เหตุการณ์และเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่งในจังหวัดนครนายก เป็นเรื่องราวของบ้านบาตรแตก แต่เดิม บาตรแตก ตามความเชื่อโบราณก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี ยิ่งกว่าของดำเสียอีก แล้วบ้านหลังนี้ไปเกี่ยวข้องกับบาตรแตกได้ยังไง เรามาติดตามเรื่องนี้ไปพร้อมๆกัน
เรื่องนี้ย้อนกลับไปเมื่อเมษายน ปี 2539 หรือ 25 ปีก่อน ตอนนั้นคุณกอล์ฟและครอบครัวอาศัยอยู่กับคุณยายที่จังหวัดตราด สมัยก่อนครอบครัวมักจะอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ คุณกอล์ฟมีพี่น้องรวมกันแล้วทั้งหมด 8 คน ตัวคุณกอล์ฟเป็นลูกคนสุดท้อง
คุณยายมีที่ดินขนาดใหญ่ผืนนึงอยู่ที่จังหวัดนครนายก ซึ่งมันอยู่ติดกับป่าช้า ก่อนคุณยายจะเสียท่านได้ยกที่ดินผืนนี้ให้คุณแม่ของคุณกอล์ฟไปอยู่ดูแล หลังจากที่คุณแม่ได้ที่ดินผืนนี้มาก็ได้ไปสร้างบ้านไม้สองชั้นไว้ในพื้นที่ เพื่อจะเอาไว้อาศัยอยู่กับสามีและลูก ๆ ทั้ง 8 คน
ช่วงของการเริ่มก่อสร้างคุณแม่ไม่ได้เชิญพราหมณ์มาทำพิธีอะไร เพียงแค่เอาฤกษ์สะดวกของตัวเองแล้วจ้างให้ชาวบ้านมาทำการสร้างก็เท่านั้น
หลังจากทำบ้านเสร็จแล้วก็ไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรใหญ่โต ย้ายข้าวของห้างร้านเข้าบ้านทันที เพราะเห็นว่ามันเป็นช่วงใกล้หน้าฝนแล้วด้วย
เหตุการณ์ทุกอย่างในบ้านดูปกติ ทุกคนมีความสุขที่ได้มีบ้านหลังใหม่ มีทั้งสวน มีทั้งนา มีที่มีทางมีทุกอย่าง และยังวัวไว้ให้ครอบครัวดูแลอีก
ด้วยความที่บ้านของคุณกอล์ฟเริ่มจะมีฐานะในระดับหนึ่ง พี่คนโตสามคนจึงได้แยกตัวออกไปปลูกบ้านและทำธุรกิจเปิดอู่ซ่อมรถร่วมกัน กิจการก็ไปด้วยดี แต่ละคนมีรถขับกลับบ้านเท่ๆกันคนละคันสองคัน
ส่วนพี่คนที่สี่กับคนที่ห้าได้ไปทำงานอยู่กับลุงที่ต่างจังหวัด จึงเหลือพี่คนที่หก คนที่เจ็ด และตัวคุณกอล์ฟที่อาศัยอยู่กับคุณยาย พอยายเสียชีวิตลง จึงได้ย้ายมาอยู่กับคุณแม่ที่จังหวัดนครนายก เพื่อค่อยช่วยกันเลี้ยงวัวดูแลสวนดูแลไร่นา
