เรื่องราวของ พิมพวดี เป็นตัวอย่างยืนยันว่า การเวียนว่ายตายเกิด และการระลึกชาติ นั้นมีจริง โดย..หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๔ ได้ลงรายละเอียดไว้ด้วย
มิติลี้ลับและเรื่องราวอันน่าพิศวงเกี่ยวกับความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณและการระลึกชาติ ที่เคยเป็นเรื่องโด่งดังในอดีตของ ด.ญ.พิมพวดี โหสกุล ถูกเปิดเผยขึ้นอีกครั้งเมื่อวันที่ ๑๖ พ.ย.๒๕๔๔ และได้มีการประกาศงานฌาปนกิจศพ ด.ญ.พิมพวดี ขึ้นในวันที่ ๒๐ พ.ย. ภายหลังจากที่ ด.ญ.คนดังกล่าวได้ล่วงลับไป ๔๐ กว่าปีแล้ว
โดยนักข่าวได้เดินทางไปที่บริษัทเสรีวัฒนาหัวมุมถนนหลวง และถนนมิตรพันธ์ ตรงข้ามโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ กทม. เพื่อสอบถามรายละเอียดและความเป็นมาของพิธีฌาปนกิจศพ ด.ญ.พิมพวดี จากนายเสรี โหสกุลผู้เป็นพี่ชายของ ด.ญ.พิมพวดี
นายเสรีเปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ พ.ย.นี้จะมีการสวดพระอภิธรรมศพของ ด.ญ.พิมพวดี พร้อมกับนายเสียง โหสกุล บิดาที่เสียชีวิตไปเมื่อ ๒-๓ เดือนก่อน จากนั้น ในวันที่ ๒๐ พ.ย. จะเป็นพิธีฌาปนกิจ ทั้งนี้ เหตุที่ต้องเก็บร่างของ ด.ญ.พิมพวดีไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๐๓ จนถึงขณะนี้เป็นเวลา ๔๐ กว่าปีนั้น เป็นความประสงค์ของคุณพ่อที่รักลูกสาวคนนี้มาก เพราะเป็นลูกสาวคนเดียวและเป็นลูกคนสุดท้องของครอบครัว
เมื่อยังมีชีวิตอยู่หนูพิมเป็นเด็กน่ารัก ว่านอนสอนง่าย เรียนหนังสือเก่ง และเป็นเด็กที่จัดว่าหน้าตาสวยทีเดียว แต่น่าเสียดายที่ต้องเสียชีวิตตั้งแต่เด็กด้วยอายุเพียง ๙ ปี ๙ เดือน ด้วยโรคไข้เลือดออก ซึ่งในขณะนั้นวิทยาการทางการแพทย์ยังไม่ดีเท่าเดี๋ยวนี้ น้องพิมจึงต้องเสียชีวิตลง หลังจากน้องพิมเสียชีวิตคุณพ่อทำใจไม่ได้ที่ต้องเสียลูกสาวไป
จึงได้สร้างศาลาพิมพวดีไว้เป็นอนุสรณ์แห่งความรักและความคิดถึง ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม รวมทั้งใช้เป็นที่เก็บร่างของน้องสาวด้วย มีการสร้างพลับพลาไว้เหนือศพและติดรูปถ่ายของน้องพิมเอาไว้ กระทั่ง เมื่อคุณพ่อเสียชีวิต เมื่อเดือน ส.ค.๒๕๔๔ จึงนำศพน้องพิมออกมาฌาปนกิจพร้อมกับคุณพ่อตามความประสงค์ของท่าน
ทั้งนี้ เรื่องราวซึ่งเป็นที่ฮือฮาเกี่ยวกับวิญญาณและการระลึกชาติได้ของน้องพิม ซึ่งเกิดขึ้นในอดีตนั้น เป็นเรื่องที่เกิดกับ นพ.อาจินต์ บุณยเกตุ ซึ่งครอบครัวโหสกุลไม่เคยประสบเรื่องราวในลักษณะนี้ แม้แต่การเข้าฝัน ทว่าเมื่อมีดำริจะจัดงานฌาปนกิจศพน้องสาวพร้อมกับคุณพ่อ กลับมีเหตุการณ์ที่น่าประหลาดใจเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้
โดยขณะที่จะจัดทำรูปหน้าศพของน้องพิม ซึ่งมีรูปถ่ายขาวดำเพียงรูปเดียวเหลืออยู่ ตนมีความเห็นว่าจะทำรูปเป็นพื้นสีน้ำตาล หรือรูปสีซีเปีย เช่นเดียวกับรูปคุณพ่อ จึงนำไปให้ช่างภาพทำให้ แต่ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ รูปจะออกมาดำๆ แลดูน่ากลัวทุกครั้ง และหน้าตาออกดุๆ
ต่อมาตนจึงตัดสินใจนำรูปน้องไปให้ช่างวาดรูปให้ ซึ่งเป็นนักเขียนรูปสมัครเล่น อยู่ที่มาบุญครองเขียนออกมาเป็นภาพสีตามที่ต้องการ โดยคิดว่าจะทดลองให้วาดก่อนว่าจะใช้ได้หรือไม่ ซึ่งเมื่อวาดออกมาครั้งแรก พี่น้องทุกคนลงความเห็นว่าใช้ไม่ได้ ต้องไปแก้ไขใหม่ ซึ่งต่อมาช่างวาดรูปได้มาเล่าให้ฟังว่า
น้องพิมไปเข้าฝันบอกให้วาดใหม่ ซึ่งเมื่อช่างวาดรูปมาให้ดูใหม่คราวนี้ทุกคนถึงกับอึ้ง เพราะรูปที่วาดมาเปลี่ยนไปเป็นคนละรูป คราวนี้เหมือนตัวจริงมาก และมีความรู้สึกว่าเป็นภาพเหมือนมีชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งแววตาที่เป็นประกาย เห็นชัดเจนยิ่งกว่ารูปถ่ายเสียอีก
นายเสรียังเผยอีกว่า ยังมีเรื่องที่น่าประหลาดใจอีกเรื่องคือ เมื่อนำหีบศพของน้องพิมออกมาจากที่เก็บศพซึ่งเป็นหินอ่อนในศาลา เพื่อเตรียมทำพิธีตั้งสวดพระอภิธรรมก่อนฌาปนกิจ ปรากฏว่า สภาพทุกอย่างอยู่สมบูรณ์ ศพไม่มีกลิ่นใดๆทั้งสิ้น แม้กระทั่งฝุ่นยังไม่มี จนพระที่วัดยังแปลกใจ และตนยังทราบมาว่า เจ้าหน้าที่ที่วัดมกุฏฯถูกหวยเป็นประจำ โดยนำเลขวันเดือนปีเกิด หรือเลขอะไรต่างๆนานาที่เกี่ยวกับน้องสาวมาตีเป็นตัวเลขนำไปแทงหวย
ต่อมานักข่าวติดต่อไปยังนางพิจิตร บุณยเกตุ ภรรยา นพ.อาจินต์ ที่บ้านซึ่งอยู่ย่านราชวัตร ซึ่งนางพิจิตรแจ้งว่า นพ.อาจินต์ไม่สบายเป็นโรคหลอดเลือดตีบ ไม่สามารถพูดได้เป็นเวลานานแล้ว เรื่องของ ด.ญ.พิมพวดีนั้น ตนจำไม่ค่อยได้ ให้ไปดูรายละเอียดจาก “หนังสือที่ระลึก ๔๐ปี นพ.อาจินต์ บุณยเกตุ พบวิญญาณหนูพิมพวดี ณ โรงพยาบาลศิริราช”
