เปรต…ที่วัดจุมพลสุทธาวาส

เปรตที่วัดจุมพลสุทธาวาส

เมื่อเกือบ ๔๐ ปีที่แล้ว ตอนนั้นพวกเรายังเป็นเด็กเล็กอยู่ เพื่อนเล่าให้ฟังว่า บ้านตาอยู่ละแวกวัดจุมพลสุทธาวาส เย็นวันศุกร์แม่จะพาไปนอนที่บ้านตา สมัยนั้นวัดจุมพลฯ ยังเป็นป่ารกครึ้ม พอตกเย็นแถวนั้นจะเงียบสงัดวังเวง ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจร หากไม่มีงานที่วัด ยิ่งตกดึก ยิ่งเงียบ ได้ยินแม้กระทั่งเสียงใบไม้ร่วงหล่นลงดิน กับเสียงหมาเห่าหอนตลอดคืน 

ช่วงเวลานั้นถ้าใครตื่นขึ้นมากลางดึกมักจะได้ยินเสียงประหลาด ถ้าไม่ใช่เสียงหวีดหวิดแหลมเล็กดังแทรกเสียงหมาเห่าหอน บางครั้งก็จะได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวน โดยเฉพาะช่วงวันโกนวันพระจะได้ยินเสียงดังนานกว่าทุกๆวัน ยิ่งในคืนหน้าหนาวด้วยแล้วชวนให้สยองขวัญยิ่งนักเชียว

เมื่อได้ยินเสียงประหลาดเด็กๆ คนแถวนั้นมักตกใจตื่นขึ้นมาร้องไห้อย่างหวาดกลัว ต่างควานหาผ้าห่มมาคลุมโปง เอาหัวซุกไว้ใต้ผ้าห่ม แล้วเอามืออุดหูทำเป็นไม่ได้ยินเสียงอะไร สักพักก็ม่อยหลับไปเอง เป็นอย่างนี้อยู่เกือบปี 

ตื่นเช้ามาเวลาถามตา ก็มักได้คำตอบว่า ไม่มีอะไรหรอกเสียงลมพัดยอดมะพร้าว ยอดตาล เสียงมันก็เป็นอย่างนี้แหละ แล้วบอกว่าเด็กๆต้องรีบนอนแต่หัวค่ำ ตื่นเช้าสมองจะได้แจ่มใส อยู่ในบ้านตาไม่ต้องกลัวอะไร เพื่อนก็ยังสงสัยว่าบางคืนไม่มีลมเลยสักนิด ยังได้ยินเสียงนั่นเลยนี่นา

ตื่นมาตอนเช้าเพื่อนก็ถามตาทุกครั้ง จนตาเองก็นั่งหมวดคิ้วแล้วหันหน้าไปทางวัดจุมพลอยู่เป็นนาน ก่อนจะผงกหัวหงึกๆแล้วเม้มปากไปด้วย แล้วบอกว่า… 

“เห็นทีจะต้องจัดการมันแล้ว เสร็จแล้วจะเล่าให้ฟังนะ”

อีกหลายวันต่อมาเพื่อนตามแม่ไปนอนที่บ้านตาอีก คราวนี้ไม่ได้ยินเสียงประหลาดนั่นอีก พอตื่นเช้ามาตาเล่าให้ฟังว่า เสียงนั่นเป็นเสียงร้องขอส่วนบุญ เมื่อถึงเวลาดึกดื่นค่อนคืน มันจะต้องออกมาร้องขอส่วนบุญเช่นนี้ทุกคืน 

ตัวมันสูงมาก สูงกว่าต้นตาลเสียอีก มันจะเดินไปเดินมาอยู่ในวัด เวลามันก้าวขาเดินจะข้ามโบสถ์ ศาลาวัด หรือกุฏิพระ เดินไปเดินมาอยู่อย่างนั้น แล้วก็หวีดร้องขอส่วนบุญกุศล เวลาประมาณไก่ขัน พระตีระฆังปลุกลูกวัดตื่นมาทำวัตรเช้าและเตรียมตัวบิณฑบาตมันก็จะหายไป

ตาเล่าว่าคืนนั้นเป็นคืนวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง ท้องฟ้าโปร่ง อากาศดี ลมพัดเย็นๆ เอื่อยๆตาเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะจัดการกับมัน จึงนั่งสูบยาอยู่หน้าบ้านคนเดียว หันหน้าไปทางวัด พอได้เวลาเที่ยงคืน ก็ได้ยินเสียงมันหวีดร้อง ดังขึ้นๆ เสียงนั้นดังมาจากทางวัด 

ตาก็ไม่รอช้าคว้าย่ามประจำตัวพร้อมหวายเสกคู่มือเดินไปวัด พอไปถึงรั้ววัดก็เหลือบเห็นเงาสีดำทมึนยืนคร่อมหลังคาโบสถ์อยู่ พร้อมเสียงหวีดร้องโหยหวน 

ตาล้วงไปในถุงย่ามหยิบเอาข้าวสารมากำหนึ่งเสกคาถาแล้วก็ซัดไปข้างหน้า เสียงนั้นก็หวีดร้องดังขึ้นกว่าเดิม พร้อมส่ายตัวโอนเอนไปมา 

จากนั้นตาจึงยกหวายเส้นนั้นขึ้นจบหัวเสกคาถาแล้วก็ตีไปข้างหน้า ๓ ที ดูเหมือนจะได้ยินเสียงกรีดร้องจนสุดเสียง ดังก้องคุ้มวัดเลย จากนั้นก็เงียบไป 

เหตุการณ์กลับคืนสู่สภาพปกติแล้วมีแต่ความเงียบสงัดวังเวงเข้ามาแทนที่ ตาก็เดินกลับบ้านโดยไม่เหลียวหลังกลับไปมองทางวัดอีกเลย

ตื่นเช้ามาตาก็ไปเดินดูตามบ้านต่างๆละแวกวัดนั้นแล้วบอกว่า ไปเจอหนุ่มใหญ่วัยฉกรรจ์ที่บ้านหลังหนึ่ง กำลังนอนร้องครวญคราง ญาติๆบอกว่าจับไข้ตัวร้อนมาตั้งแต่เมื่อคืน ส่วนบ้านที่ถัดไปไม่ไกลมีหญิงสาวคนหนึ่งมีลักษณะอาการเช่นเดียวกัน 

ตาจึงขอเข้าไปดูอาการใกล้ๆ ปรากฏว่าตามตัวมีริ้วรอยเป็นผื่นแดงเต็มตัว ปวดแสบปวดร้อนมาก และมีรอยเป็นปื้นแดงคล้ายถูกฟาดด้วยไม้ที่กลางหลัง 

พอเห็นตาเดินเข้าไปคนทั้งสองก็ตัวสั่น ร้องลั่น จะลุกหนี ตาก็ล้วงเอาข้าวสารเสกมาเสกแล้วซัดใส่มันอีก คราวนี้พวกมันหมดสติไปเลย แล้วตาก็พูดว่า… 

“ไปซะ ไปให้พ้น ไปสู่ที่ชอบๆของเจ้าเถิด อย่าได้มาก่อกวนชาวบ้านที่นี่อีกเลย” แล้วก็เดินกลับบ้านไป

พอวันต่อมาปรากฏว่าชายหนุ่มและหญิงสาวนั้นก็หายสาปสูญไปเลย ไม่มีใครได้พบได้เห็นอีกเลย…

เครดิต : บอร์ดพลังจิต

เรื่อง : สันธนะ ประสงค์สุข

Previous articleยุติการเผยแพร่
Next articleบ้านหลังนี้ ทางผีผ่าน