ด้วยความที่คุณกอล์ฟ เป็นน้องคนสุดท้ายของครอบครัว คุณแม่ก็คิดว่าไม่นานพี่น้องคนอื่น ๆ ก็คงจะแยกย้ายกันไปมีครอบครัวกันหมด พ่อแม่ก็เลยฝากฝังความหวังให้คุณกอล์ฟดูแลที่ดินผืนนี้ต่อ เผื่อวันข้างหน้าถ้าพ่อแม่เสียชีวิต ก็จะยกที่ดินทั้งหมดนี้ให้กับคุณกอล์ฟไปเลย
จนอยู่มาวันหนึ่งคุณแม่เกิดล้มป่วย นอนซมติดเตียง โดยที่ไม่รู้สาเหตุ ส่วนคุณพ่อก็ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว แล้ววันที่คุณพ่อเสียชีวติก็มาถึง ก่อนที่คุณพ่อจะเสียชีวิตลง ท่านได้พูดขึ้นมาคำหนึ่งว่า “มีบาตร” แล้วคุณพ่อก็สิ้นใจลงต่อหน้าต่อตาทุกคนในบ้าน
ลูกทุกคนต่างเสียใจ แต่คนที่เสียใจมากกว่าใคร ๆ น่าจะเป็นคุณแม่ ซึ่งก็คุณแม่นอนร้องไห้อยู่ข้าง ๆ ร่างไร้วิญญาณของคุณพ่อ หลังจากนั้นทุกคนก็ช่วยกันจัดงานศพให้คุณพ่อ
ประมาณ 2 ทุ่ม คืนแรกหลังจากงานสวดอภิธรรมศพของคุณพ่อผ่านไป ทางพี่น้องก็ได้ตกลงกันว่าจะให้พี่คนโตนอนเฝ้าศพคุณพ่อที่วัด ส่วนพี่น้องคนอื่นๆจะกลับไปนอนที่บ้าน แต่เมื่อมาถึงบ้าน ทุกคนก็ต้องช็อกอีกครั้ง เมื่อพบว่าคุณแม่นอนเสียชีวิตอยู่บนที่นอนไปอีกคนแล้ว ทำให้ทั้งบ้านตอนนี้เหลือแค่ 8 คนพี่น้อง
ระหว่างที่ทุกคนกำลังอยู่ในอาการเสียใจ พี่คนโตเกิดความสงสัยขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า ตั้งแต่มีบ้านหลังนี้ ทำไมมันถึงเจอแต่เรื่องแปลกๆ เจอแต่เรื่องไม่ดี
ด้วยความที่พี่คนโต เป็นชาวสวน ชาวไร่มาก่อน ช่วงแรกที่มาอยู่บ้านหลังนี้แกได้ปลูกพริกปลูกกระเพราไว้ตามขอบสระหลังบ้าน แล้วก็ได้เอาปลานิล 300 ตัว มาปล่อยไว้ในสระ ปรากฎว่าไม่เกิน 3 วัน ปลานิลใต้ยกสระเลย พวกพืชผักสวนครัวที่ปลูก ก็แห้งตายทั้งหมดเช่นกัน ตอนแรกพี่ชายก็มองในแง่ดีกว่า ดินไม่ดีหรือเปล่า หรือน้ำเป็นกรดหรือเปล่า
หลังจากงานศพของพ่อแม่เสร็จสิ้นลง ทุกคนในบ้านก็เริ่มรู้สึกไม่ดี กลับมาถึงบ้านทุกคนก็มานั่งรวมหัวกันที่ใต้ถุนบ้าน จู่ ๆ พี่คนรองก็ตะโกนถามขึ้นมาว่า “โอ้ย!! บนบ้านเนี่ย นอกจากพ่อกับแม่กู ยังมีใครอยู่อีกหรือเปล่า” สิ้นเสียงพูดของพี่คนรอง ก็มีเสียงของผู้ชายตอบกลับมาสั้น ๆ ว่า “เอ้อ! เอ้อ!”