ซึ่งหนังสือดังกล่าวเป็นเรื่องของ ด.ญ.พิมพวดี โดยการบอกเล่าของ นพ.อาจินต์ ว่า ด.ญ.พิมพวดี โหสกุล บุตรีของนายเสียง โหสกุล เสียชีวิตตั้งแต่อายุ ๙ ขวบ ในปี- ๒๕๐๓ ด้วยโรคไข้เลือดออก ต่อมาจึงเกิดเรื่องราวปาฏิหาริย์ขึ้น นพ.อาจินต์ บุณยเกตุ ซึ่งไม่รู้จักกับ ด.ญ.พิมพวดี ตั้งแต่เกิดจนเสียชีวิต
ในหนังสือดังกล่าวระบุว่า นพ.อาจินต์ บุณยเกตุ ได้เปิดเผยเรื่องปาฏิหาริย์กับหนังสือพิมพ์ฟ้าเมืองไทย และศาสตราจารย์เอียน เฟลมมิ่ง นักวิญญาณศาสตร์ ซึ่งสัมภาษณ์ นพ.อาจินต์ และนำไปตีพิมพ์ในหนังสือที่สหรัฐอเมริกา เมื่อปี ๒๕๐๖ โดย นพ.อาจินต์ได้เปิดเผยในขณะนั้นว่า
เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นกับตัวผมเอง โดยเมื่อราวปลายปี ๒๕๒๙ คาบเกี่ยวถึง วันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๐ เมื่อครั้งที่ได้จัดคณะท่องเที่ยวผู้สูงอายุไปพักผ่อนทางเหนือ ผมก็ป่วยด้วยโรคปวดประสาทสมองเส้นที่ห้า (ประสาทสมองมี ๑๒ คู่) เริ่มเป็นมาตั้งแต่วัยรุ่น โดยมีอาการปวดประสาทด้านขวาตั้งแต่เบ้าตาขึ้นไปถึงกลางกระหม่อม ปวดอยู่ซีกเดียว
ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มแน่นอายุยังน้อย อาการก็ไม่ค่อยทรมานรุนแรงมากนัก กินยาแก้ปวดแรง ๆ ก็พอบรรเทาไปได้ แต่พอปี พ.ศ.๒๕๐๔ ผมเป็นเกิดปวดมากจนทนไม่ไหว ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช แต่ก็ไม่หาย แพทย์จึงรับตัวไว้เพื่อตรวจละเอียด และรักษาที่ตึกวิบูลลักษณ์ ชั้นล่าง (ห้องที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้เสียแล้ว) โดยได้รับการดูแลเยียวยารักษาอย่างดี แต่อาการปวดประสาทก็รุนแรงมาก แทบจะผูกคอตายไปหลายหน
คืนหนึ่งเวลาประมาณสองทุ่มเศษ ๆ โรคปวดประสาทอาการกำเริบอีก พยาบาลให้กินยาและฉีดยาตามแพทย์สั่งไว้ แต่อาการก็ไม่หายปวด ผมนอนหลับตา เอามือกุมขมับข้างที่ปวด แล้วก็ภาวนาบริกรรม พุทโธ ๆ ๆ ๆ ทำอาปานุสสติ ไปเรื่อย ๆ พอสงบ ประมาณสามทุ่มเศษ ๆ ก็หลับตาเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียง จึงลืมตาถามภรรยาและพยาบาลพิเศษที่เฝ้าอยู่สองคนนี้ว่า “ใครมา?” ได้รับคำตอบว่า “ดึกแล้ว…ไม่มีใครมาหรอก”
จากนั้นผมก็หลับตาเข้าสมาธิต่อ พอสักครู่ก็เห็นชัดว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง รูปร่างอ้วน มายืนอยู่ข้างเตียง ผมจึงเอ่ยปากออกถามว่า หนูเป็นใครมาทำไมที่นี่” (พูดออกมาดัง ๆ เพื่อให้ภรรยาและพยาบาลได้ยิน) ภรรยาก็มาเขย่าแขนแล้วพูดว่า “เธอ นี่อยู่นี่ ๆ ก็คงคิดว่าผมคงป่วยมากจนเพ้อ แต่ผมก็บอกว่า “ไม่ได้เพ้อหรือเสียสติอะไรหรอก แต่ว่า…มีใครเห็นไหม?” มีเด็กมานั่งอยู่ข้างเตียงนี่ สองคนนั้นตอบว่า “ไม่มีใคร” แต่ผมก็ยังข้องใจ เพราะหนูคนนั้นยังนั่งอยู่อย่างสงบเสงี่ยม!
ก็เลยพูดออกมาดัง ๆ ว่า “จะคุยกับหนูคนนี้นะ ช่วยจด ๆ จำ ๆ ไว้ด้วย” แล้วผมก็ถามด้วยเสียงดัง ๆ ว่า “หนูเป็นใคร….มาทำไมในห้องนี้?” หนูน้อยตอบว่า “หนูเคยป่วยในห้องนี้ และตายในห้องนี้เมื่อประมาณสองปีมาแล้ว” ผมก็ถามต่อว่า “เอ้อ! หนูเคยมาป่วยที่ห้องนี้ หนูเป็นอะไรตาย?” หนูน้อยตอบว่า ป่วยด้วยโรคอ้วนตายค่ะ” ภรรยาและพยาบาลช่วยกันจดใหญ่…
“หนูเป็นลูกหลานใครกันจ๊ะ?” “ตาหนูเป็นหลานเจ้าคุณอัชราชทรงสิริค่ะ” ผมทบทวนคำพูดดัง ๆ ทุกคำ เพื่อให้ผู้ที่กำลังฟังได้ยินด้วย แล้วถามต่อว่า”หนูมานี่มีความประสงค์อะไรจ๊ะ” ..”หนูมีเพื่อนคนหนึ่ง เขาเสียชีวิตเมื่อปีหลายที่ตึกเด็ก เขาบอกว่าเขาเป็นลูกคุณอาเมื่อชาติที่แล้ว เขาอยากจะมาหา และมาช่วยคุณอาให้หายป่วยจากโรคนี้ เขาให้หนูมาบอกคุณอาก่อนค่ะ” จากนั้นผมก็ลุกขึ้นนั่ง เล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ภรรยา กับพยาบาลฟัง…พยาบาลคนนั้น ตื่นเต้นมาก พลางบอกว่า ที่ตึกนี้และห้องนี้ เมื่อประมาณปี ๒๕๐๒ มีเด็กผู้หญิงถึงแก่กรรมที่ตึกนี้
จากนั้นผมก็เข้านอน โดยไม่ลืมภาวนาบริกรรม พุทโธ ๆ ๆ ไปด้วย ต่อมาประมาณห้าทุ่ม ผมก็ปวดประสาทอย่างรุนแรง จึงตื่นขึ้นมาและผมก็ได้ยินเสียงแว่ว ๆ ที่หูว่า “เธอ! พ่อเธอนอนอยู่นี่ยังไง….เข้ามาซิ” ผมลืมตาขึ้นมองก็ไม่เห็นมีอะไร แต่พอหลับตาก็ได้ยินเสียงขึ้นมาอีกว่า “เข้ามาซิ เข้ามาเถอะ!” ผมลืมตาขึ้นอีกที ทีนี้เห็นเด็กสองคนเข้ามายืนข้างเตียงผม คนหนึ่งคือเด็กอ้วนคนเก่า อีกคนหนึ่งอยู่ในวัย ๑๒ ขวบ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู เธอเดินมาข้างเตียงผมแล้วพูดว่า “พ่อ! หนูมาช่วยพ่อ” ผมจึงเรียกภรรยาและนางพยาบาลให้ตื่น แล้วถามว่า “เห็นเด็กผู้หญิงสองคนตรงนี้ไหม เด็ก ๆ มายืนอยู่ที่นี่แนะ!”
