พระนางมัสสุหรี คำสาป 7 ชั่วโคตรแห่งลังกาวี

พระนางมัสสุหรี

หากจะพูดถึงตำนานในแถบภาคใต้ของไทยเรา ที่ถูกเล่าขานกันมาอย่างยาวนาน เชื่อว่าทุกคนจะต้องคิดถึงเกาะ ลังกาวี เป็นเกาะเล็กๆ อยู่ทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในหมู่ของชาวมาเลย์ว่ามีตำนานที่เล่าขานกันถึงรัชทายาทซึ่งมีชีวิตอยู่เมื่อ 200 กว่าปีที่แล้ว นามว่า มัสสุหรี ซึ่งเป็นหญิงคนไทย ลูกหน้าชาวภูเก็ต

ตามตำนานเล่าว่า พระนางมัสสุหรี เป็นหญิงสาวชาวภูเก็ต ที่อนุชาองค์สุลต่านแห่งลังกาวี ทรงเลือกเป็นคู่ครอง เนื่องจากพระนางเป็นหญิงสาวที่มีความเพียบพร้อมทั้งงานบ้านงานเรือนและความสวยงาม ทั้ง ๆ ที่ทางราชวงศ์ได้คัดเลือกหญิงสาวชาวลังกาวีหลายคนให้พระอนุชาเลือก แต่ก็ไม่ถูกใจ กลับมาถูกใจสาวไทยชาวภูเก็ต พระนางมัสสุหรี มาอยู่กับพระอนุชาของสุลต่านในฐานะพระชายาองค์รอง 

แต่ด้วยเหตุที่พระชายาองค์ใหญ่ ซึ่งมีฐานะเป็นปะไหมสุหรีมีบุตรเป็นหญิง ส่วนพระนางมัสสุหรีมีบุตรเป็นชาย ตามกฎของสำนัก พระชายาที่มีบุตรเป็นชายจะได้รับตำแหน่งปะไหมสุหรี ทำให้ชาวลังกาวีที่เป็นพระญาติของปะไหมสุหรีองค์เดิมเก็บความอิจฉาไว้ลึก ๆ 

หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้เกิดสงคราม มีเหตุให้พระอนุชาขององค์สุลต่าน ซึ่งเป็นพระสวามีของพระนางมัสสุหรี ต้องเดินทางออกรบกับกองทัพไทยที่บุกมา ดังนั้นเป็นโอกาสของผู้ที่ปองร้าย ต่างหาเรื่องสร้างสถานการณ์ว่าพระนางมัสสุหรีมีชู้ ทำให้องค์สุลต่าน ตัดสินประหารชีวิตพระนางด้วยกริช โดยที่พระอนุชา สวามีของนางไม่อาจกลับมาช่วยเหลือได้ทัน 

ก่อนถูกฆ่าด้วยคมกริซพระนางอธิษฐานว่า หากนางไม่มีความผิด ขอให้โลหิตที่หลั่งออกมาเป็นสีขาวเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง และขอให้เกาะลังกาวีไร้ความเจริญไป 7 ชั่วคน แต่คมกริชประหารกลับไม่ระคายผิวนางเลย พระนางมัสสุหรี จึงบอกกับเพชฌฆาตให้กลับไปนำกริชพิเศษของต้นตระกูลจากบ้านของนางมา ขณะที่คมกริชจดลงไปบนคอของนาง โลหิตสีขาวก็พวยพุ่งราวน้ำนม องค์สุลต่านเองก็ช่วยชีวิตพระนางไม่ได้ เพราะพระนางเสียเลือดมาก 

ด้านพี่ชายของพระนางมัสสุหรีเกรงว่า หลานชายวัย 5 เดือน ทายาทคนเดียวของมัสสุหรีจะมีภัย จึงนำลงเรือล่องมายังเกาะภูเก็ตและเริ่มตั้งรกรากที่นี่ โอรสของพระนางมัสสุหรีเติบโตขึ้นมีนามว่า โต๊ะวัน นับเป็นทายาทรุ่นที่ 1 

และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเกาะลังกาวีก็เงียบเหงา ผู้คนอยู่กันอย่างไม่มีความสุขในมนต์ตราแห่งการสาปแช่ง มาจนถึง 7 ชั่วคน จนกระทั่งมาถึง น.ส.ศิรินทรา ยายี ทายาทรุ่นที่ 7 ของพระนางมัสซูรี เวลา 200 กว่าปี หรือ 7 ชั่วคนนั้นได้ผ่านไปแล้ว นับจากนี้ไปจะเป็นยุครุ่งโรจน์โชติชัชวาลของลังกาวีอีกครั้งหนึ่ง

ทายาทรุ่นที่ 7 พระนางมัสสุหรี” พระนางเลือดขาว

เช้าตรู่วันที่ 8 เดือน 8 พ.ศ. 2528 เด็กหญิงตัวน้อยๆ ลืมตาดูโลกที่โรงพยาบาลวชิระ ภูเก็ต น่าประหลาดที่ท้องฟ้าซึ่งกระจ่างใสอยู่ดีๆ กลับมืดครึ้ม ฝนเทกระหน่ำ ยิ่งไปกว่านั้น วันนั้นทั้งวันในโรงพยาบาลไม่มีเด็กคนไหนคลอดอีกเลย กว่าจะมีเสียงอุแว้ของทารกคนต่อไป ก็จวบจนเวลาเที่ยงคืนขึ้นวันใหม่ไปแล้ว.

