอีกว่า “ทำไรมาหน้าตาตื่น” แต่เราก็ไม่ได้เล่าใหโอฟัง เพราะกลัวจะไม่เชื่อ ก็เลยเลือกที่จะพูดกับโอ๋ไปว่า…

“เมื่อกี้เราเปิดทีวี แล้วเจอหนังผีน่ากลัวมาก โอ๋ช่วยไปนั่งเป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม เรายังไม่ได้อาบน้ำ” 

โอ๋ก็ตอบตกตลง กลับมาห้อง เราก็เข้าไปอาบน้ำ โดยเปิดไฟที่ห้องน้ำ และเปิดประตูไว้เพื่อให้เห็นโอ๋ที่นั่งอยู่บนเตียงตลอดเวลา หน้าก็ไม่ยอมล้าง กลัวว่าถ้าหลับตาเค้าจะโผล่มาให้เห็นอีก อาบน้ำเสร็จออกมาก็เจอโอ๋คุยโทรศัพท์กับแฟนอยู่ โอ๋ก็ถามเราว่า “เรากลัวไหม”  

เราตอบว่า “กลัว” โอ๋เลยบอกว่า “เราคุยโทรศัพท์กับพี่เอ็ม (แฟนของโอ๋) แล้ว พี่เอ็มบอกให้นอนเป็นเพื่อนบุ๋มได้ พอดีวันนี้พี่เอ็มไปเล่นสนุ๊กเกอร์กับเพื่อน จะกลับดึกๆ เดี๋ยวดึก ๆ ถ้าเลิกเล่นแล้วเดี๋ยวพี่เอ็มจะมาเอากุญแจห้องที่โอ๋” 

เราก็โอเครดีใจ  มีเพื่อนมานอนด้วยรู้สึกอุ่นใจละ โอ๋บอกว่า ขอกลับไปอาบน้ำก่อน บุ๋มก็บอกว่า ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราไปนั่งรอที่ห้องเป็นเพื่อน หลังจากเสร็จภาระกิจต่าง ๆ เราก็กลับมานอนที่ห้องเหมือนเดิม 

หลับไปได้ซักพัก ก็รู้สึกตัวตื่นขึ้น ตอนที่โอ๋ก็สะกิดแล้วบอกว่า  “บุ๋ม ๆๆ ตื่นๆ ไปนอนห้องโอ๋ดีกว่า” 

ด้วยความที่งัวเงียก็เลยตอบ “จ้า ๆ” แล้วดึงผ้าห่มตามโอ๋ไป โอ๋ไขกุญแจประตูเข้าไปในห้อง เปิดไฟปุ๋บ เท่านั้นแหละ ได้ยินเสียงดัง  

“โป๊ก!!!!!!” 

โอ๋ก็อุทานออกมาว่า “ตายแล้ว!!!” เพราะพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก 7 นิ้ว ที่อยู่หลังตู้เสื้อผ้าภายในห้องโอ๋มา 6 เดือน จู่ ๆ ก็หล่นมาจากชั้นวาง เศียรหักครึ่งเลย โอ๋เห็นก็เลยเอามือมากันเรา แล้วบอกว่าอย่าพึ่งเข้าห้อง แล้วโอ๋ก็โทรหาพี่เอ็ม คุยเสียงดังเลยว่าให้รีบกลับมาห้องเดี๋ยวนี้เลย แล้วโอ๋ก็เดินไปคุยที่ระเบียง พูดกระซิบ ๆ เหมือนไม่อยากเราได้ยิน เราก็ยืนมองพระพุทธรูปอยู่ตรงหน้าห้อง

พอพี่เอ็มกลับมาถึงก็อุทานเป็นคำหยาบ ภาษาใต้ แล้วก็พูดขึ้นว่า “กูไม่กลัวมึงหรอก!!”  บุ๋มก็งงว่า ใคร!! ไม่กลัวอะไร หลังจากนั้นพี่เอ็มก็เอาพระพุทธรูปไปทิ้งตรงป่าละเมาะด้านหลังห้อง ตรงจุดกับที่คนเอาซากศาลมาทิ้ง จากนั้นก็เดินกลับมาเอาน้ำมนต์บนหลังตู้ ที่ขวดเขียนว่า “วัดฉลองภูเก็ต” พรม ๆๆ จนทั่วห้อง 