พยาบาลเปิดไฟในห้องสว่างพรึ่บ แล้วบอกว่า “ไม่เห็นมีใครมาซักคนนี่คะ?” ผมจึงตอบไปว่า “มีซิ มีแม่หนูสองคนมาเยี่ยม แล้วก็ยืนอยู่ตรงนี้ นี่ไงล่ะ” และผมก็ยื่นมือออกไปชี้ที่ตัวเด็ก ขณะที่ภรรยาผมกับพยาบาลตื่นขึ้นนั่ง ขยับตัวเข้ามาชิดกัน (อาจจะเพราะความกลัว) จากนั้นหนูอ้วนยืนอยู่สักครู่แล้วก็ลาไป เหลือแต่แม่หนูตัวเล็กคนเดียว ตอนนี้เธอนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงนอนผม ข้อศอกสองข้างเท้าที่นอนยันคางไว้ แล้วถามว่า…
” พ่อปวดศีรษะมากหรือค่ะ “
ผมตอบว่า ” ตอนนี้ปวดมากจ๊ะ “
เธอก็ยื่นมือข้างหนึ่งมากุมหรือกดศีรษะด้านที่ปวดของผมไว้แล้วบอกว่า” สักครู่จะทุเลา…” ต่อจากนั้นสักพักอาการปวดศีรษะก็สงบ
ผมจึงถามเธอว่า ” หนูเป็นใคร แล้วทำไมมาเรียกว่าพ่อ…” ตอนนี้สองคนนั้นเริ่มจดอีก
” ชาติที่แล้วมา หนูเป็นลูกพ่อ…” ผมก็ทวนคำพูดของแม่หนูนั้นว่า ” อ้อ ชาติที่แล้วเป็นลูกของพ่อ…”
ต่อไปนี้เป็นคำสนทนาของผมกับเด็กหญิงผู้นั้น โดยผมถามดังๆ และทวนคำตอบดังๆ เช่นเคย
” ชาติก่อนนี้หนูเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิง “
” เป็นผู้หญิงค่ะ “
” หนูเป็นอะไรถึงตาย…ในชาติก่อนนั้น “
” หนูไปเล่นน้ำแล้วไถลลื่น เลยตกแม่น้ำตาย…”
” หนูตายที่ไหน “
” ตกน้ำตายที่ท่าโรงโม่ ” ผมไม่รู้จักท่าโรงโม่ จึงถามเธอว่า
” โรงโม่อยู่ไหน “
” ก็อยู่แถวๆ ท่าเตียนนี่แหละ…ไม่ไกลเท่าไหร่ “
” ตอนที่ตกน้ำตายอายุเท่าไหร่…”
” ก็สิบกว่าขวบค่ะ…”
” ชาติก่อนนี้พ่อเป็นอะไร…”
” ชาติก่อนนี้พ่อรับราชการในรัชกาลที่ 3 เป็นผู้คุมนักโทษและราชมัล…”
” ราชมัลเป็นอย่างไร พ่อไม่รู้จัก…”
” ราชมัลเป็นผู้คุม เป็นคนลงโทษนักโทษ ทรมานนักโทษ รวมทั้งประหารชีวิตนักโทษด้วย…”
ผมได้ฟังแล้วตกใจมาก เพราะชาตินี้ผมไม่ชอบเบียดเบียนใคร ไม่ชอบการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอย่างใดทั้งสิ้น แล้วจึงถามแม่หนูนั้นว่า ” ที่พ่อป่วยนี้ ป่วยมานานเป็นเพราะอะไร แล้วเมื่อไหร่จะหาย “
เธอตอบผมว่า ” ป่วยเพราะกรรมเก่าที่ทำไว้แต่ชาติก่อน พ่อมีหน้าที่เกี่ยวกับนักโทษ ควบคุมลงโทษทรมานเขา กรรมก็ตามสนองในชาตินี้ ” ผมแย้งว่า ” ก็เราทำตามหน้าที่ ลูกบอกว่าหน้าที่คือควบคุม ลงโทษ ทรมาน ถ้าเราไม่ทำเราก็ผิด…”
แม่หนูก็ตอบว่า ” ครั้งหนึ่ง มีชายคนหนึ่งรูปร่างอ้วนใหญ่สูงดำ ถูกฎีกาว่าฆ่าชาวบ้านตาย ทำทารุณต่างๆแก่ราษฎร ความจริงเขาไม่ได้ทำ แต่ชาวบ้านรวมหัวกันไปใส่ความเขา พระอัยการก็คุมตัวมาลงโทษ สอบถาม เขาไม่ได้ทำเขาก็ไม่รับ ราชมัลก็คือ “พ่อ” ได้ลงโทษเขา จับเขาเข้าขื่อเข้าคา ตอกเล็บเขา แล้วเอาเครื่องมาบีบขมับเขา บีบขมับจนเขาสลบเพราะความเจ็บปวด เขาก็ไม่รับว่าเป็นผู้ร้าย
พ่อก็ลงโทษบีบขมับเขาอีกเพื่อให้เขารับว่าเป็นสัตย์ เขาก็ไม่รับ ในที่สุดเขาทนทรมานไม่ไหว เขาก็ขาดใจตาย ก่อนตายเขาผูกใจพยาบาทอาฆาตไว้ว่าจะจองเวรไปทุกชาติจนกว่าจะหมดเวร… ตอนนี้กรรมมาตามทันอย่างเต็มที่แล้วจึงได้ป่วยเช่นนี้…” ผมทวนคำพูดของแม่หนูน้อยทุกอย่าง ภรรยาและพยาบาลนั่งจำและจดไว้ทุกคำพูด…
ผมจึงถามต่อไปว่า ” เมื่อไหร่จะชดใช้กรรมนี้หมดเสียที…”
แม่หนูตอบว่า “พ่อทำไว้มาก ทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว กรรมก็สลับกันไป กรรมดีทำให้พ่อเกิดมาอย่างนี้ กรรมชั่วก็ตามมาสนองอย่างนี้ เวลาผมปวดประสาทมาก ๆ ให้นึกถึงหนู หนูจะมาช่วยให้บรรเทาเบาบางลง พรุ่งนี้แปดนาฬิกา หมอจะเอาพ่อไปผ่ากระโหลกศีรษะ”
ผมก็ย้ำว่า ” พรุ่งนี้เช้าหรือ จะผ่ากะโหลกพ่อหรือ…” เธอก็พยักหน้ารับคำ แล้วก็บอกว่า ” หนูจะไปก่อนละ…”
พยาบาลและภรรยาผมนั่งสงบอย่างบอกไม่ถูก และแล้วในที่สุดก็ม่อยหลับไปทั้งสามคน รุ่งขึ้นเวลา ๘ นาฬิกา อาจารย์หมออุดม มาตรวจเยี่ยม ได้รับรายงานว่า เมื่อคืนนี้ปวดประสาทมาก ปวดจนดิ้นถึงสองครั้ง ท่านยืนคิดสักครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า “แปดโมงเช้านี้ จะเอาตัวไปผ่าตัด ผ่าเอาปมประสาทที่ปวดออก” แล้วหันมาสั่งพยาบาลให้ไปบอกหัวหน้าตึกให้เตรียมนำคนไข้รายนี้ไปผ่าตัด
