ตอนเด็ก ๆ คุณเคยได้ยินคำเตือนจากผู้เฒ่าผู้แก่เรื่องนี้…กันบ้างไหม ? ตอนกลางคืนอย่าได้ส่งเสียงอะไรออกมา เพราะถ้าไม่เชื่อฟัง ระวังจะถูกปีศาจพาตัวไปอยู่ด้วย !!!
ซึ่งปกติเราก็จะยอมสงบปากสงบคำ แล้วเข้านอนไปแต่โดยดี แต่ในใจก็อยากรู้เหมือนกันใช่ไหมว่าถ้าเราส่งเสียงออกไป มันจะมีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ หรือเปล่า ?
วันนี้จะพาไปพบกับ เรื่องราววัยเด็กของชายคนหนึ่งที่ได้พบกับเหตุการณ์แปลกประหลาดกับหญิงสาวที่มีขนาดสูงใหญ่ กว่าคนทั่วไป ซึ่งถ้าใครโชคร้ายได้พบเจอกับเธอเข้า มันจะทำให้คนผู้นั้น ถูกลักพาตัวไปโดยไม่มีใครสามารถ พาตัวกลับมาได้อีกตลอดกาล!
โดยเรื่องราวนั้นมีอยู่ว่า…….ประมาณปี ค.ศ. 2008 ชายวัยรุ่นคนหนึ่งได้โพสต์เล่าถึงประสบการณ์ ที่เขาได้พบเจอในช่วงวัยเด็ก วันนั้นคุณพ่อของเขา ได้ขับรถพาเขาไปยังหมู่บ้านเล็กๆทางชนบท เพื่อจะได้ไปเยี่ยมคุณปู่และคุณย่าอย่างที่เคยทำเสมอมา
ในช่วงวันหยุดปิดเทอม เขาบอกว่าทุก ๆ ครั้งที่ไป คุณปู่และคุณย่าจะคอยต้อนรับขับสู้ และมีอะไรดี ๆ ให้เขารู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้แวะมาเยี่ยม พวกท่านอยู่เสมอ
เพียงแต่ในครั้งสุดท้าย ที่เขาแวะไปเยี่ยมนี้ มันเป็นช่วงที่เขาเรียนอยู่ในชั้นปีสาม ทั้ง ๆ ที่ทุกอย่างมันก็ดูจะเหมือนทุก ๆ ครั้ง ที่แวะมาที่นี่ บรรยายกาศดี ๆ อย่างที่เป็น
และในขณะที่เขากำลังขี่จักรยานเล่นไปรอบ ๆ บ้านของคุณปู่อยู่นั้น เขาได้พบกับบางสิ่งบางอย่าง ที่มันทำให้เขารู้สึกหนาววูบเสียวสันหลังไปทั่ว ทั้ง ๆ ที่แสงแดดอันร้อนแรง ยังคงทำหน้าที่ของมันอยู่อย่างแข็งขัน ซึ่งทุกสิ่งอย่างมันก็เกิดขึ้น หลังจากที่เขาได้ยินเสียงแปลก ๆ บางอย่างดังขึ้นมา
“โพโพ, โพโพโพพโพ, โพ, โพพ…..”
เขาแน่ใจว่า มันไม่ใช่เสียงเครื่องยนต์ จากไหนแน่ ๆ เสียงแปลก ๆ นั่น มันเป็นเสียงของคนชัด ๆ เขาจึงค่อย ๆ มองหาที่มาเสียงประหลาดนี้ว่ามันดังมาจากทางไหน และในที่สุดเขาก็เห็น..!!
หมวกสีขาวใบหนึ่ง กำลังขยับไปมาลอยอยู่เหนือพุ่มไม้ราวกับว่ามันกำลังพยายามจะทำลายพุ่มไม้นั้นอยู่ และเมื่อพยายามมองดูดี ๆ ตรงพุ่มไม้นั้น เขาก็สังเกตเห็นว่า แท้ที่จริงแล้ว เจ้าหมวกนั้น มันสวมอยู่บนศีรษะของหญิงสาวคนหนึ่ง!