พรมในห้องเสร็จ พี่เอ็มก็ไปพรมในห้องเราต่อ จากนั้นพี่เอ็มก็บอกว่าเช้าค่อยคุยกัน พูดแค่นี้ แล้วก็ออกไปเล่นสนุ๊กต่อ เพราะยังค้างไว้อีกเกมส์สองเกมส์ บวกกับยืมมอเตอร์ไซเพื่อนมาด้วย ก่อนไปพี่เอ็มได้บอกอีกว่า ให้บุ๋มกับโอ๋นอนเตียงไปเลย เดี๋ยวเล่นเสร็จกลับมาเขาจะมานอนพื้นเอง  

เราก็นอนบนเตียงกับโอ๋ นอนหลับไปซักพัก ก็รู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่นได้ยินคนกระซิบกระซาบ เป็นเสียงแหบ ๆ  รอบ ๆ เตียงเต็มไปหมด เราก็เอ๊ะเสียงใคร หรือพี่เอ็มกลับมาแล้ว แล้วชวนเพื่อนมาเล่นไพ่กันที่ห้อง เลยคิดว่าจะกลับห้องดีกว่า 

เวลานั้นคิดว่าตี 4 – ตี 5 เพราะได้ยินเสียงป้าที่ขายอาหารตามสั่งแกออกมาเตรียมของขาย เพราะปกติแกจะออกมาเตียมของเวลานี้ประจำ ปรากฏว่าพอเราจะลุกแต่ลุกไม่ได้!! ขยับได้แค่ช่วงคอ เสียงกระซิบก็ยังได้ยินอยู่ เราพยายามเปิดตาดู  เห็นเหมือนเงาคนประมาณ 10 กว่าคน นั่งกันอยู่รอบ ๆ เตียง เราก็เลยถามไปว่า  “คืออะไรอะ ทำไมมานั่งกันรอบเตียง” 

เราพยายามจะสะกิดโอ๋ แต่มือมันขยับไม่ได้ มันหนัก ๆ ไปหมด แล้วก็ได้ยินเสียงผู้หญิงพูดว่า  “จัดการมัน!!” 

 บุ๋มก็คิดว่าหึ!! เสียงใคร แล้วจู่ ๆ เงาที่อยู่รอบ ๆ ก็ตอบกลับมาว่า  “กูเอง ลุงมี” 

เราก็คิดในใจ “ลุงมีไหนวะ” แล้ว จู่ ๆ ก็มีเงาของชายแก่หนังแห้งติดกระดูกพุ่งเข้ามาหา ด้วยความที่เราขยับตัวไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ จึงได้แต่มองดูเขา สักพักเขาก็เข้ามาบีบคอเรา!! 

มือเราอยู่ข้างลำตัว เงาเขาก็มาบีบคอเรา เรามองไม่เห็นหน้าเขานะ แต่รู้สึกได้ว่าตอนนั้นน้ำตามันไหลออกข้างตา เราได้แต่สวดมนต์ สวดผิด ๆ ถูก ๆ ของเราไป นะโมตัสสะไม่ได้จบสักบท จนเริ่มได้ยินเสียงตัวเองร้อง  

“เฮื๊อกก!!” 

เราคิดว่าไม่ไหวละ นึกขึ้นได้ว่าถ้าเจอผีอำให้คิดถึงพ่อแม่ เพราะพ่อกับแม่คือพระของลูก เราก็เลยตั้งจิตว่า “แม่ ๆ ช่วยบุ๋มด้วย ลูกหายใจไม่ออก ลูกตายแน่เลย” แล้วจู่ ๆ เราก็รู้สึกเหมือนยกมือทั้งสองข้างปัดหน้าคนแก่คนนั้นกระเด็นหงายหลังหายไปเลย ทั้ง ๆ ที่มือเรายังอยู่ที่เดิมนะ แล้วเราก็ได้ยินเสียงตัวเองหายใจดัง  “เฮื๊อกก!! เฮื๊อกกกกกก”  