ภรรยาและพยาบาลมองหน้ากันด้วยความงุนงงเต็มที่ เพราะไม่มีใครเชื่อว่าจะนำผมไปผ่าตัด ที่งงเพราะเมื่อคืนนี้ได้ยินผมพูดคนเดียว คือทวนคำพูดของแม่หนูว่า พรุ่งนี้ ๘ นาฬิกา หมอจะเอาไปผ่าตัด ตอนนั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง….มาตอนนี้เชื่อแล้ว เชื่อไม่มีความสงสัย
สักครู่พยาบาลก็เข้ามาในห้องผม จัดแจงโกนคิ้วโกนผม ด้านขวาขึ้นไปถึงกลางศีรษะ แล้วทำความสะอาด ต่อจากนั้นก็ฉีดยาให้สลึมสลือ ก็ประเภทมอร์ฟีน จวนๆ ๘ น. รถเข็นคนไข้ก็มาเทียบ เอาตัวผมนอนเปลเข็นไปห้องผ่าตัด โดยมีภรรยาผมเดินตามไปด้วย ผมเองตอนนั้นก็จะหลับมิหลับแหล่อยู่แล้ว …และแล้วผมก็หมดสติไปเมื่อได้รับยาสลบที่ห้องผ่าตัด
การผ่าตัดประสาทสมองนี้กินเวลาราวๆ ๔ ชั่วโมง เพราะความยากลำบากดังกล่าว พอราวๆเที่ยง เขาก็เข็นรถกลับมาที่เดิม ในห้องมีแม่ผม ภรรยา พ่อตา แม่ยาย ซึ่งทั้งสองท่านนี้มีศักดิ์เป็นลุงเป็นป้าของผมด้วย ทุกคนก็คิดว่าผมคงตายไปแล้ว เพราะนานเหลือทนระหว่างที่คอยรับผมในห้องพยาบาล และภรรยาก็เล่าเรื่องทั้งหมดเมื่อคืนให้ทุกคนได้ฟัง ต่างก็รับฟังโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ
ค่ำนั้นก็เกิดอาการปวดขึ้นมาอีก ทีนี้ปวด ๒ อย่าง คือ ปวดเจ็บในสมองที่ผ่าตัด ปวดแผล มิหนำซ้ำ โรคปวดเดิมก็ไม่ทุเลา ทำให้เกิดทุกข์ทรมานกว่าเก่า มือทั้งสองก็กุมที่แผล กุมศีรษะร้องปวดดิ้นไป และแล้วก็นึกได้…
“ หนู..ช่วยพ่อด้วย “ ผมตะโกนออกมาดังๆ
ในห้องนั้นมีญาติพี่น้องมาเยี่ยมกันมากมาย ต่างก็ได้รับฟังเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ทุกคนสงบ มีแต่ผมผู้เดียวทุรนทุรายอยู่บนเตียง…
ชั่วอึดใจเดียว ก็ปรากฏร่างของเด็กหญิงที่บอกว่าเคยเป็นลูกผมเมื่อชาติก่อนมานั่งอยู่ข้างเตียง ผมจึงถามว่า “ มาแล้วหรือลูก… ลูกช่วยพ่อที ตอนนี้ปวดเหลือทนแล้ว…”
แม่หนูก็เอามือมาวางที่ศีรษะ แล้วพูดว่า “ เดี๋ยวจะทุเลา “
ก็เป็นจริงอย่างว่า อาการปวดก็บรรเทาลง พยาบาลซึ่งถือเข็มฉีดยามาจะฉีดให้ก็เลยไม่ต้องฉีด คุณใบก็ช่วยยกเก้าอี้ให้แขกที่แลไม่เห็นนั่งอย่างเคย…
แม่หนูก็นั่งอยู่ข้างเตียง เอาศอกยันเตียง เอามือเท้าคางตามเดิม ผมก็ถามว่า “ หนูอ้วนไปไหนล่ะ “
เธอตอบว่า “ ไม่ได้มาวันนี้… “
ทุกคนในห้องฟังผมโต้ตอบพูดคุยกับแม่หนู ผมถามต่อไปว่า “ หนูชื่ออะไรจ๊ะ “
เธอตอบว่า “ ก่อนที่จะตายนี้ หนูชื่อพิมพวดี “
“ หนูเป็นอะไรตาย… “
“ เป็นไข้เลือดออกตายค่ะ… “
“ ตายที่นี่หรือ…”
“ ตายที่ตึกเด็กค่ะ “
“ ตายเมื่อไหร่จ๊ะ… “
“ เมื่อปี 2503 ค่ะ “
“ หนูมีพี่น้องกี่คน “
“ มี 5 คนค่ะ “
“ ผู้หญิง ผู้ชายกี่คน “
“ หนูเป็นผู้หญิงคนเดียวค่ะ “
“ พ่อแม่เสียใจมากไหมที่หนูตายจากไป “
“ พ่อแม่เสียใจมาก เพราะหนูเป็นลูกผู้หญิงคนเดียว พ่อสร้างพลับพลาอุทิศส่วนกุศลให้หนูที่วัดมกุฎฯ เอาชื่อหนูไปตั้งชื่อพลับพลานี้ มีรูปหนูแล้วมีคำจารึก มีศพของหนูฝังอยู่ในนี้ด้วยค่ะ… พ่อดีขึ้นแล้ว หนูขอลาไปก่อน แล้วจะมาหาพ่ออีกนะคะ…”
คำพูดทุกคำระหว่างแม่หนูพิมพวดีกับผม ทุกคนได้ยินได้ฟังและฟังอย่างตั้งอกตั้งใจจริงๆ พยาบาลมาฉีดยาให้ผมอีก แล้วผมก็หลับไปจนเช้าโดยไม่มีอาการปวดรุนแรงมารบกวนอีกเลยในคืนนั้น
เหมือนกับยังไม่สิ้นกรรมสิ้นเวร อาการของโรคที่สงบไปคืนหนึ่งนั้น พอรุ่งเช้าก็เอาอีก ปวดอีก ทุรนทุราย ร้องครวญครางอีก อาจารย์ท่านก็มาดูอาการทุกเช้าทุกวัน สั่งการรักษาทุกวัน เช้าสบาย สายปวด กลางวันสบาย บ่ายปวดดิ้น หรือพอตอนเย็นสบายชื่นฉ่ำ พอค่ำก็ร้องคราง เป็นอย่างนี้อีก ๓ หรือ ๔ วัน
ทุกครั้งที่ปวด ผมจะนึกถึงหนูพิมพวดีทันที ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ถ้าเป็นกลางวันก็จะได้ยินเสียงพูดว่า “ พ่อ..หนูมาแล้ว ” แล้วเธอก็จะเอามือมาช่วยกุมที่ปวดจนผมทุเลา คำพูดที่ผมพูดคือ “ มาแล้วหรือลูก…” ทุกคนที่มาเยี่ยมผม หรือมาอยู่ในห้อง จะเงียบสงบ คอยฟังคำพูดของผมที่พูดกับวิญญาณในเรือนร่างของหนูพิมพ์อย่างใจจดใจจ่อเหมือนนัดกัน
