บ่ายแก่ๆของวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังจากมาถึงบ้านสวนของอาภรรยาแล้ว ผมเอาสัมภาระไปเก็บไว้ในห้องนอน ส่วนภรรยาก็จัดแจงเตรียมตัวไปทำอาหารเย็นกับพี่ชายและคุณอาเธอ
ผมมองไปทางหลังบ้านเป็นทุ่งนาเขียวขจี ไร้ตึกสูงดูสบายตา เดินตามคันนาไปเจอคนหนึ่ง นั่งทอดสายตาไปยังทุ่งนาข้างหน้า เหมือนกับเขาได้ยินเสียงย่างก้าวเข้ามา หันมาเห็นผมก็มองหน้าปนความสงสัย
ผมเห็นแกอายุมากกว่าจึงยกมือไหว้ แกยิ้มแล้วถามผมว่า “เอ็งมาจากไหนหรือน้องชาย ดูจากการแต่งตัวแล้วคงไม่ใช่คนที่นี่สิ”
ผมนั่งลงข้างๆแก หอมกลิ่นดินกลิ่นหญ้า แล้วบอก “ผมมากับแฟน มาที่บ้านของอาเธอ พึ่งถึงได้สักพักเลยมาเดินเล่นจนมาเจอพี่ชายนี่ล่ะครับ
แกหันมาถามว่าขับรถมาเหนื่อยๆไม่ไปพักก่อนเล่า? ผมหัวเราะเบาๆส่ายหัวบอกแกว่า ผมไม่มีรถหรอกครับพี่ ผมมากับอาเธอ เขาไปรับมาจากแถวชานเมืองกรุงเทพ
แกเอามือตบบ่าผมบอก จริงเหรอวะ? ข้าเห็นคนอยู่ในเมืองมันมีรถยนต์ขับกันทุกคน มันเป็นวัตถุที่แสดงถึงความร่ำรวยมีหน้ามีตา ผมฟังคำแกพูด แต่สายตามองดูแววตาที่หม่นหมอง เลยถามว่าพี่ชายไม่มีรถเหรอครับ?
แกยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วบอกว่า ถ้าข้ามีรถเหมือนคนอื่นอีนางมะลิคนรักข้า มันคงอยู่กับข้าในตอนนี้แล้วสิ! เอ็งดูสิข้าเป็นชาวนาเลี้ยงควาย ตัวดำกรำแดดไม่มีใครอยากลำบากกับข้าหรอก
ผมหันไปคุยกับแกบอก มันก็จริงครับพี่ ถ้าเราไปอยู่ในเมืองแล้วไม่มีรถไม่มีบ้าน ญาติเขาก็จะมองว่าเอาเงินไปไหนหมด ผมเคยน้อยใจที่ไม่มีรถไม่มีเงินให้แฟนได้ใช้สบาย เลยจะไปผูกคอตายในป่าด้วยซ้ำ แต่เคราะห์ดีมีหลวงตามาช่วยไว้ ท่านเตือนสติจนผมไม่คิดทำร้ายตัวเองอีก และพอผมมาคุยกับแฟนเธอเข้าใจ ขอแค่อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข ต่อให้ไม่มีอะไรมากมายก็ไม่สำคัญ
พี่เขาก้มลงมองพื้นบอกเมียเอ็งมันดี แต่คนรักข้ามันไม่เห็นค่าความรักข้า เรื่องฆ่าตัวตายข้าก็เคยทำมาแล้วสามครั้ง เพราะมะลิสองครั้ง และเพราะแม่ข้าที่ป่วยหนักอีกครั้งนึง คงเป็นเพราะข้าดวงแข็งหรือนรกไม่ต้องการคนจนหมองหม่นอย่างข้าก็ไม่รู้สิ
แกเล่าว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน ลืมบอกไปว่าพี่ชายคนนี้แกชื่อ…”ทวน” เป็นลูกชายคนเดียวและเป็นเสาหลักของบ้าน แม่แกป่วยเป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรงทำงานหนักไม่ได้ พ่อแกก็มาเสียจากโรคมะเร็งไปหลายปี
พี่ทวนทำอาชีพเกษตรกรชาวไร่ชาวนา ปลูกข้าวปลูกผักไปตามประสา หน้าตาก็คมสันพอไปวัดวาได้ แกชอบพอกับสาวน้อยบ้านใกล้กันชื่อว่า..”มะลิ”
เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของลุงดอนกับป้าแวว รูปร่างหน้าตาสะสวยกำลังเรียนครูอยู่ใกล้จะจบ วันใดหากไม่มีเรียนมะลิก็จะมาหาพี่ทวนที่เถียงนา ผ่านไปนานวันสาวเจ้ามะลิก็ห่างหายไป สร้างความสงสัยให้กับพี่ทวน ได้แต่คิดว่าเธอคงเรียนหนังสือหนักเลยไม่มีเวลาไปหาเหมือนเดิม
จนวันหนึ่งที่ร้านกาแฟประจำหมู่บ้าน ขณะที่พี่ทวนขี่รถจักรยานผ่านได้ยินคนคุยกันว่า อีนางมะลิมันวาสนาดีว่ะมีผู้กองรูปหล่อมารับมาส่งไปเรียนทุกวันไม่ต้องไปนั่งเถียงนาร้อนๆกับไอ้ทวนแล้ว คนก็ตอบรักแหงล่ะใครมันก็อยากสบายนั่งเฉิดฉายในรถแอร์เย็นๆดีจะตาย
พี่ทวนทิ้งจักรยานเดินไปตบโต๊ะดังปังถามว่าทำไมพูดแบบนี้มะลิไม่ใช่คนแบบนั้นแน่ แล้วพอดีกับมีรถเก๋งสีดำขับผ่าน คนในร้านก็ชี้บอกนั่นไงไอ้ทวน มึงไม่เชื่อก็ลองตามไปดูให้เห็นกับตาสิวะ!