เหมือนหายใจเอาอากาศเข้าปอด คิดว่าตัวเองคงรอดละ แต่จู่ๆก็มีเงาผู้หญิงทะลุผนังห้องฝั่งที่เรานอน ต้องบอกก่อนว่าเรานอนฝั่งที่ติดกับผนัง ผู้หญิงคนนี้โผล่จากผนังออกมาแล้วใช้มือข้างหนึ่งกดมาที่คอเรา  แรงของเธอมากกว่าชายแก่เมื่อกี้อีกเสียอีก  จนเราหายใจไม่ออก แทบจะขาดใจ  คิดว่าตายแน่ ๆ ก็เลยร้องให้ออกไปพร้อมกับพูดว่า “แม่….ลูกตายแน่ ๆ ช่วยลูกด้วย” แล้วจู่ ๆ เราก็ตะโกนออกไปว่า  

“โอ๋!!!!!!!!!!!!!!!!!!”       

ลั่นห้องเลย โอ๋ก็เลยบอกให้พี่เอ็มเปิดไฟ ๆ โอ๋บอกว่าสภาพเราตอนนั้นคือ ใจเต้นแรง เหงื่อออกเยอะมาก นอนน้ำตาไหลอาบแก้ม โอ๋ปลอบเราว่า “ไม่เป็นไร ๆ” โอ๋เปิดไฟนอนจับมือเรายันเช้า รู้สึกตัวตื่นมาอีกทีตอน 8 โมงเช้า เรามีอาการไข้ขึ้น ดีนะที่หัวไม่โกร๋น ช่วงสาย ๆ เราก็มาจับกลุ่มคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น เราก็เล่าสิ่งที่เราเจอมา ส่วนโอ๋ก็เล่าเหมือนกันว่า… 

ตอนที่ไปนอนห้องบุ๋ม โอ๋นอนไปได้ซักพัก เหมือนมีคนมากระชากเท้าแรง ๆ สองสามครั้ง แล้วก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดขาว มายืนอยู่ตรงปลายเท้าแล้วพูดว่า 

“มึงออกจากห้องกูไปเดี๋ยวนี้”  

“นี่มันห้องมึงที่ไหน นี่ห้องเพื่อนกูนะ” โอ๋เถียงกลับไป

“ไม่ใช่ นี่มันห้องของกู มึงไปเดี๋ยวนี้”   ผู้หญิงก็ตอบกลับมา

“เออ ห้องมึงใช่ไหมงั้นมึงอยู่ไป เดี๋ยวกูพาเพื่อนกูไปอยู่ห้องกูได้” 

พอพูดจบผู้หญิงคนนั้นก็ตอบกลับมาอีกว่า “มึงออกไปคนเดียว อีนี่เป็นของกู!!”  โอ๋ก็เลยบอกว่า “ไม่ได้!! มึงไม่มีสิทธิ์”  

จากนั้นโอ๋ก็ปลุกบุ๋ม แล้วก็มาเจอพระหล่นในห้อง ส่วนพี่เอ็มก็เล่าว่าตอนกลับมานอนได้ซักพักนึง รู้สึกเหมือนได้ยินคนคุยกันรอบ ๆ เตียง แต่ด้วยความที่เมา ก็เลยไม่ได้สนใจ สักพักรู้สึกเหมือนมีชายผ้า มาโดนปลายขา พี่เอ็มเลยสะบัด แล้วก็เหมือนมีคนจะมาดึงขา พี่เอ็มก็เลยอุทานเป็นภาษาใต้ไปว่า  

“อย่าให้กูโมโหนะ จะเตะเรียงตัวเลย” 

วันนั้นเราไม่ได้ไปทำงานเลย นอนพักอยู่ที่ห้องโอ๋ อีกวันถัดมาเราก็ยังนอนอยู่ห้องโอ๋ พอเพื่อน ๆ ที่ทำงานทราบเรื่องก็ให้ของขลัง ยันต์ พระ ยันต์จีน ไทย ต่างๆนาๆมาหลายอย่าง มาติดเต็มห้องเต็มไปหมด 

เราตัดสินใจไปคุยกับคนดูแลตึก ว่าห้องพี่เราพักอยู่มันมีอะไรกันแน่ แต่เขาก็บอกว่าไม่รู้ เพราะพึ่งมาทำงานได้ไม่นาน หรือเขาอาจจะรู้แต่ไม่บอกเรา เราก็เลยขอย้ายตึก แต่เขาบอกไม่ได้หรอกต้องอยู่ให้ครบไม่งั้นจะโดนริบมัดจำ 