ในเย็นวันหนึ่ง เย็นมากแล้ว ฯพณฯ ทวี บุณยเกตุ ซึ่งเป็นพี่ชายของผม ท่านไปเยี่ยมพร้อมด้วยบุตรชายของท่าน “คุณวีระวัฒน์ บุณยเกตุ” หรือที่ญาติๆเรียกชื่อเล่นว่า “บู๊” เป็นคนขับรถพาพี่ชายไปที่ศิริราช ตอนนี้ท่านถึงอนิจกรรมไปแล้ว เหลือคุณวีระวัฒน์ ซึ่งเดี๋ยวนี้ดำรงตำแหน่งเป็นรองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม คุณทวีเป็นประจักษ์พยานท่านหนึ่ง
ในขณะนั้นอาการปวดของผมกำเริบอีก ปวดมากขึ้นๆ ผมก็นอนร้องเรียกหนูพิมพ์ให้มาช่วย คุณทวีท่านทราบเรื่องอยู่บ้างแล้วจากปากคำของญาติๆ ท่านก็เลยนั่งอยู่ ปกติท่านไปเยี่ยมผมบ่อยมาก แต่ไปนั่งไม่นาน เพราะท่านทนความสงสารในความทุกข์ทรมานของผมไม่ไหว เย็นนั้นท่านนั่งอยู่นานหน่อย พอดีผมปวดมาก แล้วร้องเรียกหนูพิมพ์ว่า “ ลูก มาช่วยพ่อที “
คุณทวีทราบเรื่องนี้จากญาติพี่น้องมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ท่านมาเห็นพอดี คือผมเรียกหนูพิมพ์ หนูพิมพ์ก็มา ผมก็ถามเธอว่า “ ผ่าแล้วทำไมยังไม่หายอีก ”
หนูพิมพ์ตอบว่า “ ยังไม่หาย ยังไม่หมดเวรกรรมที่ทำไว้…”
“ แล้วเมื่อไหร่จะหาย ” เธอตอบว่า “ ราวๆอีก ๔ ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ นั่นแหละ ”
ผมถามดังๆ ต่อไปว่า “ แล้วทำอย่างไรต่อไป ”
เธอตอบว่า “ พรุ่งนี้ ๘ โมงเช้า หมอจะเอาตัวไปผ่าอีก จะต้องผ่าอีก ๒ ครั้ง รวม ๔ ครั้งในคราวนี้…”
ผมก็ทวนคำพูดของเธอแล้วร้องว่า “ ต้องผ่าอีก ๔ ครั้งเชียวรึ…”
คุณทวีนั่งฟังอย่างสงบ ทุกคนเงียบและคอยฟัง ครู่ใหญ่ๆ อาการปวดก็บรรเทา หนูพิมพ์จึงบอกกับผมว่า “ หนูจะลาไปก่อน วันนี้รีบหน่อย เพราะจะไปรับกุศลที่เขาอุทิศให้ที่พลับพลาพิมพวดี…” ทุกคนได้ยินคำพูดที่ผมทวนคำพูดของหนูพิมพ์ ผมจึงถามเธอว่า “ เขาอุทิศส่วนกุศลให้เรื่องอะไร”
เธอตอบว่า “ เขาบำเพ็ญกุศลศพใครไม่รู้คืนนี้ที่พลับพลา คนตายมีเหรียญมีตรา มีสายสะพาย” ผมก็ทวนคำพูดออกมาดังๆ
คุณทวี นั่งฟังอย่างสงบ ก็อยากจะพิสูจน์ จึงให้ คุณวีระวัฒน์ ขับรถออกไปดูว่าที่ ศาลาพิมพวดี วัดมกุฎฯ มีการบำเพ็ญกุศลศพใคร คุณวีระวัฒน์ จึงรีบขับรถไปที่วัดมกุฎฯ ทันที พอถึง “พลับพลาพิมพวดี” ก็เดินเข้าไปดูหน้าพลับพลา ปรากฏว่าคืนนั้นมีการนำศพออกมาจากสุสาน นำมาบำเพ็ญกุศล เป็นศพของรองอธิบดีกรมเจ้าท่า รูปถ่ายหน้าโกศเป็นรูปเต็มยศ มีเหรียญตรา มีสายสะพายจริง ๆ คุณวีระวัฒน์ จึงรีบขับรถมาเรียนคุณทวีว่าเป็นจริงอย่างที่ผมทวนคำพูดทุกประการ
คุณทวีนั่งสงบ กล่าวออกมาคำเดียวว่า “ แปลกแต่จริง…”
คืนนั้น ผมปวดอีกครั้งหนึ่ง พอเช้า อาจารย์หมออุดม ก็มาเยี่ยมอย่างเช่นเคย พอทราบว่ายังปวดอีก ท่านก็ยืนครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ แล้วหันมาสั่งพยาบาลว่าไปบอกหัวหน้าตึกให้เตรียมคนไข้นี้ไปห้องผ่าตัดอีกที เช้าวันนี้ก่อนแปดนาฬิกา
ผมตะลึง ภรรยา และพยาบาล งง ทุกคนในตึกนั้น เมื่อได้ทราบคำสั่งก็ประหลาดใจ เพราะพยาบาลที่เฝ้าเธอเล่าให้เพื่อน ๆ เธอฟังตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่า เช้านี้ผมจะต้องถูกผ่าตัดอีก เพราะหนูพิมพ์บอกล่วงหน้าไว้
แล้วผมก็ถูกนำไปห้องผ่าตัด ดมยาสลบ ผ่าตัดดึงเอารากประสาทเส้นนี้ออก โดยพยายามดึงเอาออกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ราวๆเกือบเที่ยงก็กลับมาห้องนอนที่ตึกพัก โดยสลบมาบนรถเปลตามเคย
พอฟื้นมา อาการปวดเจ็บแผลก็มาแทน แต่อันนี้ระงับได้ด้วยการฉีดยา พยาบาลมาฉีดยาระงับปวดให้เป็นระยะๆ พอค่ำลงก็สงบ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง เข้ามาเยี่ยมกันมากมายตามเคย ที่มาเยี่ยมจริงๆก็มี ที่อยากรู้เรื่องวิญญาณของเด็กที่มาช่วยผมก็มี
พอสักสามทุ่มคืนนั้น หนูพิมพ์ก็มาอีกตามเคย เธอเอามือมาวางที่ขมับผม ปวดทั้งแผลผ่าตัดและที่ปวดอยู่เดิม ทำอย่างไรมันก็ไม่หาย ผมนอนทนเอา ภาวนาบริกรรมไปจนหลับไปในที่สุด แล้วเธอก็กลับไปเมื่อผมสงบ
ข่าวลือจากปากต่อปากไปไกลยิ่งกว่าประชาสัมพันธ์ทางสื่อมวลชน และก็แน่นอน ข่าวนั้นก็ย่อมต้องมากกว่าความเป็นจริง จนวันหนึ่ง “คุณชิต สุวรรณปัทม์” เคยเป็นพยาบาลอาวุโสที่ “สายนัดดา” คลีนิคของท่าน “น.พ.ม.ล.เต่อ สนิทวงศ์” ซึ่งผมเคยทำงานอยู่กับท่านเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๓ เป็นคนชอบพอกันในสมัยที่ทำงานอยู่ด้วยกัน