แกรีบวิ่งตามรถคันนั้นไป แล้วก็มาหยุดที่บ้านของมะลิจริงๆ พี่ทวนยืนหอบมองดูมีผู้ชายใส่ชุดตำรวจรูปหล่อ เปิดประตูลงมาแล้วรีบเดินอ้อมมาเปิดของอีกฝั่ง เรียวขาขาวยาวส้นสูงสีดำ พี่ทวนจำได้เสมอ มะลิในชุดนักศึกษาครูลงมายิ้มหวาน เกาะแขนพร้อมกับหอมแก้มเขาฟอดใหญ่
พี่ทวนใจสลายคุกเข่าลงกับพื้น เรี่ยวแรงจะยืนแทบไม่มี ไปซื้อเหล้าต้มมากินด้วยความเศร้า มะลิคือคนเดียวที่แกรักและอยากร่วมชีวิตด้วย แต่ทำไมมาเปลี่ยนใจโดยไร้เยื่อใยเช่นนี้
พี่ทวนได้เชือกมาเส้นหนึ่งเดินโซเซไปที่กลางบ้าน จัดการผูกกับคานและทำห่วงให้พอดีกับคอตัวเอง เอาตั่งไม้มาตั้งความหวังในรักนั้นพังไปหมดแล้ว กำลังยื่นหัวใส่ในบ่วง หูได้ยินเสียงแม่จากใต้ถุนบ้าน
“ทวน..ทวนเอ้ย.. กลับมาแล้วเหรอลูก? วันนี้แม่ทำปลาย่างกับน้ำพริกที่เอ็งชอบให้นะ กินเยอะๆล่ะทำงานเหนื่อยๆมา”
เหมือนสติกลับคืนมา ซบหน้ากับบ่วงที่ถืออยู่ น้ำตาพรั่งพรูลงมาไม่ขาดสาย แต่ไม่วายขานตอบแม่แกว่า “เดี๋ยวลงไปกินจ้ะแม่” แกครุ่นคิด ถ้าตัวเองเป็นอะไรไป แม่แกจะอยู่อย่างไร ใครจะดูแลนวดขาพาไปหาหมอ ทำไมกับแค่ผู้หญิงหลายใจคนเดียวต้องทำขนาดนี้
แต่ความรักหากหมดใจ มันไม่ง่ายดายที่จะถอดถอน พี่ทวนใช้เวลาทั้งหมดวนเวียนอยู่กับแม่ ท้องไร่ท้องนาวัวควายแปลงผัก เพียงเพื่อหวังให้ลืมมะลิได้ในสักวัน
ผ่านไปหลายเดือนเกือบครบปี ในบ่ายวันหนึ่งหลังจากเสร็จงานในไร่นา พี่ทวนนั่งพักในเถียงนาน้อย คิดถึงมะลิที่ใส่เสื้อคอกระเช้าสีฟ้าอ่อน นุ่งผ้าซิ่นสีเขียวยิ้มหยอกเย้าไม่ห่าง ความคิดหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงเรียก
“พี่ทวนจ้ะ!”