หญิงสาวในชุดสีขาว ตัวของเธอสูงมาก น่าจะสูงกว่าสองเมตรเสียอีก แต่ยังไม่ทันที่เขาจะคิดอะไรได้มากไปกว่านี้ หญิงสาวคนนั้นก็หายไป
เธอหายตัวไปพร้อมกับเจ้าเสียงประหลาดนั่น ซึ่งในตอนนั้นเขาเองก็ได้แต่สงสัยว่า สิ่งที่เขาเห็นเมื่อสักครู่นี้ แท้ที่จริง อาจจะไม่ใช่ผู้หญิงตัวสูงอย่างที่คิดก็ได้ บางทีเขาอาจจะแค่เห็นผู้ชายตัวสูงที่แต่งตัวให้ดูเหมือนผู้หญิงอย่างที่ผู้ชายบางคนเขานิยมทำกัน แต่ถึงจะคิดแบบนั้น มันก็ยังทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ กับประสบการณ์ครั้งนี้อยู่ดี
ในเวลาต่อมา หลังจากที่เขากลับมาที่บ้านพักและนั่งดื่มชากับคูณปู่และคุณย่า เขาก็ได้เล่าถึงประสบการณ์ประหลาดเรื่องนี้ ให้กับพวกท่านฟัง และคาดเดาไปว่า บางทีเขาอาจจะพบกับสาวประเภทสองก็เป็นได้ และก็บอกไปว่า บางทีเขาอาจจะคิดมากไป จนเขาเล่ามาถึงช่วงที่เขาได้ยินเสียงประหลาด …
มันก็ทำให้คุณปู่และคุณย่าของเขาออกอาการตกใจขึ้นมา จนเขาเองก็รู้สึกได้ ทันใดนั้นคุณปู่ ก็ถามคำถามกับเขาว่า เขาไปเห็นหญิงสาวคนนี้ตอนไหน ? และถามถึงความสูงของหญิงสาวที่เขาได้พบ ตามด้วยคำถามว่า มันมองมาทางเขาด้วยหรือเปล่า ?
เมื่อเขาให้คำตอบทั้งหมดไปแล้ว คุณตาก็รีบลุกเดินไปยังโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่ในห้องโถงถัดไป จากนั้นก็ปิดประตู ทำให้เขาไม่รู้ว่าท่านไปคุยอะไรกับใคร
บรรยากาศในห้องตอนนี้ เริ่มเงียบงัน คุณย่ายิ้มออกมาเล็กน้อย แต่เขาก็สังเกตได้ว่า ตอนนี้คุณย่ามีอาการตัวสั่น เหมือนกำลังกังวลอะไรบางอย่าง
ในที่สุดคุณปู่ก็กลับมา และบอกกับเขาว่าคืนนี้เขาจะต้องนอนอยู่กันทั้งคืน ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เพียงแต่รู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อย ซึ่งความรู้สึกนี้ มันก็ได้ทำให้เขาตัดสินใจ ถามพวกท่านไปว่า สาเหตุที่ต้องทำแบบนี้มันเป็นเพราะเขาไปพบหญิงสาวคนนั้นใช่หรือเปล่า ?
คุณปู่ของเขา กลับโยนให้คุณย่าเป็นผู้ตอบคำถามนี้แทน โดยอ้างว่า เดี๋ยวคุณปู่จะต้องไปรับเคซัง ก่อนที่จะเดินออกไป
คุณย่าของเขา ตอบเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือว่า ดูเหมือนว่าท่านฮาจิชาคุ น่าจะกำลังสนใจตัวของเขาอยู่ แต่ไม่ต้องกังวลอะไรมากไป เพราะตอนนี้คุณปู่กำลังเดินเรื่องแก้ไขให้
และคุณย่าก็ได้อธิบายว่า ท่านฮาจิชาคุนั้น ไม่ใช่มนุษย์ แต่ท่านเป็นปีศาจ ในร่างของหญิงสาว และสาเหตุ … ที่ทำให้ต้องเรียกเธอว่า ท่านฮาจิชาคุนั้น ก็เพราะความสูงกว่า 8 ฟุต ของเธอนั่นเอง เพราะคำว่า “ฮะจิ” ก็คือเลขแปด ส่วน “ชาคุ” ก็คือหน่วยวัดเป็นฟุต และ “ซามะ” ที่แปลว่าท่าน ก็หมายถึงร่างมนุษย์