เธอมาเยี่ยมแล้วบอกกับผมว่า จะมีคนมาพบและมาคุยเรื่อง “หนูพิมพ์” ผมก็บอกเธอว่า ก็มีอย่างที่พยาบาลและภรรยาผมได้ยินได้ฟังก็เท่านั้น ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
ถัดมาอีกวันหรือสองวัน ช่วงเวลาประมาณ ๑๘-๑๙ น. มีชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งผมไม่รู้จักกันมาก่อน มาขอเยี่ยม สองท่านก็มานั่งสนทนาด้วย แล้วก็เลียบเคียงเข้ามาถามเรื่องหนูพิมพ์ ผมก็สรุปให้ท่านฟังนิดๆ หน่อยๆ มีภรรยาและพยาบาลที่เฝ้าคอยเสริมให้แจ่มชัดขึ้น สองท่านนี้เอาพวงมาลัยดอกมะลิพวงใหญ่มาแขวนให้ผมที่หัวนอนเตียง
สักครู่ใหญ่ คุณผู้ชายที่มาด้วยก็ขออนุญาตเอารูปถ่ายเด็กๆ ผู้หญิง ราวๆสักสามสิบใบเห็นจะได้ มาวางเรียงๆกันบนที่นอน แล้วท่านก็ถามว่า “ คุณหมอช่วยชี้ซิครับ ว่าคนที่มาหาคุยกับหมอแล้วบอกว่าชาติก่อนเป็นลูกสาวคุณหมอและชาตินี้เกิดมาเป็นลูกสาวผมน่ะ คนไหนในรูปถ่ายที่นำมาเรียงอยู่นี่”
ผมลุกขึ้นนั่งแล้วหยิบแว่นตามาสวมดูไปทีละรูป ๆ ดูไม่นานนักโดยวิธีหยิบรูปที่ไม่ใช่หนูพิมพ์ออกมากองไว้พวกหนึ่ง หยิบออกมากองทีละใบ ๆ เหลือใบสุดท้ายทิ้งไว้บนเตียง ๑ ใบ แล้วก็หยิบรูปนี้ขึ้นชูพลางบอกว่า “หนูคนนี้แหละครับที่มาหาผมทุกวัน…”
ทั้งสองท่านที่มาเยี่ยม หุบรอยยิ้มที่มุมปาก คุณผู้หญิงร้องไห้โฮใหญ่ คุณผู้ชายเช็ดน้ำตา แล้วบอกว่า “ใช่แล้วครับ รูปนี้คือรูปถ่าย “หนูพิมพวดี” ลูกสาวผม ถ่ายในเครื่องแบบนักเรียน ส่วนรูปอื่น ๆ นั้นเป็นรูปเพื่อน ๆ ของหนูพิมพ์”
๕-๖ ชีวิตในห้องพักคนไข้ที่ผมนอนป่วยอยู่เงียบหมด แทบไม่ได้มีแม้แต่เสียงลมหายใจ ต่างคนต่างก็เขยิบเข้ามาดูรูปหนูพิมพ์ที่วางอยู่บนเตียง ซึ่งตอนนี้อยู่ในมือผม
พอบรรยากาศเริ่มคลี่คลายในทางปกติขึ้นแล้ว ท่านที่มาเยี่ยมก็บอกว่า “ผมทราบจากคุณชิต ก็เลยมาถือโอกาสเยี่ยมและสอบถามถึงลูกสาวผม… ทุกวันนี้ผมก็ยังระลึกถึงหนูพิมพ์อยู่เสมอ แกเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูมาก ท่านั่งประจำของแกก็คือท่านั่งเท้าคาง เอาข้อศอกยันพื้นไว้อย่างที่คุณหมอพูดจริง ๆ ผมชื่อ เสียง โหสกุล ครับ ผมมีกิจการส่วนตัวค้าขายเครื่องอะไหล่รถยนต์ทุกชนิด ที่เป็นตึก ๓ ชั้นอยู่ตรงสามแยกสะพานนพวงศ์ทิศใต้ของ “โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์” นี่เองครับ…”
ผมก็ถามคุณเสียงว่า “คุณเสียงมีบุตรธิดากี่คน” คุณเสียงก็บอก ซึ่งผมจำไม่ได้ว่า ๓ หรือ ๔ คน แต่ที่แน่ๆ มีธิดาคนเดียวคือหนูพิมพ์นี่ เธอป่วยด้วยไข้เลือดออก เสียชีวิตที่ตึกเด็ก โรงพยาบาลศิริราช ประมาณปี พ.ศ.๒๕๐๓ จริง ส่วนเรื่องเด็กหญิงคนอ้วนๆ ที่ตายด้วยโรคอ้วนนั้นไม่ทราบเรื่อง…
คุณเสียงถามต่อไปว่า “ตอนนี้หนูพิมพ์อยู่ที่ไหน”
ผมก็บอกท่านว่า “หนูพิมพ์ยังอยู่แถวๆนี้ และมาเยี่ยมผมเกือบทุกคืน โดยมากก็ไม่เว้น แต่บางทีก็มากลางวัน…” ผมก็เลยบอกคุณเสียงว่า “หนูพิมพ์บ่นว่า คนถือขาหยั่งที่วางพวงหรีดเอาขาหยั่งไปเกี่ยวกับระย้าที่โคมไฟกลาง “พลับพลาพิมพวดี” ตกลงมาแตกหลายอัน พ่อเธอไม่รู้เลยไม่มีใครไปทำให้ดีเหมือนเก่า เธอเสียดายมาก” ผมก็นอนอยู่บนเตียงนี้มากว่า ๑๐ วันแล้ว แล้วก็ไม่เคยไปนั่งในพลับพลาที่ว่านี้
คุณเสียงจึงให้คนขับรถขับบึ่งไปดูโคมไฟว่าเป็นจริงอย่างที่ผมพูดหรือไม่ คนรถกลับมาในตอนหลังก็มาเรียนคุณเสียงว่า “ระย้าที่ห้อยโคมไฟขาดไปหลายอัน สงสัยจะตกลงมาแตก” ท่านจึงสั่งว่า “พรุ่งนี้ให้รับช่างไฟไปดู แล้วจัดการเปลี่ยนใหม่ให้เรียบร้อย…”
คุณเสียงและภรรยานั่งอยู่อีกสักพักก็ลากลับ ก่อนจะกลับ ได้ถามผมว่าหนูพิมพ์พูดหรือเปล่าว่าวิญญาณของเธอจะไปไหนต่อ
ผมก็บอกว่า “อีกไม่ช้าหนูพิมพ์จะไปเกิด และทีนี้จะเกิดเป็นผู้ชาย เธอเคยคุยกับผมว่าอย่างนั้น” พอได้ยินคำนี้ ภรรยาคุณเสียงยกมือไหว้พึมพำๆว่าเกิดชาติใดฉันใด ขอให้เกิดเป็นลูกแม่อีกนะลูก
ก่อนจากกัน ทั้งสองท่านได้ออกปากเชิญผมว่า ถ้าผมหายเมื่อไหร่จะเชิญผมและภรรยาไปบ้าน ไปรับประทานอาหารที่บ้านสักครั้ง ผมได้ออกปากขอรูปถ่ายของหนูพิมพ์ไว้เพื่อจะได้ดูและอุทิศส่วนกุศลให้เธอเวลาผมสวดมนต์และทำบุญทำกุศล ซึ่งท่านก็ได้กรุณามอบใบใหญ่ขนาดโปสการ์ดให้ผมไว้ ๑ ใบ