พี่ทวน จำได้ดีเสียงนี้ที่ยังก้องอยู่ในใจ หันกลับไปสาวมะลิในชุดข้าราชการครู จับมือมั่นกับผู้กองหนุ่มเคียงคู่กัน ในมือนั้นมีซองสีชมพูหวานแหวว เธอยื่นซองให้แล้วบอกฉันจะแต่งงานแล้วนะพี่ กับผู้กองธนูคนนี้
เหมือนมีดกรีดซ้ำลงที่เดิม คำพูดเดียวที่ออกมาจากปากชาวนาคนจน
“ข้ายินดีด้วยนะมะลิ เอ็งมันเหมาะสมกับเขาทุกอย่าง ข้าไม่รับปากว่าจะไปงานแต่งเอ็งหรือเปล่านะ”
“ทำไมล่ะจ้ะพี่ทวน?”
“ถ้าข้าตายเอ็งช่วยกลบหลุมศพข้าทีนะมะลิ!”
ทั้งสองตกใจเมื่อได้ยินคำพูดทวน แต่ก่อนจากไปผู้กองธนูยิ้มเย้ยหยัน พร้อมกับพูดว่าโธ่ไอ้ชาวนากระจอก มึงก็ได้แต่มองแต่ฝันเท่านั้นล่ะ พร้อมกับถ่มน้ำลายลงพื้นตรงหน้า ทวนโกรธหมายจะเข้าไปทำร้าย มะลิหันมาเห็นพอดีปรี่เข้ามาตบหน้าจนสั่น
ทวนแทบไม่เชื่อว่าเธอจะกล้าทำเขา หรือตลอดเวลาที่ผ่านมามะลิไม่เคยรักเขาเลย มะลิพูดพร้อมควงแขนผู้กองว่า “พี่มันก็แค่ชาวนาอยู่กับขี้วัวขี้ควาย มีอนาคตตรงไหนฉันมาแต่งงานกับผู้กอง พี่ต้องยินดีสิที่ฉันเจอคนที่ดีกว่าพี่!”
หลังจากที่ทั้งคู่กลับไป เขานั่งกอดเข่าร้องไห้ท่ามกลาง นี่ค่าของเขาต้อยต่ำเพียงนี้เชียวหรือไม่มีรถแอร์เย็นๆให้คนที่รักนั่งสบาย คนเคยเคียงข้างกายถึงได้จากไปไกล เดินตรงไปที่แม่น้ำจะเดินลงไปให้ตายในน้ำนั้น
ก้าวขาลงไปริมฝั่งคลอง สายตาหันไปมองปลาหมอตัวเท่าฝ่ามือสองตัว ดิ้นอยู่ริมฝั่งกระเสือกกระสนจะลงน้ำ เพียงเพื่อหวังมีชีวิตอยู่ต่อไป ตัวที่อยู่ไกลกว่ากระโดดไปดันตัวอยู่ใกล้น้ำที่หมดแรงให้ลงไปได้
พอตัวนั้นลงไปได้แล้ว ตัวที่ช่วยกลับหมดแรงแน่นิ่งไป พี่ทวนเลยรีบเดินไปช้อนเอาปลาตัวนั้น ไปวางในน้ำมันแน่นิ่งไป แต่สักพักมันกลับพลิกตัวว่ายได้เหมือนเดิม ปลาทั้งคู่ว่ายมาจ้องมองหน้าพี่ทวน คล้ายดังขอบคุณก่อนว่ายน้ำจากไป
แม้แต่ปลามันยังรักชีวิตเช่นกัน หากเขาฆ่าตัวตายคงอายปลาหมอแน่นอน ต่อไปจะไม่ให้ความรักจอมปลอมมาทำร้ายได้อีกแล้วจริงๆ
เคยมีคนบอกไว้ว่า หากมีใครเคยคิดฆ่าตัวตายแล้วครั้งหนึ่ง ยมบาลกับเจ้ากรรมจะพยายามช่วยทำให้สำเร็จ แต่พี่ทวนรอดมาได้สองครั้งแล้ว จนเมื่อปีกลายที่ผ่านมา ฝนฟ้ามามากน้ำท่วมไร่นา แปลงผักเสียหายไปหมด พี่ทวนกลุ้มใจเพราะดอกเบี้ยธกส.ก็ยังไม่ได้ส่ง
วันหนึ่งหลังจากกลับมาจากนาเดินไปที่บ้าน ภาพที่เห็นตรงหน้าคือแม่วัยชราที่ล้มฟุบตีนบันได พี่ทวนปราดเขาไปอุ้มก็พบว่าเลือดไหลออกมาจากหัวของแม่ นี่คงลงบันไดมาหน้ามืดล้มลงหัวฟาดกับโอ่งหินแน่นอน
พี่ทวนกอดและเขย่าตัวลุกขึ้นยืนเรียกแม่ทั้งน้ำตา เดินมาที่รถอีแต๋นคู่ใจรีบขับไปโรงพยาบาล ได้รับคำตอบว่าแม่สมองได้รับการกระทบกระเทือน ต้องได้รับการผ่าตัดถ้าช้าอาจตายได้
พี่ทวนกลับไปบ้านทรัพย์สินของมีค่าใดพอจะขายช่วยชีวิตแม่ได้บ้างก็ไม่มี พลันสายตามองไปเห็นควายสองตัวในคอก พี่ทวนเดินลงไปบอกมันว่า “แม่ข้าไม่สบายหนักมากข้าไม่รู้จะทำอย่างไร ข้าขอโทษเอ็งสองตัวมากนะเพื่อนยาก”
เขาพาควายทั้งสองตัวไปยังบ้านของคนที่เคยมาขอซื้อในราคาแปดหมื่นบาท และขอร้องว่าช่วยซื้อที
จะเอาเงินไปรักษาแม่ที่อยู่โรงพยาบาล แต่เมื่อเขารู้ว่าพี่ทวนต้องการใช้เงินเลยขอลดราคาจากแปดหมื่นเหลือหกหมื่นได้ไหม?
