เรื่องนี้เกิดขึ้นกับผมโดยตรงเลยครับเมื่อตอนสมัยเรียนปวช.ปี 3 หลังจากเหตุการณ์เรื่องเสน่ห์ยาแฝดของเพื่อนสนิทผมที่ชื่อเบียร์แล้วมีพระธุดงค์ท่านแก้ให้แล้ว ท่านถามผมว่าอยากสักไหม ผมถามว่าสักอะไรครับ ท่านบอกผมดวงตายโหงนะเจ้ากรรมนายเวรอาฆาตมากหมายจะเอาถึงชีวิต แล้วที่อยากให้สักเพราะจะได้มีอะไรไว้เตือนสติด้วยไง
ผมถามว่าสักรูปอะไรครับ ท่านบอกวานรไฟเป็นรอยสักน้ำมันที่กลางหลังเสร็จแล้วท่านจะเป่าให้มันหายเข้าไปในตัวผมเลย ข้อห้ามคือห้ามด่าพ่อแม่ตัวเองหรือแม้แต่ของศัตรูมิฉะนั้นอาคมคลายทันที ผมตกลงให้ท่านสัก
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านไป ผมกลับมาเรียนหนังสือทำงานพิเศษหลังเลิกเรียนเหมือนเดิม แปลกที่เวลาจะเกิดเหตุร้ายอะไรกับตัวผมจะได้ยินเสียงลิงเรียกก้องในหูและตัวผมจะแดงขึ้นมาทันที ถ้าหนักมากคือเลือดกำเดาไหลเลย
ผมทำงานอยู่ร้านอาหารจนได้รู้จักกับเพื่อนที่อยู่เทคนิคฉะเชิงเทราชื่อว่า รอง เรียนไฟฟ้า ทำงานกับผมจนสนิทกัน รองมีแฟนเรียนอยู่โรงเรียนหญิงล้วนแห่งหนึ่งชื่อว่า บุ๋ม
วันนึงบุ๋มชวนรองไปเที่ยวเล่นบ้านที่อำเภอพนมสารคาม แน่นอนครับมันมาชวนผมไป มันบอกเพื่อนบุ๋มมีแต่คนน่ารักๆทั้งนั้นไปเป็นเพื่อนมันหน่อย ยังไม่ทันตอบตกลงเลยเสียงลิงร้องเข้ามาในหู คิดในใจว่าคงไม่ดีแล้วมั้ง แต่รองบอกว่าไปหน่อยเถอะกูไปชวนทุกคนแล้วไม่มีใครไปเลย มันบอกว่าไกล ผมเลยพยักหน้าไปก็ไป อีก 2 วันนะไปเลย
ถึงกำหนดวันไปเลิกเรียนเสร็จบ่ายสามโมงครึ่ง ผมมาหารองที่หน้าเทคนิค มันไปยืมรถปิคอัพเพื่อนมารับผม รองเป็นคนขับส่วนบุ๋มมานั่งบอกทาง ขับมาเรื่อยๆ ผมดันหลับสิทีนี้ ตื่นมาก็เกือบหกโมงเย็นแล้วครับ
ผมเห็นเป็นป่าต้นกกสูง คิดในใจทางเข้าทำไมมันน่ากลัวจังวะ เลยไปอีกหน่อยก็ใจชื้นขึ้น มีร้านขายกาแฟของชำเปิดอยู่ มีอาแปะคนนึงชงกาแฟมาเสริฟลูกค้า ถัดมาอีกไม่นานมีบ้านไม้สองชั้นแต่แปลกที่มีเพิงสังกะสีหน้าบ้าน ที่น่าสงสัยคือมีเชือกผูกไว้กับขื่อหย่อนลงมาเล็กน้อย
ผมหันไปถามบุ๋มว่าบ้านใคร บุ๋มไม่ตอบแต่หันมองหน้าผมประมาณว่าอย่ารู้เลย
