เส้นทางขึ้นเหนือ ทำไมพระภิกษุสงฆ์รูปนี้

เส้นทางขึ้นเหนือ

เรื่องราวของอาสากู้ภัย ที่ได้อาสาขับรถไปส่งศพบนดอยแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างทางเข้าได้เจอกับพระภิกษุ 2 รูป ยืนโบกรถอยู่ข้างทาง เพื่อขอติดรถไปด้วย แต่เกิดเหตุการณ์บางอย่าง จึงปฏิเสธไป จนนำไปสู่เรื่องราวสุดหลอน…

เรื่องราวนั้นก็มีอยู่ว่า…คุณกี้ทำงานเป็นอาสาสมัครกู้ภัยแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ธันวาคมปี 2563 วันนั้นเป็นวันพระพอดี ซึ่งเป็นวันที่คุณกี้ไม่ได้เข้าเวร แต่ก็ยังขับรถไปเที่ยวเล่นที่มูลนิธิ  

พอมาถึงที่ศูนย์ คุณกี้สังเกตเห็นว่ารถกู้ภัยไม่อยู่เลยสักคัน ก็เลยโทรไปถามน้องๆว่า “วันนี้มีอะไรวะทำไมไม่มีรถอยู่ที่ศูนย์เลย” รุ่นน้องก็บอกว่า “พี่ วันนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเยอะมาก รถออกมาวิ่งเหตุกันทุกคันเลย”  คุณกี้ก็เลยบอกว่า “อ่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่สแตนบายอยู่ที่ศูนย์แล้วกัน ถ้ามีอะไรให้ก็โทรตามพี่นะ”

เวลาประมาณ 13:00 น. โทรศัพท์ที่ศูนย์ดังขึ้น คุณกี้รับโทรศัพท์คุยกันเสร็จสรรพ ได้ความว่า คนที่โทรมาเป็นผู้หญิงชาวเขาชาติตืพันธ์เดินทางมาจากจังหวัดเชียงใหม่ ลงมาตามหาลูก ด้วยความที่อยู่บนเขาทำให้ติดต่อลูกไม่ได้ แต่วันนั้นเหมือนมีอะไรมาดลใจ ให้ผู้หญิงคนนี้เดินทางมาที่เชียงราย พอเดินทางมาถึง จึงได้ทราบว่าลูกเสียชีวิตไปแล้ว 

แต่ด้วยความที่เป็นชาวเขาฐานะค่อนข้างยากจน เงินทองก็ไม่มี จึงไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยโทรมาขอความช่วยเหลือจากทางมูลนิธิ 

คุณกี้ก็เลยอาสาว่าจะไปส่งศพของลูกชายเขาให้ พร้อมกับชวนรุ่นน้องในมูลนิธินั่งรถไปเป็นเพื่อนด้วย อีกคน

พอคุณกี้และรุ่นน้องขับรถมาถึงโรงพยาบาลเพื่อรับศพ คุณกี้ก็ถามคุณแม่เขาว่า เอาโลงศพไหมครับ คุณแม่เขาก็บอกว่าไม่ต้องใส่ แค่ห่อเสื่อก็พอ 

(ต้องบอกก่อนว่าประเพณีของชาวเขาชาติพันธุ์เผ่านี้ เขาจะไม่นำร่างของผู้เสียชีวิตใส่โลงศพ จะใช้วิธีห่อเสื่อแล้วก็ฝังลงดินเลย) 

คุณกี้จึงจัดการห่อศพด้วยเสื่อมัดด้วยเชือกแล้วนำใส่ท้ายรถ โดยมีคุณแม่ผู้เสียชีวิตจะนั่งเฝ้าศพไปด้วย จากนั้นก็ขับรถออกเดินทางจากเชียงรายไปเชียงใหม่ทันที 

ตอนนั้นเวลาประมาณ 15:00 น กว่าๆ ระหว่างที่ขับรถ คุณกี้กับรุ่นน้องก็คุยกันไปเรื่อย จังหวะนั้นคุณกี้มองไปข้างทางด้านซ้ายมือ เห็นพระภิกษุสงฆ์ 2 รูป รูปนึงดูมีอายุมากแล้ว อีกรูปหนึ่งเป็นพระหนุ่มดูวัยรุ่นหน่อย ยืนอยู่ริมถนน กำลังทำท่าทางโบกรถ คุณกี้จึงตบไฟเลี้ยวซ้ายเข้าไปจอด 