โดยการปรากฏตัวของท่านฮาจิชาคุ ในแต่ละครั้งนั้นจะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป บางทีก็เป็นเด็ก บางทีก็เป็นคนแก่ แต่ทุกครั้งที่เห็นเหมือน ๆ กัน ก็คือความสูง ที่สูงเกินกว่ามนุษย์ทั่วไป และเสียงประหลาดที่เขาได้ยินนั้น มันก็คือเสียงหัวเราะของเธอนั่นเอง
คุณย่าเล่าว่า เวลาที่ท่านฮาจิชาคุสนใจใครเข้าล่ะก็ คน ๆ นั้นจะต้องถูกตามล่าจนเสียชีวิตไปภายในเวลาไม่กี่วัน และเหยื่อคนล่าสุดของท่านฮาจิชาคุนั้น น่าจะมีอายุประมาณ 15 ปี เท่านั้นเอง
โดยท่านฮาจิชาคุนั้น เป็นปีศาจที่ถูกขังอยู่ในศาลเจ้าของหมู่บ้าน และใช้พระพุทธรูปปูนปั้น ชื่อจิโซ ผนึกวิญญาณล้อมไว้ทั้ง 4 ทิศ เพื่อคอยปกป้องเหล่าเด็กๆไม่ให้ถูกมันทำร้าย และในสมัยก่อนนั้นชาวบ้านต่างก็ได้ทำการตกลงกันว่า…
ทุก ๆ คนจะช่วยกันสอดส่องดูแล ไม่ให้ปีศาจตนนี้หลุดออกมา ซึ่งเรื่องนี้ มันก็เกิดขึ้นมานานมากแล้ว และก็มีเพียงแต่ผู้เฒ่าผู้แก่ของหมู่บ้านเท่านั้นที่พอจะรู้วิธี จัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้!
แต่เรื่องเล่าของคุณย่า ก็ไม่ได้ทำให้เขาปักใจเชื่ออะไรสักเท่าไหร่ จนเวลาผ่านไปพักหนึ่ง คุณปู่ก็เดินทางกลับมา พร้อมกับหญิงชราอีกคน ซึ่งเธอก็คือเคซัง นั่นเอง
หญิงชราคนนี้ ได้ส่งเศษกระดาษชิ้นเล็ก ๆ ให้ และกำชับให้เขากำมันเอาไว้ในมือตลอดเวลา และเคซังกับคุณปู่จึงเดินขึ้นไปชั้นบน โดยสั่งให้เขาหลบเข้าไปเตรียมตัวในห้องน้ำ โดยมีคุณย่าคอยเฝ้าระวังที่ประตูเอาไว้ ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง มันได้ทำให้เขารู้สึกได้ว่า ทุกๆ คน ไม่ได้ล้อเล่นกับเหตุการณ์ในครั้งนี้เลย
ในเวลาต่อมา เขาก็กลับมาที่ห้องนอน เขาพบว่าหน้าต่างในห้อง ถูกกระดาษหนังสือพิมพ์ปิดทับเอาไว้อีกชั้น ที่มุมห้องก็มีเกลือกองหนึ่ง อยู่ในจานใบเล็ก มันเรียกว่า โมริชิโอ คุณปู่และเคซัง คงทำมันเอาไว้ เพื่อเป็นเครื่องรางช่วยคุ้มกัน และข้าง ๆ นั้นก็มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ด้วย
โดยคุณปู่บอกว่า เขาจะต้องอยู่ในห้องนอนแบบนี้ ไปจนกว่าจะถึงเจ็ดโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น และไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม จงห้ามส่งเสียง และห้ามออกนอกห้องไปไหนเป็นอันขาด และทุกคนก็จะไม่มีใครพูดอะไรกับเขาเช่นกัน ส่วนเคซังบอกกับเขาว่า ถ้าเขารู้สึกกลัวขึ้นมา ก็ให้รีบสวดมนต์ทันที อย่าได้ลังเล