เห็นจะเป็นเพราะวันนั้นไม่ได้พักผ่อนและสนทนาพาทีกันมาก พอค่ำลงอาการปวดก็มาเยือนอีก คราวนี้ปวดบริเวณเหนือคิ้วทางขวามากที่สุด แล้วก็เลยลามไปปวดตั้งแต่ขมับขึ้นไปถึงกลางกระหม่อม มันทั้งแสบทั้งปวดเหมือนเอาไฟมาอัง
ปวดอยู่นาน ผมนึกถึงหนูพิมพ์ไป พยายามเข้าสมาธิไป มันก็ไม่ทุเลา หนูพิมพ์มาเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ พอรู้ว่าเธอมาผมก็พูดว่า “มาแล้วหรือลูก…” สองคนที่เฝ้าอยู่ก็นั่งฟังอย่างเคย คราวนี้มีพยาบาลเวรที่ตึกมาฟังด้วย ผมถามว่า “เมื่อไหร่จะหายหรือหมดเวรหมดกรรมเสียที มันทรมานจริงๆ”
หนูพิมพ์บอกว่า “อีก ๔ ปี ถึงพบหมอที่รักษาให้หายขาดได้ เมื่อนั้นก็หมดเวร แล้วก็จะมีความสุขตลอดไป เพราะกุศลกรรมตามมาสนองแล้ว…”
ผมถามต่อไปว่า “แล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ในตอนนี้ เพราะตอนนี้ก็ปวดมากอีก” เธอก็ตอบว่า “พรุ่งนี้พ่อต้องถูกผ่าตัดอีก คราวนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับงวดนี้และจะเป็นการผ่าตัดที่ทารุณที่สุดในชีวิตของพ่อ…”
ผมทวนคำพูดของเขาอีกว่า “พรุ่งนี้พ่อต้องถูกผ่าอีกหรือ แล้วจะทารุณที่สุดด้วยหรือ…” ทุกคนในห้องเงียบ ทุกคนมีแต่ความเวทนาสงสาร ภรรยาผมนั้นเชื่อสนิท ถึงกับน้ำตาไหลด้วยความรันทดใจ ผมนั่งเอาศีรษะกดไว้ที่ขอบเตียง บางทีก็อยากจะเอากระแทกลงไปที่เหล็กหัวเตียงเพราะความปวด
จิตใจตอนนี้แหละจะอดทนไม่ได้ พยาบาลฉีดยาให้หลับตามที่หมอเวรสั่ง ก็หลับไป พอตื่นก็ปวดอีก แทบตลอดคืน ผมนึกเบื่อตัวเองแทนอาจารย์ที่ท่านตั้งใจรักษา อยากจะให้ตายๆเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปจะได้ไม่ทรมาน แต่มันยังไม่หมดวิบากกรรมก็ต้องทนอยู่ต่อไป
รุ่งเช้า ๗ น. อาจารย์ท่านก็มาเยี่ยมอีกตามเคย พอได้รับรายงานจากพยาบาล ท่านก็ยืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่แล้วหันมาพูดกับผมว่า “เดี๋ยว ๘ โมงเช้าเอาไปผ่าอีกครั้ง ทีนี้เลาะประสาทฝอยให้หมดทั้งแถบ มันคงจะไม่มีอะไรมาปวดอีกแล้ว…” แล้วท่านก็หันไปสั่งพยาบาลอย่างเคย
พอราวๆแปดนาฬิกา รถเข็นก็มาอีก คราวนี้พยาบาลไม่ฉีดยาให้ก่อนผ่าตัด ผมถามพยาบาล ก็ได้รับคำตอบว่า คราวนี้อาจารย์จะผ่าสดๆดิบๆ ไม่ใช้ยาฉีด ไม่ใช้ยาชาใดๆทั้งสิ้น ผมก็ขึ้นรถนอนเปลไปกับเขา พอถึงห้องผ่าตัด อาจารย์ท่านก็บอกว่า “ไม่รู้ประสาทฝอยเส้นไหนเสีย มันถึงปวด ถ้าให้ยาสลบยาชาแล้ว มันก็เหมือนถอนฟัน เลยไม่รู้ซี่ไหนปวด เพราะฉะนั้น คราวนี้ผ่าโดยไม่ใช้ยาสลบเลย ขอให้ทนเอา…” ว่าแล้วท่านก็เอามีดกรีดลงไปบนคิ้วขวาของผม กรีดตลอดแนวยาวตั้งแต่หัวคิ้วขวาเรื่อยไป ผมสะดุ้งสุดตัวด้วยความเจ็บปวด ร้องครวญคราง
อาจารย์ท่านก็บอกว่า เจ็บก็ร้องไป ตำรวจไม่จับหรอก แล้วท่านก็ผ่าไป เอาคีมจับเส้นประสาททีละเส้น พอเส้นประสาทถูกคีมคีบมันก็ปวดถึงหัวใจ ผมร้องออกมาดังกว่าวัวกว่าควายที่กำลังถูกเชือด เพราะการผ่าแบบนี้เวลาดึงประสาททีไรก็สะดุ้งจนตัวลอย พยาบาลห้องผ่าตัดก็กดตัวไว้ทั้งๆที่พันธนาการไว้อย่างอย่างเหนียวแน่น
ผมถูกผ่าไปดึงประสาทไป ร้องจนสุดเสียงไปเพราะความเจ็บและความปวด ทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้นกว่าชั่วโมง อาจารย์ท่านพยายามดึงประสาทฝอยออกมาให้มากที่สุด แต่ก็ยาก เพราะมันติดกันนุงนังเหมือนวุ้นเส้นที่เราเอามายำกิน ผมร้องโอดครวญดังที่สุดในชีวิต ทารุณที่สุดในชีวิต เหมือนกับหนูพิมพ์บอกไว้ไม่มีผิด
และสุดท้ายผมก็สลบไปเองเพราะความเจ็บปวด มารู้สึกตัวเมื่อพบว่าตัวมาอยู่ในห้องนอน มีสายน้ำเกลือรุงรัง มีสายยางที่จมูกที่ปากพร้อมมูล ความปวดน่ะยังไม่หายแม้จะหยุดผ่าตัดแล้ว แต่ความปวดระบมมันสุดแสนจะทนทาน จนต้องร้องและครางออกมาดังๆ ไม่รู้ว่ากี่ชั่วโมงต่อกี่ชั่วโมง…
ค่ำนั้นก็ยิ่งปวดแผล ปวดระบมประสาท ปวดระบมสมอง เมื่อยไปทั้งตัว อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมถูกฉีดยาระงับปวด ยานอนหลับ ก็หลับไปทั้งสายยางต่างๆ