คุณกี้และน้องลงจากรถไป ยกมือไหว้แล้วบอกว่า “ นมัสการครับหลวงพ่อ นมัสการครับหลวงพี่” หลวงพี่ก็ถามว่า “ โยม โยมจะไปทางไหนกันล่ะ” คุณกี้ก็บอกว่า กำลังจะเดินทางไปที่เชียงใหม่ ตรงนี้ ๆ ครับ” หลวงพี่ก็บอกว่า “ ขอ อาตมาติดรถไปวัดตรงนี้หน่อยได้ไหม” 

“อ๋อมันคนละเส้นทางกันนะหลวงพี่ วัดที่หลวงพี่จะไปมันต้องอ้อมจากเส้นทางที่พวกผมจะไป แล้วอีกอย่างผมก็มีศพอยู่ข้างหลังรถ ญาติเขาก็มาด้วย เอาอย่างนี้แล้วกันครับหลวงพี่ หลวงพี่ติดรถไป ถ้าหลวงพี่จะลงตรงไหนก็บอกผม เดี๋ยวผมไปส่ง” คุณกี้ตอบ

หลวงพี่ตอบว่า “อ๋อ งั้นไม่เป็นไรหรอกโยม” 

หลังจากที่หลวงพี่พูดจบ หลวงพ่อก็เดินเข้ามาพูดว่า “อ้าวโยม จะไปทางนี้ไหมล่ะ”  คุณกี้ก็ตอบเหมือนเดิมว่า “อ๋อ ผมไม่ได้ไปทางนั้นหรอกครับหลวงพ่อ” 

แต่ด้วยความที่คุณกี้นั้นชอบไหว้พระทำบุญอยู่แล้ว ก็เกิดอยากจะถวายของกิน แต่ก็นึกขึ้นได้ว่ามันเลยฉันเพลมาแล้ว จึงเดินกลับไปที่รถ หยิบน้ำขวดใหญ่ๆออกมาถวายหลวงพ่อ 

พอถวายน้ำเสร็จ หลวงพ่อก็พูดขึ้นมาว่า “โยม อาตมาไม่เอาน้ำได้ไหม ขอเป็นเงินได้ไหม” 

รุ่นน้องที่มาด้วยก็ทำท่าจะควักกระเป๋า คุณกี้จึงรีบคว้ามือรุ่นน้องทันที สื่อประมาณว่าไม่ต้อง แล้วหันไปพูดกับหลวงพ่อว่า “อ๋อ ถ้าเป็นเงินผมให้ไม่ได้หรอกครับหลวงพ่อ แต่ถ้าเป็นขนมหรือว่าของกินอะไรแบบนี้ผมถวายได้” 

“ไม่เป็นไรโยม ไม่เป็นไร” 

“งั้นผมลาแล้วนะหลวงพ่อ” 

พอคุณกี้และรุ่นน้องกราบลาหลวงพ่อเสร็จ หลวงพ่อก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “เดี๋ยวก่อนโยม” พร้อมกับควักของบางสิ่งที่อยู่ในย่ามออกมา มันเป็นหลอดพลาสติกใสๆหลอดนึงที่มีน้ำและอะไรก็ไม่รู้อยู่ข้างใน  หลวงพ่อท่านยื่นของสิ่งนั้นใส่มือคุณกี้แล้วบอกว่า “อ่ะโอม เก็บไว้นะ เก็บไว้ให้ดีๆ!!” 