พอถึงเวลานอน เขาก็นั่งดูทีวีไปเรื่อย ๆ คุณย่าได้ทิ้งของขบเคี้ยวไว้ ให้นิดหน่อย พอดูทีวีไปได้สักพัก เขาก็เผลอหลับไป ปล่อยให้ทีวี เปิดทิ้งไว้แบบนั้น จนมารู้สึกตัวอีกที เวลาก็ผ่านมาถึงตอนตี 1 แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงอะไรบางอย่าง เคาะที่หน้าต่าง ที่ถูกปิดไว้นั้น
เขาพยายามนั่งดูทีวีต่อ โดยทำเป็นไม่สนใจเสียงดังกล่าว และตอนนั้นเสียงคุณปู่ ที่อยู่ห้องข้างล่าง ก็ตะโกนถามขึ้นมาว่า เป็นอย่างไรบ้าง ถ้ากลัวมากก็ให้รีบลงมาที่ห้องโถงนี้ซะ
พอได้ยินแบบนั้น เขาก็แทบจะลุกออกไปทันที แต่ก็นึกได้ว่าเมื่อตอนเย็นคุณปู่และเคซัง ได้กำชับเอาไว้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุกคนจะไม่พูดกับเขา จนถึงเช้าไม่ใช่หรือ ? แล้วเขาก็ได้ยินเสียงคุณปู่เรียกมาอีกครั้งว่า ไม่เป็นไรหรอก ลงมาสิ
นั่นจึงทำให้เขารู้สึกระแวงว่า บางทีมันอาจจะ…ไม่ใช่เสียงของคุณปู่ก็ได้ พอมองไปที่จานใส่เกลือมุมห้อง เขาก็เห็นเม็ดเกลือ เริ่มกลายสภาพเป็นสีดำขึ้นมาทีละนิด เขาจึงรีบหันหน้าไปยังพระพุทธรูป พนมมือขึ้นพร้อมกับสวดมนต์ ด้วยความกลัว แล้วเสียงร้องที่เขาเคยได้ยินมาก่อนนั้นก็ดังขึ้น
“โพโพ….. โพ….”
พร้อมกับเสียงเคาะหน้าต่างอีกครั้ง คราวนี้มันดังขึ้นเรื่อยๆ จากเสียงเคาะในตอนแรก ก็กลายมาเป็นเสียงมือคนทุบตีที่กระจกอย่างแรง แต่ว่าตอนนี้ เขาคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า การสวดมนต์แล้ว
ทำไมคืนนี้มันถึงได้ยาวนานจังนะ เขาพยายามสวดมนต์ต่อไป จนกระทั่งโทรทัศน์มีรายการข่าวตอนเช้า ซึ่งมันหมายความว่า ตอนนี้ก็คือเวลาเจ็ดโมงเช้าแล้วใช่ไหม ? พอมองไปที่จอทีวี ตรงมุมบนของจอภาพ
ก็บอกเวลา 7.13 นาฬิกา ตอนนี้เสียงทุบ มันก็หายไปแล้ว เกลือที่อยู่ในจาน กลายเป็นสีดำสนิท เขาจึงรีบเปิดประตูออกไปทันที
และที่หน้าประตูนั้น เขาก็พบทั้งคุณย่ากับเคซัง กำลังนั่งเฝ้าอยู่ ใบหน้าของทั้งคู่ ดูกังวลใจเป็นอย่างมาก พอคุณย่าหันมาเห็นหน้าเขา ท่านก็ร้องไห้ออกมา บอกเขาว่า ทุกอย่างมันผ่านไปเรียบร้อยแล้ว
พอเดินลงบันไดไป เขาก็เห็นคุณพ่อกำลังนั่งรออยู่ ส่วนคุณปู่ เพิ่งเดินกลับมาจากข้างนอก คุณพ่อบอกกับเขาว่า ตอนนี้ก็ได้เวลาต้องรีบเดินทางกลับกันแล้ว และพอเขามองออกไปที่หน้าบ้าน เขาก็เห็นผู้ชายกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ รถตู้ ส่วนรถของคุณปู่จอดอยู่ข้างหน้า และรถของคุณพ่อ ก็จอดประกบท้ายรถตู้คันนั้นอยู่
เขาถูกเรียกให้เข้าไปนั่งในรถตู้ จากนั้นชายกลุ่มดังกล่าว ก็มานั่งล้อมที่นั่งของเขาไว้ ส่วนเคซังก็นั่งอยู่ที่เบาะหน้าข้าง ๆ คนขับ และก่อนที่เคซัง จะบอกให้คนขับรถขับออกไป เคซังก็หันกลับมาบอกเขาว่า เขาจะเป็นคนเดียวที่สามารถมองเห็นท่านฮาจิชาคุได้ และกำชับว่า จงห้ามมองไปที่ตัวท่าน…โดยเด็ดขาด !!