พี่คนโตได้ยินก็ตกใจจึงอุทานออกไปว่า “เฮ้ย! ใครวะ ใครอยู่บนบ้านวะ ขมงขโมยหรือเปล่า ไป! ขึ้นไปดูกัน” ทุกคนก็รีบกรูวิ่งจะขึ้นไปบนบ้าน แต่ยังไม่ทันวิ่งไปถึงบันได อยู่ดี ๆ ประตูบ้านก็เปิดออกมาอัดเต็มหน้าพี่คนโตดัง ปัง! จนหัวแตกเลย
พอประตูเปิดออก ทุกคนก็รีบกรูกันขึ้นไปในบ้าน ช่วยกันมองหาต้นตอของเสียง แต่ทั้งบ้านมีแต่ความว่างเปล่า มีแต่ความสงบนิ่ง ไม่มีคน ไม่มีเสียง ไม่มีอะไรทั้งสิ้น เหมือนบ้านที่ไม่มีคนอยู่
วันรุ่งขึ้นพี่คนโตทั้งสามคนก็ต้องกลับไปทำงานที่อู่ซ่อมรถในเมือง ก่อนไปก็ได้บอกกับคุณกอล์ฟว่า “เออเดี๋ยววันอาทิตย์จะมาหาใหม่ พวกเอ็งก็อยู่ดูแลบ้านดูแลสวนกันไปก่อนแล้วกัน” กอล์ฟก็บอกว่า “เอาข้าวสารไปด้วยสิพี่ รอแป๊บนึงเดี๋ยวผมไปเอาในยุ้งมาให้”
ปกติแล้วคุณพ่อกับคุณแม่จะมีโทรศัพท์มือถือคนละเครื่อง แต่พอท่านทั้งสองเสียชีวิตลง พี่คนโตจึงได้เก็บไว้หนึ่งเครื่อง และให้คุณกอล์ฟเก็บไว้หนึ่งเครื่อง ซึ่งก่อนจะไปก็ได้ร่ำลากันปกติ
เวลาผ่านไปได้เพียงเช้าเดียว ตี 4 ของอีกวัน ก็มีคนโทรมาแจ้งว่า พี่ชายทั้งสามคนได้เสียชีวิตลงแล้ว เกิดเหตุไม่คาดฝัน ไฟไหม้บ้านและซ่อมรถ ทุกคนติดอยู่ภายในบ้านเสียชีวิตทั้งหมด พอพวกพี่ๆและคุณกอล์ฟทราบข่าว ก็รีบไปรับศพของพี่ชายทั้ง 3 กลับมาบำเพ็ญกุศลตามประเพณี
สถานการณ์ตอนนี้ทุกคนในบ้านรู้สึกร้อนรุ่มกันหมด ทุกคนคิดว่าคงอยู่บ้านหลังนี้ต่อไม่ได้แล้ว มันต้องมีอะไรแปลกๆแน่ๆ ตั้งแต่อยู่มามีแต่เรื่อง มีแต่คนตายอะไรไม่รู้เต็มไปหมด
ขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันอยู่ คุณกอล์ฟก็สบถออกมาด้วยความโมโหว่า “เฮ้ย บ้านนี้มันอะไรกันแน่วะ ทำไมมันวินาศสันตะโรขนาดนี้” สิ้นคำพูดจู่ ๆ ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า “เอ้อ! เอ้อ!” เสียงเหมือนคนลิ้นไก่สั้นที่พยายามจะพูด แต่พูดไม่ได้
ด้วยความถี่พี่ชายคนที่สี่กับคนที่ห้าทำงานอยู่กับลุง จึงไม่สามารถลางานมาได้ หลังจากพิธีศพของพี่ชายคนโตทั้งสามคนเสร็จสิ้นลง พี่ชายทั้งสองก็ชวนพี่คนที่หกไปอยู่ด้วย และให้พี่ชายคนที่เจ็ดและคุณกอล์ฟอยู่ดูและบ้าน คุณกอล์ฟและพี่ชายคนที่เจ็ดก็ตกลงตามนั้น
หลังจากนั้นต่างคนก็ต่างแยกย้ายกัน แต่ในใจตอนนั้นไม่มีใครอยากอยู่บ้านหลังนี้แล้ว ถ้าไปอยู่วัดได้ก็จะไปอยู่วัดดีกว่า คุณกอล์ฟเลยพูดกับพี่ชายคนที่เจ็ดว่า “เอางี้แล้วกัน ถ้ากูไปอยู่วัดได้กูก็จะไปอยู่แล้ว”