“ครับ!” คุณกี้รับของสิ่งนั้นไว้ พร้อมกับกราบลาหลวงพ่ออีกครั้ง แล้วกลับขึ้นรถ จากนั้นก็ออกเดินทางต่อ

ด้วยความสงสัยรุ่นน้องก็ถามคุณกี้ว่า “พี่จะห้ามผมทำไม ผมกำลังจะให้เงินท่านอยู่แล้ว” คุณกี้ก็บอกว่า “ถ้าเป็นปัจจัยเขาไม่ควรถวายกันหรอก” 

คุณกี้ขับมาเรื่อย ๆ จนเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ ขับไปได้อีกสักพักก็เข้าสู่เส้นทางที่จะขึ้นไปยังหมู่บ้านบนดอย ด้วยความที่มันเป็นทางขึ้นเขา ตลอดเส้นทางก็จะมีแต่โค้งเต็มไปหมด ขับขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ ก็เจอเข้ากับด่านตรวจของตำรวจ ตชด.

“จะไปไหนกัน” ตำรวจ ตชด ถาม

“อ๋อ…ไปส่งศพร่างผู้เสียชีวิตที่อยู่ท้ายรถครับ” 

ตำรวจ ตชด. ก็มองไปที่ท้ายรถ พอเห็นว่ามีศพและญาติอยู่จริงๆ ก็เลยอนุญาตให้ผ่านไปได้ 

ตอนนั้นท้องฟ้าเริ่มมืด จากตรงด่าน ตชด. กว่าจะไปถึงบนดอย ระยะทางยังอีกไกลมาก แถมเส้นทางขึ้นเขาค่อนข้างคดเคี้ยวมากมายหลายโค้ง บวกกับไฟหน้ารถเป็นหลอดไฟซีนอน แถมฟิล์มรอบรถยังเป็นฟิล์ม 80 เปอร์เซ็นต์อีก ทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นนั้นค่อนข้างไม่ดี 

ระะหว่างที่กำลังขับรถอยู่สักพักหนึ่งคุณกี้ก็พูดขึ้นมาว่า “เอ่อ…นั่นพระเขาจะไปไหนกัน เต็มไปหมดเลย รุ่นน้องที่นั่งอยู่ข้างๆก็ไม่ได้ตอบอะไร เอาแต่นั่งนิ่งเงียบอยู่เฉยๆ 

ขับรถขึ้นเขาไปได้สักพักในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านซะที จอดรถเสร็จก็เคลื่อนย้ายศพลงจากรถ จนเสร็จสรรพก็ขับรถลงจากดอยทันที ขับลงมาเรื่อยๆจนมาถึงด่านตรวจ ตชด. ในตอนแรกอีกครั้ง 

ตำรวจ ตชด. ก็ทักคุณกี้ว่า “อ้าวไปส่งเสร็จแล้วหรอ” คุณกี้ก็ตอบว่า “อ๋อ ส่งเสร็จแล้วครับ” แล้วคุณกี้ก็ถามต่อว่า “พี่ครับ ผมถามอะไรหน่อยสิ เมื่อกี้ผมเห็นพระภิกษุหลายรูป เต็มไปหมดเลย เขาเดินไปไหนกันหรอ” 

ตำรวจ ตชด. ก็บอกว่า “เฮ้ยพูดเป็นเล่นไป พระเพอะที่ไหนไม่มีหรอก”  คุณกี้ก็เถียงว่า “มีจริงๆ ขาไปผมเห็นเป็นสิบๆรูปเลย”  “ไม่มี บ้าหรือเปล่า”  ตชด. ตอบ

ด้วยความที่คุณกี้ไม่อยากอยู่นาน ก็เลยตัดสินใจไม่ต่อล้อต่อเถียง ขับรถไปต่อดีกว่า ระหว่างที่ขับออกมาจากด่าน คุณกี้ก็หันไปพูดกับลูกน้องว่า “ตำรวจเขาก็แปลกเนาะ เขาไม่เห็นได้ไงวะ พระภิกษุสงฆ์เดินเรียงกันเต็มข้างทางเกือบ 20 – 30 รูปเห็นจะได้มั้ง” แต่รุ่นน้องกับบอกคุณกี้ว่า…

“พระที่ไหนพี่” 

“อ้าวเมื่อกี้มึงไม่เห็นหรอ”

“ไม่เห็นมีเลยพี่”

“เออๆช่างมัน ขับรถกลับบ้านดีกว่า” 