มีน้ำอะไรหยดมาใส่หลังมือ ผมจับมาดูกลายเป็นเลือดกำเดาไหลออกมา ผมเลยว่าต้องไม่ใช่เรื่องปกติแล้วแน่นอน พอถึงบ้านบุ๋มแล้วปรากฏว่าของที่จะเอามาจัดงานมันไม่พอ แล้วคนที่บ้านบุ๋มก็ยุ่งอยู่ รองเลยบอกว่าเดี๋ยวจะออกไปซื้อให้ก็ได้กับผมเห็นร้านค้าอยู่ตรงทางเข้ามา
พ่อแม่บุ๋มบอกฟ้ามืดแล้วลูกอย่าออกไปเลยพรุ่งนี้เช้าค่อยไปก็ได้ แต่ไอ้เจ้ารองอาสาจะไปให้ได้ มันจับมือผม (อีกแล้ว) บอกไม่เป็นไรไปสองคนครับ
ขับรถออกมาทางก็มืดๆ เวลาราวสองทุ่ม มาครึ่งทางก็คิดได้ว่าลืมถามถ้าร้านแกปิดจะทำไง รองบอกก็ขับรถเข้าไปในเมืองก็ได้
พอมาถึงบ้านหลังนั้นเสียงลิงร้องเข้ามาในหู ผมเลยหันไปดูเห็นผู้หญิงคนนึงใส่ชุดมโนราห์รำอยู่ในเพิงหน้าบ้าน หน้าเธอขาวตาเธอเศร้ามาก คิดในใจว่ามารำอะไรตอนนี้
ทันทีที่ความคิดหยุดลงเธอก็หยุดรำแล้ววิ่งเข้าไปในบ้านทันที ผมได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจจนมาถึงร้านขายของชำ โชคดีมากที่อาแปะแกยังไม่ทันปิด ผมเลยถือโอกาสถามแกเลยว่าบ้านหลังนั้นมันเป็นของใคร แกรีบไล่พวกผมเลยบอกจะปิดร้านแล้ว รองบอกว่าอะไรวะถามแค่นี้
ขับรถกลับมาในใจก็คิดว่ารถอย่ามาเสียหน้าบ้านหลังนี้อีกนะ ปรากฏว่ารถไม่เสียครับแต่เจ้ารองท้องเสีย ผายลมตั้งแต่อยู่ในรถแล้ว ใกล้จะถึงบ้านหลังนั้นมันทนไม่ไหวจอดรถแล้ววิ่งเข้าป่าต้นกกทันที
ผมเลยออกมายืนหน้ารถสูดอากาศบริสุทธิ์บ้าง สายตามองไปข้างหน้ามีผู้หญิงคนนึงรวบผมตึงหน้าตาคมเข้มผิวสีน้ำผึ้ง ดูๆน่าจะเป็นคนใต้เหมือนสาวแขกนี่ล่ะครับ เธอกวักมือเรียกผม เหมือนต้องมนต์ผมเดินเข้าไปหาเธอ ได้ยินเธอพูดว่า…
“พี่ชื่อโนรีนะจ้ะ อยู่บ้านหลังนี้ พอดีจะซ้อมรำมโนราห์บนชิงช้า มาช่วยพี่ผูกเชือกหน่อยสิ”
ผมเดินตามเข้าไปในเพิงมองเห็นเชือกที่ผูกกับขื่อลงมาสองข้าง มีชิงช้าแผ่นไม้ใหญ่อยู่ตรงกลาง ผมถามว่าจะขึ้นไปรำได้ไงไม่หักหรือครับ? พี่โนรีบอกว่ารอก่อนนะพี่ไปเปลี่ยนชุดก่อน สักครู่แกออกมาพร้อมชุดนางมโนราห์เต็มชุด เดินรำมาหน้าขาวปากแดงเลย