พี่ทวนไม่มีทางเลือกแกจำใจต้องขายมันไป ตอนจะเดินออกจากบ้านเสียงควายมันร้องหา พี่ทวนน้ำตาหล่นกล้ำกลืนฝืนทนเดินออกมา
หลังจากได้เงินมา พี่ทวนรีบไปที่โรงพยาบาล แต่พอไปถึงหน้าห้องแม่ มองเห็นผ้าขาวคลุมร่างแก หมอเดินออกมาตบไหล่แกบอกเสียใจด้วยนะครับ วินาทีนั้นพี่ทวนใจสลายอีกครา แม่ก็มาตายควายคู่ใจก็ขายไปแล้ว เดินกำเงินหมื่นเดินไปหน้าโรงพยาบาล หมายจะให้รถชนให้ตายตามแม่ไป โดยไม่สนใจเสียงดังโวยวายอยู่ด้านหลังเลย
เขาก้าวขาลงถนน รถสิบล้อ เบรคกระทันหัน บีบแตรดังสนั่น ใจพี่ทวนไม่หวาดหวั่นใดๆอีกแล้ว พลันร่างแกถูกดึงลงไปข้างทาง พร้อมกับเสียงผู้หญิงร้องดังโอ้ย!!
แกหันไปดูเป็นพยาบาลสาวคนหนึ่ง เขามากระชากแขนหลบรถจนตัวเขาหัวโขกต้นไม้ แล้วหันมาบอกพี่ทวนว่าคุณยายแม่พี่ชีพจรเต้นขึ้นมาใหม่พี่รีบไปดูก่อน ทำไมถึงทำแบบนี้!!
พี่ทวนดีใจรีบจับตัวคุณพยาบาลถามว่าจริงเหรอ? พยาบาลสาวพยักหน้าให้ แกจึงประครองเธอไปในโรงพยาบาล แม่แกยังไม่ตายจริง ๆ พี่ทวนได้แต่คิดว่าหากพยาบาลคนนี้ ไม่มาช่วยไว้ป่านนี้คงเป็นผีเฝ้าโรงพยาบาลแน่นอน
ไม่นานหลังจากแม่พี่ทวนอาการดีขึ้น แกเริ่มรู้สึกดีกับพยาบาลสาวคนนั้นอีกครั้ง แต่แกไม่อยากเป็น…”ผู้ผิดหวัง”..อีกแล้ว หากคราวนี้เจ็บขึ้นมาคงไม่โชคดีเหมือนทุกครั้ง อีกอย่างเธอต้องเจอคนอีกมากมาย
ให้เธอไปเจอคนที่ดีก็พอแล้ว
หลังจากฟังเรื่องราวพี่ทวนจบ ผม (คุณหาญใจสิงห์) ถึงได้เข้าใจว่าภูมิต้านทานในใจ คนเรามันไม่เท่ากันจริงๆ บางคนผิดหวังเพียงครั้งแต่ทนไม่ไหว บางคนผิดหวังซ้ำเล่า แต่คราวเคราะห์บุญยังดีถึงรอดมาได้
อาจเป็นเพราะความกตัญญูของพี่ทวนก็ได้ แต่เชื่อเถอะว่าหากความผิดหวังกลับมาตอกย้ำแผลเก่านี้อีก ผมได้แต่ภาวนาให้พี่ทวนเขาปลอดภัย จากอารมณ์ชั่ววูบที่เลวร้ายได้ทันและคิดถึงผลที่จะตามมาเมื่อเวลาผ่านไปครับ..
เครดิตเรื่อง : หาญ ใจสิงห์