ระหว่างที่กำลังขับรถอยู่ คุณกี้ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู ปรากฏว่าสัญญาณไม่มี ขับไปเรื่อยๆสักพักก็เห็นว่ามีคนยืนโบกรถอยู่ข้างทาง ด้วยความที่เป็นอาสาสมัครกู้ภัย ก็เลยตบไฟเลี้ยวซ้าย ขับเข้าไปใกล้ๆ แล้วลดกระจกลง 

กระจกก็ค่อย ๆ เลื่อนลง จังหวะที่กระจกเลื่อนลงมาได้ครึ่งนึง ทันใดนั้นเอง อยู่ๆคุณกี้ก็รีบกดกระจกขึ้นทันที เพราะสิ่งที่เห็นคือ พระภิกษุสงฆ์รูปเดิม ที่เคยโบกรถเมื่อตอนขามา แต่คราวนี้เห็นแค่หลวงพ่อรูปเดียว  คุณกี้ก็นึกในใจว่า อ้าว พระรูปนี้มาอยู่กลางป่ากลางเขาตรงนี้ได้อย่างไร

คุณกี้รีบเหยียบคันเร่งออกจากตรงนั้นทันที รุ่นน้องที่นั่งอยู่ข้างๆก็เอามือไปตีขาคุณกี้ แล้วบอกว่า “พี่ใจเย็นๆพี่ ทางลงเขาพี่ใจเย็นๆ” แต่คุณกี้ไม่สนใจแล้ว เหยียบคันเร่งอย่างเดียว 

ขับรถออกจากจุดนั้นมาได้สักพัก รุ่นน้องก็บอกกับคุณกี้ว่า 

“พี่กี้มีคนโบกรถอยู่ข้างทาง” 

“อะไรของมึง เออไม่มีหรอก” 

“พี่มีคนโบกจริง ๆ พี่ไม่เห็นหรอ” 

“เออน่ะ ไม่มีอะไรหรอก มึงตาฝาด”

ขับมาเรื่อยๆจนถึงช่วงถนนที่มันจะต้องขับขึ้นเนิน ซึ่งตรงนั้นจะคุ้งน้ำใหญ่ๆอยู่ตรงกลาง แล้วคุณกี้จะต้องขับตามถนนอ้อมซ้ายผ่านคุ้งน้ำไป คืนนั้นเป็นคืนเดือนดับ ทำให้มองเห็นแสงระยิบระยับจากดวงจันทร์ส่องสะท้อนอยู่ในน้ำ 

แต่แล้วก็มีบางอย่างที่ทำให้ทั้งสองคนต้องสะดุด เมื่อเห็นว่าเหมือนมีบางสิ่งยืนอยู่กลางคุ้งน้ำ ลองนึกภาพตามนะครับ คุ้งน้ำตรงนั้นมันจะอยู่ต่ำกว่าถนนหน่อยนึง สิ่งที่ทั้งสองคนเห็นอยู่ระดับเดียวกันกับถนน เท่ากับว่ามันลอยอยู่เหนือน้ำ 

ด้วยความที่คุณกี้อยากจะเห็นชัดๆว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร  ก็เลยกดกระจกฝั่งรุ่นน้องลง เท่านั้นแหละ จู่ ๆ รุ่นน้องก็แหกปากพูดขึ้นทันทีมาเลยว่า 

“พี่กี้ไป พี่กี้ไป ไปๆๆๆๆ ไปเร็วๆๆๆ ไปๆๆ”

“อะไร มึงเป็นอะไร”

“พี่รีบไปเลย พี่”

รุ่นน้องบอกว่า สิ่งที่เห็นคือ พระรูปเดิมที่เคยขอเงิน ลอยอยู่บนผิวน้ำ อ้าปากกว้างจนปากฉีกเกือบถึงหู ดวงตาสีเขียว กำลังพุ่งตัวตรงมาหารถ พร้อมกับพูดว่า “กูจะเอาเงิน” 

พอรุ่นน้องพูดจบเท่านั้นแหละ คุณกี้ก็รีบเหยียบคันเร่งออกจากจุดนั้นทันที สายตาก็มองผ่านกระจกข้างด้านซ้ายมือ เห็นพระภิกษุรูปนั้นกำลังพุ่งมาชนท้ายกระบะดังตุ้ม !! เหมือนกับเหยียบ ลูกระนาดสูงๆ จนรถเสียการทรงตัว พอคุณกี้ควบคุมรถได้ ก็เหยียบเบรคหัวทิ่มหัวตำ รุ่นน้องก็รีบเปิดเก๊ะรถ ค้นหาของบางอย่าง