แกบอกให้ผมจับแผ่นไม้ชิงช้าให้หน่อยจะขึ้นไปรำให้ดู ผมเอามือไปจับไว้ ท่ามกลางแสงจันทร์ที่มันสาดเข้ามาผมเห็นแขนผมเป็นสีแดงแล้ว พี่โนรีก้าวขึ้นมาบนชิงช้าขยับท่าไปมาแล้วก็หันหลังให้ผม เสียงลิงร้องดังเข้ามาในหูผมเลยปล่อยมือจากแผ่นไม้นั้น มันหล่นลงพื้นแต่ แต่พี่โนรียังคงยืนอยู่…
เธอค่อยๆเอนหลังมา ผมมองเห็นเชือกอีกเส้นผูกคอแกอยู่ ตาแกถลนเลือดออกจมูกแล้วพูดมาคำหนึ่งว่า “พี่รำมโนราห์สวยไหมจ้ะ!” ผมล้มลงกับพื้นค่อยๆถอยออกมา เสียงแกหัวเราะอยู่ในลำคอ
ผมนึกถึงคาถาที่หลวงพ่อเคยบอกว่าสำหรับเวลามีเรื่องไม่ดีให้ท่อง ผมเลยท่องทันที ได้ยินเสียงกรีดร้องออกมาจากพี่โนรี ส่วนตัวผมไม่รู้ว่าวานรไฟพาวิ่งไปถึงที่บ้านบุ๋มตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวคือถึงบ้านมานั่งแคร่ไม้ใต้ถุนแล้วครับ
ไม่ถึงยี่สิบนาทีเจ้ารองขับรถมาจอด บ่นใส่ผมใหญ่เลยว่ามาได้ยังไงทำไมไม่รอ ตามหาตั้งนานไปที่บ้านหลังนั้นเห็นผู้หญิงคนนึงยืนอยู่ก็ไม่กล้าถาม เลยขับรถกลับมาเจอผมนี่ล่ะ
พอดีพ่อแม่บุ๋มมาได้ยินเลยถามว่ามาจากไหนกัน ผมบอกมาจากร้านของชำครับป้า ลุงแกบอกมันไกลมากนะเกือบห้ากิโลจากที่นั่นมา เลยคิดในใจว่าผมไม่รู้มันพาผมมาครับ เลยถามแกเลยว่ารู้จักบ้านพี่คนชื่อโนรีไหมครับ?
ลุงกับป้ามองหน้ากันแล้วถามผมว่า “เจอโนรีด้วยหรือ?” ผมพยักหน้าให้ ลุงมานั่งข้างผมบอกว่า “เอ็งฟังลุงดีๆนะ บ้านนั้นมันเป็นบ้านร้างมาสองสามปีแล้ว ครอบครัวนี้ย้ายมาจากพัทลุง มีอาชีพรำมโนราห์ตามงานต่างๆ ลูกสาวคนเดียวชื่อว่าโนรีนั่นล่ะ
วันหนึ่งมีโจรขึ้นมาบนบ้านแต่เจอพ่อแม่เพราะโนรีออกไปซื้อของในเมือง แกคงสู้มันเพราะถูกฆ่าตายคาบ้านทั้งสองคน โนรีกลับมาเจอศพพ่อแม่ก็เสียใจมาก ใส่ชุดมโนราห์มาผูกคอตายตรงเพิงนั่นไง ช่วงแรกๆคนเห็นกันบ่อย แต่ตอนนี้ไม่ค่อยมีแล้วนี่นา แปลว่ายังอยู่ไม่ไปไหนเลย
ผมได้ฟังแล้วก็ได้แต่สงสารพี่เขา หลังจากกลับมาผมก็มาทำสังฆทานให้พี่เขาแล้วแกยังมาเข้าฝันรำมโนราห์อย่างสวยให้ผมชมเป็นการขอบคุณด้วย เรื่องราวมีเท่านี้ครับ…
เครดิต : หาญ ใจสิงห์