รุ่งเช้าวันถัดมา เวลาประมาณตี 5.30 วันนี้อยู่ดี ๆ คุณกอล์ฟก็ออกมารอใส่บาตรที่หน้าบ้านด้วยความร้อนรน ซึ่งต้องบอกก่อนว่าคุณกอล์ฟไม่เคยออกมารอใส่บาตรมาก่อน เพราะวัดที่พระบิณฑบาตมันค่อนข้างจะไกล พระจึงเดินมาไม่ค่อยถึงบ้านคุณกอล์ฟ
แต่บังเอิญวันนี้มีหลวงพ่อจากเดินมาถึงด้วย เมื่อหลวงพ่อท่านเห็นหน้าคุณกอล์ฟ ท่านก็พูดออกมาลอยๆว่า “โยม อาตมาขอบิณฑบาตนะ”
คำพูดของหลวงพ่อทำให้คุณกอล์ฟขนลุกไปทั้งตัว จังหวะนั้นเหมือนหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม แล้วคุณกอล์ฟก็ถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ เกิดอะไรขึ้นกับผม คนที่บ้านผมทยอยตายกันไปหมด ทยอยตายกันไปเรื่อยๆเลยครับหลวงพ่อ”
หลวงพ่อทันหันกลับมาแล้วพูดกับคุณกอล์ฟว่า “เศษบาตรแรก 7 ชั่วชีวิต โยมอยู่ที่ตรงนี้ไม่ได้หรอก”
พี่กอล์ฟได้คุณคุ้นคิดอยู่พักนึง แล้วถามหลวงพ่อกลับไปว่า “หลวงพ่อ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ผมขอไปอยู่วัดด้วยได้ไหมครับ” หลวงพ่อท่านก็บอกว่า “ได้ ตามอาตมามา” ทำให้ตอนนี้เหลือพี่ชายคนที่เจ็ดอยู่บ้านคนเดียว
คุณกอล์ฟไปถึงวัดก็ได้ไปช่วยกวาดลานวัด เหมือนเป็นเด็กวัดเต็มตัวเลย หลวงพ่อทันก็บอกกับคุณกอล์ฟว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้ หลวงพ่อจะให้โยมมานอนที่วัดนะ โยมเตรียมตัวบวชนะ เดี๋ยวอาตมาจะบวชให้”
คุณกอล์ฟได้ยินก็รู้สึกตะหงิดใจถามว่าหลวงพ่อท่านว่า “แล้วทำไมผมต้องบวชด้วยหล่ะ เพราะอะไรผมถึงต้องบวช บวชเพื่ออะไร แล้วพี่ชายผมล่ะ ”
แต่ด้วยความที่คุณกอล์ฟศรัทธาในหลวงพ่อมาก ก็เลยรีบกลับบ้านไปบอกพี่ชายคนที่เจ็ด บอกว่า “พี่ๆ เดี๋ยวผมจะไปนอนวัด 7 วัน แล้วก็จะบวชนะ เพราะผมก็ยังไม่ได้บวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่เลย” พี่ชายก็บอกว่า “เออ เอาสิ ก็ดีเหมือนกัน ข้าเองก็ยังไม่เคยบวชให้พ่อให้แม่เลย ไม่เป็นไรเดี๋ยวไร่นาพี่ดูแลให้เองน้อง ไม่ต้องห่วง” ตกเย็นคุณกอล์ฟก็เก็บข้าวเก็บของเตรียมไปอยู่ที่วัด
ก้าวแรกที่ขาเข้ามาในวัด คุณกอล์ฟรู้สึกขนลุกขนชันไปทั้งตัว ในใจก็คิดว่า “มันเกิดอะไรขึ้น แค่เข้าวัดมามันเป็นขนาดนี้เลยหรอ”