“พี่ๆ ฮู้อยู่ไหน ฮู้อยู่ไหน ฮู้ ๆ”  (ฮู้ คือยันต์จีนป้องกันอันตราย มีโชคลาภ ไล่สิ่งอัปมงคล)

“กูแจกเขาไปหมดแล้ว” 

ทั้งสองคนลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูก จนรุ่นน้องค้นไปเจอประทัดกล่องนึง คุณกี้จำได้ว่าได้ประทัดกล่องนี้มาจากงานเชิดสิงโต ซึ่งซินแสประจำศาลเป็นคนให้มา 

ด้วยความกลัวรุ่นน้องไม่กล้าเปิดประตูฝั่งตัวเองรถลงไป ก็เลยข้ามมาลงฝั่งเดียวกับคุณกี้ พอเปิดประตูรถลงมาได้ คุณกี้ก็คว้าธูปกำนึงขึ้นมาจุดไฟ แล้วก็เอามาจุดประทัดขว้างออกไป ระเบิดดังปังๆ ๆๆๆๆๆ เสียงสนั่นลั่นป่า 

ทันใดนั้นก็มีแสงพุ่งออกจากท้ายรถไปกลางน้ำแล้วก็ฟุ้งสลายหายไป 

ทั้งสองคนกลับขึ้นมานั่งในรถ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ปรากฏว่ามีสายที่ไม่รับสายเป็นสิบๆสาย เป็นเบอร์ของรุ่นพี่จากมูลนิธิโทรมา คุณกี้ก็ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่บ้านหรือเปล่า จึงโทรกลับไปหารุ่นพี่  คำแรกที่รุ่นพี่พูดคือ 

“ไอ้กี้มึงอยู่ไหน ทำไมมึงไม่รับโทรศัพท์”

“อ๋อผมขึ้นมาบนเขา มาส่งร่างของผู้เสียชีวิตไงครับ”

“มึงไปรับอะไรมา มันเป็นของไม่ดี เอาไปทิ้งเลยนะ” 

“รับอะไรพี่” ตอนนั้นคุณพี่ก็ตกใจว่ารุ่นพี่รู้ได้ไง 

“กูก็ไม่รู้ เนี่ยกูไปหาหลวงพ่อมา กูให้หลวงพ่อดูดวงให้ ท่านจุดเทียน 1 เล่มแทนคนหนึ่งคน เทียนของทุกคนติดหมด แต่มีของมึงที่ดับอยู่เล่มเดียว” แล้วหลวงพ่อท่านก็พูดว่า “มันไปรับอะไรของใครมา มันกำลังจะมีเคราะห์หนัก รีบโทรติดต่อให้มันมาหากู หรือไม่ก็ติดต่อมันให้ได้” กูก็เลยโทรหามึงตลอดตั้งหลายสาย แต่มึงก็ไม่ยอมรับสายกูสักที” 

คุณกี้ก็นั่งนึกว่าตัวเองไปเอาอะไรจากไหนมา จนนึกขึ้นได้ว่า หลอดพลาสติกที่หลวงพ่อรูปนั้นยื่นให้มานี่เอง คุณกี้เห็นของสิ่งนั้นวางอยู่ตรงหน้าคอนโซลรถ จึงหยิบออกมาแล้วขว้างลงน้ำไปเลย แล้วก็ขับรถไปต่อ

ระหว่างทางคุณกี้ก็โทรคุยกับรุ่นพี่ตลอดเวลา ขับรถมาเรื่อยๆ จนเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ ซึ่งตอนนั้นดึกมากแล้ว ด้วยความเหนื่อยล้า ก็เลยตัดสินใจว่าจะนอนพักโรงแรมแถวเชียงใหม่ก่อนแล้วตอนเช้าค่อยเดินทางกลับเชียงรายอีกที 