นั่นคือต้นกำเนิดของเด็กสาว “เมย์” ศิรินทรา ยายี ทายาทรุ่นที่ 7 ของพระนางเลือดขาว “มัสสุหรี” เจ้าของตำนานเลือดสีขาวผู้ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยไร้ความผิดและร่ายคำสาปให้เกาะลังกาวีตกอยู่ในความทุกข์เข็ญมานานถึง 7 ชั่วคน เมื่อลังกาวีค่อยๆฟื้นชีพจากเกาะอันแร้นแค้นกลายเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญของรัฐเกดะห์ ประเทศมาเลเซียแน่นอนว่าคนมาเลย์ต่างพากันกล่าวขานว่าเป็นเพราะการมาถึงของน้องเมย์นั่นเอง

หากยังจำข่าวเกรียวกราวเมื่อหลายปีก่อนได้ หลายคนคงทราบว่า หลังจากศิรินทราและครอบครัวเข้ารับพิธีขอขมาลาโทษจากเกาะลังกาวี ตั้งแต่ครั้งที่เธออายุ 14 ปี และได้รับคำเชิญจากรัฐบาลให้ไปเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการ ทั้งยังได้เข้าเฝ้าฯ สุลต่านรัฐเกดะห์แล้วนั้น ก็ดูเหมือนชีวิตของสาวน้อยธรรมดาๆ จะพลิกผันสู่ฐานะเจ้าหญิงในมาเลเซีย.

เมย์ได้รับทุนการศึกษาให้เล่าเรียนจนจบมหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติ กรุงกัวลาลัมเปอร์และยังมีคำชวนให้เมย์และครอบครัวไปปักหลักที่นั่น โดยจะมอบบ้านพร้อมที่ดินให้ ไหนจะมีงานสัมภาษณ์ตามสื่อ งานถ่ายแบบนิตยสารมาเลเซียเรียงรายเข้ามาให้เลือก

แต่ ณ ปัจจุบัน เมย์ ได้ลาออกจากการเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยดังกล่าว 2 ปีแล้ว หลังจากมีปัญหากับบริษัทหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ฉบับหนึ่งในมาเลเซียซึ่งให้เธอเซ็นสัญญามอบอำนาจในการดูแลผลประโยชน์ให้ โดยขณะนี้ เมย์ศึกษาคณะมนุษยศาสตร์เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

จากคำบอกเล่าของคุณแม่ของน้องเมย์ สุนี ยายี ผู้ถือเป็นหนึ่งในเชื้อสายทายาทรุ่นที่ 6 ของพระนางเลือดขาว รวมทั้งตัวน้องเมย์เอง พบว่า ขณะที่เมย์เรียนที่มหาวิทยาลัยนานาชาติอยู่นั้น มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมย์กลับภูเก็ตเพื่อมาเยี่ยมครอบครัว และมาช่วยจังหวัดประชาสัมพันธ์งาน “ฮาลาล ฟู้ด” แต่บริษัทสื่อดังกล่าวเข้าใจว่า เมย์รับเงินค่าตัวโดยไม่แจ้งให้ทราบ จึงไม่ยอมให้ค่าใช้จ่ายในการเรียนรวมถึงค่าที่พัก ครอบครัวจึงต้องส่งเงินไปให้ และรับตัวน้องเมย์กลับมาเรียนเมืองไทยในเวลาต่อมา

ด้วยอาชีพขับรถให้นักท่องเที่ยวของคุณพ่อ สุวรรณ ยายี ก็ถือว่าช่วยให้ครอบครัวนี้พอมีกินมีใช้ รวมทั้งส่งเสียให้น้องเมย์เล่าเรียนได้ไม่เดือดร้อน เมย์จึงเลือกเรียน ม.รามคำแหง โดยเลิกพึ่งพิงทุนการศึกษาจากมาเลเซีย ถึงแม้จะมีจดหมายและการติดต่อเรียกร้องให้เธอกลับไปเรียนตามเดิมก็ตาม

“เราก็อยู่อย่างปกติธรรมดามาตั้งแต่ยังเด็กๆ ถึงเขาจะเสนอบ้าน เสนอที่ดินให้เราไปอยู่ แต่ก็ไม่รู้หรอกว่าจะให้จริงหรือไม่อย่างไร ตอนนั้นเราก็เสียใจเหมือนกัน ว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนั้นกับเราเอาผลประโยชน์จากเราไปตั้งเยอะ พาไปถ่ายแบบ แต่ไม่ให้ค่าตัว คุณพ่อเลยมารับเมย์กลับบ้าน เมย์คงไม่เอาแล้ว อยู่เมืองไทยดีกว่า” เป็นคำบอกเล่าจากเมย์