คุณกอล์ฟใช้ชีวิตเป็นเด็กวัดได้เพียง 5 วันเท่านั้น ผู้ใหญ่บ้านก็เดินทางเข้ามาหาคุณกอล์ฟที่วัด พร้อมกับคนในหมู่บ้านจำนวนมาก ผู้ใหญ่บ้านตะโกนเรียก “กอล์ฟ ไอ้กอล์ฟ ไอ้กอล์ฟ อยู่ไหน”
พอคุณกอล์ฟได้ยินก็กำลังเดินออกมาจากกุฏิของหลวงพ่อ แตะก่อนที่จะเดินออกมาจากกุฏิก็ได้ตะโกนถามผู้ใหญ่ว่า “ว่าไงผู้ใหญ่”
พอทุกคนได้ยินเสียงคุณกอล์ฟ ชาวบ้านที่มาด้วยก็ร้องโวยวายกันด้วยน้ำเสียงแตกตื่นตกใจ “ว่าแล้ว ๆ มันอยู่ที่นี่ ไอ้กอล์ฟ พวกพี่ๆมึงตายทั้งหมดแล้วเด้อ” คุณคุยก็ตกใจ ถามกลับไปว่า “ฮะ!! อะไร ใครตาย”
ผู้ใหญ่บ้านเล่าให้ฟังว่า พวกพี่ๆที่ไปงานกับลุง วันนั้นไม่รู้เกิดเหตุอะไร อยู่ดีๆเหล็กที่อยู่บนรถเครน ก็ร่วงลงมาทับคนงานที่อยู่ด้านล่าง เสียชีวิตทั้งหมด 6 ศพ รวมถึงพี่ชายทั้งสามคนของคุณกอล์ฟด้วย ส่วนพี่ชายคนที่เจ็ด ที่อยู่ดูแลบ้าน ก็โดนวัวขวิดตายคาคอกเลย ซึ่งชาวบ้านได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพทำพิธีเผาศพทั้งหมดไปเรียบร้อยแล้ว
สิ่งทีได้ฟัง ทำให้คุณกอล์ฟยืนช็อคร้องไห้อยู่ตรงหน้ากุฏิเลย หลังจากได้สติคุณกอล์ฟพูดออกไปว่า ทำไม ทำไมไม่มีคนโทรมาบอกเลย โทรศัพท์ก็มี วัดก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านสักหน่อย ทำไมผู้ใหญ่บ้านถึงเอาป่านนี้ ทำไมเผาศพพี่ผมไปแล้วถึงพึ่งมาบอก”
คุณกอล์ฟจึงไปถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อมันเกิดอะไรขึ้น” แต่หลวงพ่อได้กล่าวเพียงสั้นๆว่า “อาตมาขอบิณฑบาตได้แค่โยมคนเดียว อาตมาไม่สามารถช่วยใครนอกจากโยม”
แต่ยังมีเรื่องที่พีคกว่านั้นอีก เมื่อหลวงพ่อท่านบอกคุณกอล์ฟว่า “หมดเวลาของอาตมาแล้วล่ะ ไปบวชด้วยล่ะโยม” คุณกอล์ฟทำหน้างง น้ำตาไหนร้องไห้ แล้วรีบวิ่งออกจากกุฏิตรงไปที่บ้านทันที่
แต่สิ่งที่พีคในพีคไปกว่านั้นอีกคือ ชาวบ้านที่อยู่ตรงนั้นต่างตกใจกันยกใหญ่ เพราะภาพที่ทุกคนเห็นนั้น คุณกอล์ฟไม่ได้นอนอยู่ในกุฏิ แต่นอนอยู่ในศาลาข้างเมรุ ตรงโกฐของเจ้าอาวาสวัดรูปเก่าที่ท่านเสียชีวิตไปแล้ว 20 ปี
เท่ากับว่าวัดที่คุณกอล์ฟอยู่นั้น เป็นวัดร้าง ซึ่งอยู่ติดกับป่าช้า ที่วัดแห่งนี้ไม่มีเจ้าอาวาส ไม่มีพระ ไม่มีน้ำไม่มีไฟมานานโขแล้ว คุณกอล์ฟกินน้ำฝนจากในโอ่งแดง อาบน้ำในศาลาศพ นอนข้างเมรุ ตลอด 6 วันที่ผ่านมาคุณกอล์ฟไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองนั้นใช้ชีวิตอยู่ในวัดร้างมาโดยตลอด และนี่คือสาเหตุที่พวกผู้ใหญ่บ้านไม่สามารถบอกข่าวการตายของพี่ชายทั้งหมด และออกตามหากันให้ควักอยู่หลายวัน จนในที่สุดก็มาเจอคุณกอล์ฟอยู่ที่วัดร้างแห่งนี้นี่เอง เพราะสถานที่สุดท้ายที่ผู้ใหญ่บ้านนึกถึง และชาวบ้านก็มั่นใจว่าคุณกอล์ฟต้องอยู่ที่นี่แน่นอน