ระหว่างที่ขับรถหาโรงแรมก็เปิดช่องสัญญาณวอของกู้ภัยเชียงใหม่ เผื่อว่ามีอะไรจะได้ช่วยกันได้ ปรากฏว่าระหว่างที่ขับเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ เสียงวอก็ดังขึ้น แจ้งว่า มีอุบัติเหตุห่างจากจุดที่คุณกี้อยู่ไม่เกิน 3 กิโลเมตร 

พอขับไปถึงก็เห็นว่ามีรถอุบัติเหตุรถชนกันหลายคัน คุณกี้จึงช่วยพาผู้บาดเจ็บไปส่งที่โรงพยาบาล พอขับรถไปถึงโรงพยาบาล กำลังนำผู้บาดเจ็บลง พี่ที่เป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิของจังหวัดเชียงใหม่ก็เดินเข้ามาบอกขอบใจคุณกี้ พร้อมกับเบิกสิ่งของที่ต้องใช้ในการบรรเทาภัยคืนให้

เสร็จแล้วคุณกี้ก็เดินอ้อมกลับมาที่หน้ารถ ก็ตกใจ เมื่อเห็นว่ามีพระรูปหนึ่งอยู่ตรงข้างรถ ซึ่งเป็นพระหนุ่ม ที่เจอกันเมื่อตอนขามา คุณพี่ก็งงว่าหลวงพี่มาอยู่ตรงได้ไง 

พระหนุ่มรูปนี้เดินตรงเข้ามาหาคุณกี้ คุณกี้ก็พูดเสียงสั่นออกไปว่า “ครับ นะ นะ นมัสการครับหลวงพี่ หลวงพี่มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง” พระหนุ่มก็เล่าให้ฟังว่า “อ๋อ ตอนนั้น หลังจากเราคุยกันเสร็จ โยมขับรถออกไปแล้ว หลวงพี่กับหลวงพ่อกำลังเดินๆอยู่ ปรากฏว่าหลวงพ่อถูกรถชน เสียชีวิตคาที่ กู้ภัยจึงนำร่างของหลวงพ่อมาส่งที่โรงพยาบาลนี้ หลวงพี่ก็เลยต้องมารออยู่ที่นี้ 

ระหว่างที่คุณกี้กำลังคุยกับพระภิกษุรูปนี้อยู่นั้น กู้ภัยในพื้นที่ก็เดินเข้ามาสะกิด พร้อมกับจูงแขนคุณกี้ให้ออกไปคุยด้วย 

กู้ภัยพื้นที่บอกว่า พระ 2 รูปนี้เป็นพระปลอม ถูกแจ้งมาว่าชอบออกมาโบกรถขอปัจจัย สืบไปสืบมาจึงทราบว่าน่าจะมาจากฝั่งอีสานใต้ เป็นพวกชอบเล่นของ 

ระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่หลวงพี่ก็เดินเข้ามาหาคุณกี้อีกครั้งแล้วบอกว่า “โยม ของที่หลวงพ่อยื่นให้นะ โยมเอาไปทิ้งเสียนะ อยากเก็บไว้ มันเป็นของไม่ดี ความจริงหลวงพี่กะจะบอกตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่หลวงพ่ออยู่ด้วย ก็เลยไม่รู้จะเตือนโยมยังไง” 

หลังจากเดินกลับทางกลับมาถึงเชียงราย คุณกี้ก็ไปหาหลวงพ่อที่รุ่นพี่นับถือ และเล่าเรื่องราวที่เจอให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อท่านบอกว่าสิ่งนั้นเป็นของเขมร พระรูปนั้นเขาตั้งใจจะเอาเงิน แต่โยมไม่ให้ เขาก็เลยเอาของสิ่งนั้นให้โยม 

ขอบคุณเรื่องจากอังคารคลุมโปง ทำไมพระภิกษุสงฆ์รูปนี้…ลอยได้ อังคารคลุมโปง ถอดความโดย คลังหลอน

Previous articleอสุรฆาต  ประสบการณ์หลอนๆกับเกาะที่ห่างไกล ตอน2
Next articleประสบการณ์ขนหัวลุกโรงเรียนประจ­ำ