ด้วยความเสียดายเงิน เราก็เลยจำใจต้องอยู่ห้องเดิมต่อ แต่หลังจากวันนั้นเค้าก็ไม่ได้ออกมาให้เห็นเลยนะ แต่เสียงขูดกำแพงก็ได้ยินซ้ำ ๆ เวลาเดิมทุกวัน จนเราติดนิสัยไปเลยว่า เวลานอนจะต้องเปิดทีวีทิ้งไว้ แล้วก็เอาหมอนอีกใบมาปิดหูถึงจะนอนหลับ 

เราทนอยู่ไปจนครบสัญญา 3 เดือนเพื่อเอาเงินมัดจำคืน แต่สุดท้ายเราก็ไม่รู้ว่าเจ้าของห้องคือใคร และวิญญาณนั้นคือใคร… 

นอกจากห้องเราที่เจอแล้วก็ยังมีห้องอื่น ๆ ที่โดนเหมือนเราเช่นกัน เพราะหลังจากที่เราได้เล่าเพื่อน ๆ ที่พักอยู่หอเดียวกันฟัง เพื่อนๆก็จับเข้าคุยกันว่าเจอเหมือนกัน แต่ไม่ได้เจอรรุนแรงถึงขั้นจะเอาชีวิตแบบเรา อย่างมาก็แค่มาอำ มานั่งทับ มาแต่เสียงหรือมาให้เห็นแว๊ป ๆ 

หลังจากเหตุการณ์ผ่านไป เราพึ่งมาคิดได้ที่หลังว่า วันแรกที่เราเข้ามา เราได้เอาดอกไม้พวงมาลัยไปไหว้ที่ศาลพระภูมิของตึก เพื่อบอกกล่าวว่าเราจะมาอยู่ที่นี่นะ ให้ท่านช่วยดูแลเรา แต่เราพึ่งจะมาทราบภายหลังจากคนที่เขาย้ายไปอยู่ตึกใหม่ ซึ่งเมื่อก่อนเขาเคยทำงานอยู่ตึกนี่ 

เขาบอกว่า ศาลพระภูมิที่นั่นมันร้างมานานแล้ว สรุปที่เราไหว้วันนั้นมันไม่ใช่ศาลพระภูมิหรอ แล้วเราไหว้อะไรไป เพราะมันมีตากับยายนั่งอยู่ในนั้น เราก็คิดว่าน่าจะเป็นศาลตายาย 

หลังจากนั้นเราก็มีไปทำบุญให้พวกเขา เวลาใส่บาตรหรือถวายสังฆทานก็จะบอกว่า วิญญาณที่อยู่แถว ๆ นั้น ให้มารับส่วนบุญกุศลนี้ด้วยนะ และพ่อเราก็ส่งพระมาให้ป้องกันอีกด้วย  

สรุปจากที่ฟังมาจนถึงตรงนี้ แอดมินคิดว่าตำแหน่งของหอพักหรือห้องที่คุณบุ๋มอยู่อาจจะไม่น่ามีอะไร แต่ประเด็นมันน่าจะอยู่ที่ป่าละเมาะที่อยู่ติดกับหอพัก ที่คนเขาเอาศาลเอาอะไรมาทิ้ง จนกลายเป็นที่อยู่อาศัยของพวกวิญญาณเร่ร่อน หรือสัมภเวสี เพราะเหมือนกับว่าพวกเขาเหล่านั้นไปได้ทุกห้อง แม้กระทั่งห้องของเพื่อนของคุณบุ๋มที่มีพระอยู่ก็ตาม…เรื่องก็มีเพียงเท่านี้ 

ขอบคุณเรื่องจาก อังคารคลุมโปง  หอพักหลอนย่านนวมินทร์ – คุณบุ๋ม ถอดความโดย คลังหลอน

***บทความ Rewrite สำนวนการแปลทั้งหมดเป็นของคลังหลอน ห้ามคัดลอกไปลงเว็บอื่น หรือเอาไปอ่านลง Youtube เด็ดขาดนะครับ ***

Previous articleเรียกมาขึ้นรถ
Next articleคนไม่มีเวลา…