ณ ตอนนั้นพี่กอล์ฟรู้สึกช็อกมาก ช็อคซ้ำซ้อน เดินตาละห้อยถือมีดกลับบ้านจะแทงตัวเอง มาถึงบ้านก็ยืนดูรูปภาพของทุกคนที่เสียชีวิตไปแล้ว ไล่มาตั้งแต่พ่อแม่ พี่คนโต จนพี่คนรองคนสุดท้าย ตอนนี้ทั้งบ้าน 9 ชีวิตเหลือเพียงคุณกอล์ฟแค่คนเดียว
แต่คุณกอล์ฟก็ได้ทำใจเอาไว้แล้วว่า ยังไงก็จะขอบวชก่อนแล้วกัน เพราะไม่อยากให้อะไรมันสูญเปล่าไปมากกว่านี้ ไม่อยากให้ตนเองต้องตายไปอีกคน
คุณกอล์ฟทำใจเก็บของเดินลงจากบ้านไปทั้งน้ำตา แต่ก่อนที่จะเดินออกพ้นประตูบาน จู่ๆก็ได้มีเสียงมากระซิบข้างหูว่า “บาตร มีบาตรอยู่” เสียงนั้นทำให้คุณกอล์ฟรู้สึกตะหงิดใจ จึงหันกลับไปดูที่ใต้ถุนบ้าน พลันคิดไปในใจด้วยว่า “บ้านหลังนี้มันอะไรกันนักหนาวะ รอกูลาสิกขาบทก่อน แล้วค่อยเจอกัน”
หนึ่งตลอด 1 พรรษา คุณกอล์ฟได้ไปบวชเป็นพระที่ดีอยู่ที่วัดประจำหมู่บ้าน ละทางโลกทุกอย่าง ตั้งใจเอาธรรมะเข้าตัวอย่างเดียว เมื่อถึงวันลาสิกขาบท หลวงพ่อที่เป็นเจ้าอาวาส ท่านก็ได้บอกว่า “โยมกอล์ฟ เราเป็นหลานแล้วนะ ทำอะไรก็ให้มีสติ ส่วนเรื่องที่บ้านหลานจะทำยังไงล่ะ” คุณกอล์ฟก็บอกกับหลวงพ่อว่า “ผมจะรื้อครับหลวงพ่อ จะขายทุกอย่าง แล้วย้ายไปอยู่กรุงเทพฯครับ” หลวงพ่อท่านก็บอกว่า งั้นดีเลย เดี๋ยวหลวงพ่อไปด้วย เดี๋ยวเอาท่านอาจารย์อีก 4 รูป ไปทำพิธีด้วย”
พอมาถึงที่บ้าน คุณกอล์ฟก็ได้ให้ช่างทำการรื้อบ้านทั้งหลัง จนกระทั่งเหลือแต่เสาบ้านโด่เด่อยู่ หลวงพ่อท่านก็สังเกตว่า เสาเอกกลางบ้านนั้นเป็นเสาไม้ตกน้ำมัน เพราะมันเงาเลี่ยมอยู่ต้นเดียว
คุณกอล์ฟได้บอกว่าให้ช่างเอารถแบคโฮยันเอาเสาตกน้ำม้นต้นนี้ออก “โค้นเลย เอารถแบคโฮยันเลย” รถแบคโฮได้ทำการขุดเสาขึ้นมา ปรากฏว่ามีบาตรไม้เก่า ที่เก่ามากๆ สภาพแตกหัก อยู่ใต้เสาต้นนี้
พอหลวงพ่อท่านก็บอกว่า “นั่นไง เจอแล้ว”