เมื่อขบวนรถทุกคันวิ่งออกไป เขาเองก็ไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรน่ากลัวเกิดขึ้นอีก แต่แล้วเคซัง ก็เริ่มสวดมนต์ออกมา ด้วยเสียงที่ดังมาก และตอนนี้ เขาก็เริ่มได้ยินเสียงหัวเราะประหลาดนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง ….
“โพ…..โพ……โพพ….โพ….”
นั่นจึงทำให้เขารู้สึกเสียววูบขึ้นมา ที่กระดูกสันหลัง กอดอก ซุกหัวตัวเองลงไปด้วยความกลัว ไม่กล้ามองออกไปที่หน้าต่างรถ แม้แต่ปลายสายตา ชายที่นั่งมาด้วยข้าง ๆ เขาก็ช่วยปิดตาให้อีกแรง
จนรถตู้วิ่งไปได้พักใหญ่ เคซังก็หยุดสวดมนต์ และบอกกับทุกคนว่า ตอนนี้น่าจะปลอดภัยแล้ว ขบวนรถจึงได้จอดให้เขา ย้ายไปนั่งที่รถของคุณพ่อตาปกติ
หลังจากที่คุณพ่อ ขอบคุณคุณปู่และเคซังเสร็จ เคซังก็บอกว่า สาเหตุที่ให้เขานั่งรถตู้ไปกับกลุ่มผู้ชายที่มาด้วยกันนั้น ก็เพื่อให้ท่านฮาจิชาคุรู้สึกสับสน เพราะชายทุกคน บนรถคันนั้นล้วนเป็นญาติ ๆ ที่เกณฑ์ให้มาช่วยเหลือนั่นเอง
เคซังถามถึงเศษกระดาษ ที่ให้เขากำเอาไว้ในตอนแรก ซึ่งตัวเขาเอง ก็กำมันเอาไว้ตลอดเวลา จนลืมไปแล้วว่ากำมันอยู่ พอแบมือออก ทุกคนก็พบว่าเศษกระดาษแผ่นนั้นกลายเป็นสีดำไปหมดแล้ว และเคซังก็ได้พูดทิ้งท้ายไว้ว่า
“ทุกอย่างน่าจะเรียบร้อยแล้วนะ จะเหลือก็เพียงแต่… “
แล้วเคซังก็หยุดพูดไป พร้อมกับส่งเศษกระดาษอีกแผ่นให้เขากำเอาไว้ โดยกำชับว่า ถึงบ้านแล้วค่อยแบมือออก ตลอดเส้นทางที่เขากับพ่อ ขับรถกลับไปนั้น คุณพ่อบอกกับเขาว่า ในสมัยเด็ก ๆ เพื่อนของคุณพ่อคนหนึ่ง ก็เคยถูกท่านฮาจิชาคุ มาเอาตัวไปเช่นกัน !!
หลังจากนั้นเขาก็ได้คุยโทรศัพท์กับคุณปู่ ท่านบอกว่า เสียงเรียก ที่ได้ยินตอนกลางคืนวันนั้น มันไม่ใช่เสียงของท่านแต่อย่างใด ซึ่งสิ่งนี้มันเป็นวิธีการหลอกล่อเหยื่อ ของท่านฮาจิชาคุให้เหยื่อตายใจ ด้วยการปลอมเสียงเป็นคนที่เขาเชื่อใจนั่นเอง
จนสิบปีต่อมา เขาเองก็ลืมเรื่องราวนี้ไปหมดแล้ว วันหนึ่งคุณย่าได้โทรศัพท์มาบอกว่า ที่แท้พระพุทธรูปจิโซ ที่ทำหน้าที่ผนึกวิญญาณของท่านฮาจิชาคุนั้น ได้ถูกใครบางคนมาทำลาย จนแตกเสียหายไป โดยองค์ที่ถูกทำลายนั้น เป็นองค์ที่อยู่ทางถนนมุ่งสู่บ้านของคุณปู่ และคุณย่าของเขานั้นเอง
โดยสองปีก่อน คุณปู่ของเขาก็เพิ่งจะเสียชีวิตไป เขาเองกลับไม่ได้รับอนุญาตให้ไปร่วมพิธีศพ ซึ่งตัวของเขาเอง ก็คอยบอกตัวเองเสมอมาว่าเหตุการณ์ทั้งหมด มันเป็นแค่ความเชื่อเท่านั้น แต่บางครั้งเขาก็ยังคงได้ยินเสียงประหลาดนั้น ” เรียกหาอยู่………..”