ทายาทพระนางเลือดขาวรุ่นที่ 7 บอกด้วยว่า ที่ผ่านมาตำนานเรื่องพระนางนางมัสสุหรีบรรพบุรุษของเธอ เป็นที่เล่าสืบทอดกันในครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่นอยู่แล้ว และมาเลเซียก็มีความพยายามในการตามหาทายาทของพระนางมาโดยตลอด จนเมื่อสืบทราบและค้นพบหลักฐานว่าตระกูลของเธอคือทายาทตัวจริงเสียงจริง ทำให้ครอบครัวของเธอเป็นที่สนใจของคนมาเลย์โดยตลอด ก่อนหน้านี้ คุณน้าของเมย์ก็เคยโดนคนมาเลเซียชวนให้ไปเรียนที่โน่น แต่เมื่อไปจริงๆ ก็กลับโดนยึดพาสปอร์ต ทำให้เข้าประเทศมาเลย์ไม่ได้อยู่หลายปี

แม้เมื่ออยู่ในเมืองมาเลย์ เมย์จะเป็นคนดัง ได้รับความสนใจอยู่ตลอด ไปไหนมาไหนต้องมีคนมาขอถ่ายรูปด้วย แต่เมย์ก็ยืนยันว่า การได้อยู่เมืองไทยบ้านเกิดเมืองนอนนี่ล่ะ คือสิ่งที่ดีที่สุด

“จะว่าเสียดายก็เสียดาย แต่ก็ไม่เป็นไร การไปเรียนที่นั่น ช่วยสอนอะไรเราเยอะมาก สอนให้เราช่วยตัวเอง ไปไหนมาไหนคนเดียวได้ ถ้าหากจะไปเที่ยว เราก็ยังอยากไปอยู่เมย์ไปที่นั่นบ่อยมากๆ ตั้งแต่สุสานของพระนางมัสสุหรียังเล็กๆ อยู่ เดี๋ยวนี้เขามีการขยายใหญ่ขึ้น มีการตั้งโรงละครด้วย ที่กรุงกัวลาร์ลัมเปอร์เขาก็ดูเจริญกว่าบ้านเรา สนามบินไฮเทค ไปไหนมาไหนสะดวก มีรถไฟฟ้ารอบเมือง แต่อยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่าบ้านเรา คนไทยจริงใจ ไปอยู่ที่โน่นก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แม่สอนเสมอว่าให้ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ทุกวันนี้ก็พอใจกับที่เป็นอยู่อยู่แล้ว” เมย์ กล่าว

ขณะที่คุณแม่ของเมย์ เสริมว่า เธอวางอนาคตแค่ว่าขอเพียงให้ลูกสาวเป็นคนดีก็พอ เพราะว่าเมื่อเป็นคนดีแล้ว จะไปอยู่ตรงไหนก็ได้ ทุกวันนี้ครอบครัวยายีก็ยังไปเที่ยวมาเลเซียอยู่เสมอ แต่ก็ไปอย่างเป็นส่วนตัว แม้ถ้าหากแจ้งทางลังกาวีไป จะมีการจัดโรงแรมที่พัก มีการ์ดมาคอยดูแลห้อมล้อมก็ตาม

“เราจะสอนลูกว่า อย่าไปฟุ้งเฟ้อ ไม่ต้องไปดูคนที่รวยล้นฟ้า ให้ดูคนที่เขาใกล้เคียงกับเราก็พอ แค่มีกินมีใช้ อย่าไปยึดติดกับอะไร เมื่อตายไป เราก็เอาไปได้แค่ผ้าขาวห่อศพเท่านั้น” เป็นคำทิ้งท้ายจากคุณแม่

อย่างไรก็ดี ในฐานะที่เป็นทายาทพระนางมัสสุหรีรุ่นที่ 7 เมย์ ยืนยันว่า เมื่อมีลูกมีหลาน ก็จะขอเล่าเรื่องพระนางเลือดขาวสืบต่อไป เพราะนี่คือเรื่องราวประจำตระกูลที่ถ่ายทอดมาแล้วถึง 7 ชั่วอายุคนนั่นเอง.

และทุกวันนี้ ครอบครัวยายียังรักษากริชประจำตระกูลไว้ ขณะที่พิพิธภัณฑ์บริเวณสุสานของพระนางมัสสุหรี อ้างว่า นำของประจำตระกูลรวมทั้งกริชเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์เช่นกัน.

เครดิตจาก : www.teenee.com

Previous articleแฟนเก่า
Next articleรัก – ยม ให้คุณอนันต์ หรือ โทษมหันต์