หลวงพ่อท่านได้เรียกคุณกอล์ฟมาคุยว่า “บาตรไม้แตก มันเป็นของอัปมงคล อัปโชค ปกติเขาจะเก็บไว้ที่วัดเท่านั้น แต่ถ้าเอาไปไว้ใต้บ้านใคร เอาไปฝังไว้ใต้บ้านใคร บ้านนั้นจะมีแต่ความชิปหายวายป่วง ตายไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด มันเป็นยิ่งกว่าของดำ แค่บาตรไม้ก็น่ากลัวอยู่แล้ว แต่บาตรไม้อันนี้มันมีคนทำของใส่ลงไปด้วย แล้วยิ่งบาตรไม้แตกด้วย มันจึงยิ่งไปกันใหญ่
จริงๆแล้วบาตรไม้อันนี้อาจจะอยู่ใต้ที่ดินแห่งนี้มานานแล้ว แต่ไม่มีใครรู้ พอคุณแม่ของคุณกอล์ฟย้ายมาสร้างบ้านหลังนี้แล้วได้บังเอิญปักเสาเอกลงตรงบาตรพอดี คงเป็นเพราะตอนที่สร้างบ้าน คุณแม่ไม่ได้เชิญพราหมณ์มาทำพิธีลงเสาร์เอกให้ถูกต้อง เพียงแค่ไหว้เจ้าที่และเอาฤกษ์สะดวกของตัวเองเท่านั้น แล้วก็ฝังเสาลงไปเลย กลายเป็นว่าใต้หลุมของเสาเอก ดันมีบาตรไม้ที่ถูกฝังอยู่ใต้ผืนดินมาช้านาน คิดว่าตอนแรกมันก็เป็นบาตรที่สมบูรณ์แหละ แต่พอเสากระแทกลงไปดันไปบาตรแตก มันก็เลยทำให้อาถรรพ์ยิ่งแรงขึ้นกว่าเก่า”
สุดท้ายหลวงพ่อได้บอกกับคุณกอล์ฟว่า “อาตมาขอบิณฑบาตนะ” คุณกอล์ฟฟังแล้วก็ตกใจ เพราะมันเหมือนกับคำพูดของหลวงพ่อรูปที่ชวนให้คุณกอล์ฟไปอยู่ที่วัดร้างเลย
หลังจากที่คุณกอล์ฟรื้อบ้านเสร็จ ขายทุกอย่างในพื้นดินแห่งนี้จนหมดสิ้นแล้ว ก็ได้ย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ ส่วนบาตรแตกนั้น หลวงพ่อท่านก็ได้เอาไปทำพิธีกรรม แล้วนำไปถ่วงน้ำ
สรุป บาตรแตก มันคือเศษบาตรที่มาพร้อมกับความตาย หรือจะใช้คำว่าคราวเคราะห์ของครอบครัวนี้ก็ไม่ผิด ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ได้ที่ดินตกทอดนี้มา ซึ่งผ่านกาลเวลามานานขนาดไหนก็ไม่รู้ มีอะไรที่อยู่ใต้พื้นดินเราไม่มีทางทราบได้ พอได้ที่มาก็เอามาสร้างบ้าน เพื่ออยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่
พอบ้านสร้างเสร็จ ก็มีเหตุการณ์ต่างๆนาๆมากมาย เริ่มจากพ่อแม่เสีย พี่เสีย ไล่ทยอยเสียชีวิตกันไปทีละคน จนกระทั่งเหลือคุณกอล์ฟ ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้โชคดีเพียงคนเดียว ที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้มาได้
และปริศนาทั้งหมดมันก็ไปตกอยู่ที่หลวงพ่อที่มาขอบิณฑบาตรคุณกอล์ฟในตอนแรก ซึ่งเรารู้แล้วว่าหลวงพ่อท่านนั้นไม่ใช่คน แต่ประเด็นหลวงพ่อท่านอีกท่านที่มาช่วยรื้อบ้าน ก็ดันมาบอกเหมือนกันอีกว่า “ขอบิณฑบาตแล้วกันนะโยม”
ของคุณที่มา TheShock13 เรื่อง บ้านบาตรแตก l คุณ สยาม สามแพร่ง ถอดความโดย คลังหลอน