พอตื่นขึ้นมาก็พบภรรยา พยาบาลพิเศษที่นั่งเฝ้าอยู่ ผมถามทั้งสองคนนั้นว่า นี่ยังไม่ตายอีกหรือ มันทารุณที่สุดแล้ว…สองคนนั้นน้ำตาไหลเพราะความสงสาร แล้วผมก็หลับตาลง ภาวนา “พุทโธๆ” ระงับเวทนา พอหลับตาสักครู่ หนูพิมพ์ก็มาหา เอามือกุมตรงที่ผ่าตัดและตรงที่ปวด
ผมถามต่ออีกว่า “พ่อจะถูกผ่าตัดอีกไหม”
เธอตอบว่า “ไม่มีแล้ว”
“แล้วจะปวดอีกไหม โรคปวดประสาทนี้น่ะ”
เธอตอบว่า “ยังมี แต่ไม่ทารุณมากนัก มีอีก ๔ ปี”
“แล้วจะให้พ่อทำอย่างไรต่อไป…”
“ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปเรื่อยๆ ขออโหสิเขาเสีย ภาวนาแล้วส่งใจไปแผ่กุศลให้เขาเสมอๆนะพ่อนะ” หนูพิมพ์ตอบ
“พ่อจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่”
“วันอาทิตย์นี้แหละจ๊ะ…พ่อ…”
ผมถามต่อไปว่า “ถ้ามันยังไม่หาย จะกลับยังไง”
เธอก็ตอบว่า “ก็ยังมีกรรมเบาๆหลงเหลืออยู่ ถึงจะเป็นก็ยังไม่รุนแรงเท่าคราวนี้จ๊ะ”
“เวลาพ่อกลับบ้านแล้วพ่อจะนั่งเรียกให้ลูกไปหา จะไปได้ไหม”
“หนูจำต้องลาไปก่อนแล้ว คราวนี้หนูจะเกิดเป็นผู้ชายจ๊ะ แล้วตอนนี้ลูกก็เข้าบ้านพ่อไม่ได้ เจ้าที่เจ้าทางห้ามจ๊ะ” เธอตอบ ภรรยาผมและพยาบาลเฝ้าฟังอย่างเคย “หนูลาพ่อเลยนะ และทีนี้ไม่มีอีกแล้วจ๊ะพ่อ พ่ออย่าลืมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขา เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายนะพ่อนะ…”
และก็เป็นจริงอย่างว่า หนูพิมพ์ไม่ปรากฏกายให้เห็นอีกเลย อาการปวดผมก็บรรเทาลง แต่แม้จะไม่หายขาดก็ยังดีกว่าเดิม ผมนอนอยู่อีก ๓ วัน ถึงวันเสาร์ตอนเช้า “อาจารย์อุดม” ก็มาเยี่ยมอีก ท่านไม่เคยหยุดงานเลยแม้แต่วันหยุดราชการ ผมรายงานว่าอาการปวดเบาไปเยอะ แต่ก็ยังมีอยู่ ไม่หายขาด อาจารย์ก็บอกว่า “เรายังเข้าไปทำลายศูนย์ประสาทของมันไม่ได้ เมื่อไหร่ทำลายได้หมด เมื่อนั้นจะหายขาด”
“พรุ่งนี้วันอาทิตย์จะกลับบ้านก่อนก็ได้ พักฟื้นต่อไป เผื่อมีอะไรต่อไปค่อยว่ากันใหม่…” ผมลุกขึ้นนั่งกราบท่านในความกรุณา แล้วท่านก็จากไป
ผมดีใจที่จะได้กลับบ้านในเช้าวันพรุ่งนี้ ทั้งๆที่แผลผ่าตัดต่างๆยังไม่หาย ท่านบอกว่า “ทำแผลเอง เอาไหมออกเองก็แล้วกัน เป็นหมออยู่กับตัวนี่…”
คืนนั้น ผมนอนหลับได้ดีมาก อาการปวดประสาทมีรบกวนนิดหน่อย ตอนที่หลับก็หลับสนิท ไม่มีอะไรมาพ้องพานในใจ ผมก็เข้าสมาธิต่อไปเรื่อยๆ เมื่อรู้สึกตัว
เช้าวันอาทิตย์ ผมถวายบังคมลา “สมเด็จพระราชบิดา” ลาพยาบาล แพทย์ที่ช่วยเหลือ ก่อนกลับ ผมถือรูปหนูพิมพ์ไว้ในมือ แล้วสั่งให้รถแวะไปที่ “วัดมกุฎกษัตริยาราม” ก่อนเพื่อไปดูพลับพลาพิมพวดี ไปดูรูปหนูพิมพ์ผู้มีพระคุณ
ผมลงจากรถเดินไปที่ “พลับพลาพิมพวดี” แต่ขณะนั้นมีประตูเหล็กปิดอยู่ ผมได้แต่ยืนข้างนอก ตาก็จ้องดูรูปหนูพิมพ์ที่ผนังพลับพลา โดยมีภรรยาผมคอยดูอยู่ด้วย
ผมยกมือขึ้นอุทิศส่วนกุศลให้เธอ และบอกเธอว่าจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ และเมื่อสวดมนต์แล้วจะอุทิศส่วนกุศลให้เธอทุกวัน จนกว่าผมจะตายไป และขอให้ได้พบกันเป็นพ่อลูกกันทุกชาติๆ… ผมขอจบเรื่องนี้ด้วยความเชื่อที่ว่า “จิตและวิญญาณนั้นมีจริง” เพราะผมได้ประสบกับตัวเองมาแล้ว ดังที่เล่าให้ท่านได้ฟังนี้
ในรถทัวร์คันนั้น ต่างเงียบกริบเมื่อผมเล่าเรื่องจบลง “คุณเสนาะ นิลกำแหง” สมาชิกผู้หนึ่งในคณะที่เราไปเที่ยวเล่นกอล์ฟกัน ได้ลุกขึ้นยืนพูดว่า “ ผม..เสนาะ นิลกำแหง คุณหมออาจินต์อาจจะยังไม่รู้จักผมละเอียดนัก เพราะเดินทางมาเที่ยวกันครั้งแรก
ท่าน เสนาะ บอกว่า ผมขอเรียนว่า เด็กหญิงที่เป็นโรคอ้วนแล้วเสียชีวิตที่ “ตึกวิบุลลักสม์” นั้นเป็นเรื่องจริง เพราะเด็กหญิงผู้นั้นเป็นลูกสาวผมเองครับ ไม่มีทางรักษา เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๒ และจำนวนพี่น้องของเธอที่เธอบอกกับคุณหมอนั้น เป็นความจริงทุกประการครับ… ผมขอยืนยันและไม่ต้องไปสอบถามที่ไหนแล้ว”
ผมก็ยกมือไหว้ท่าน เพราะท่านแก่กว่าผมแล้วเรียนท่านว่า “ผมพึ่งรู้ว่า คุณเสนาะเป็นบิดาของหนูโรคอ้วนตายวันนี้แหละเดี๋ยวนี้เอง”
พอผมเล่าเรื่องจบลง ทุกคนในรถทั่วคันนั้นเงียบสนิทกันทุกคน หันหน้ามามองหน้าผมและคุณเสนาะ นิลกำแหง ซึ่งท่านเดินมาที่ผม ตรงที่ผมยืนพูด แล้วพูดว่า “แม้ผมจะเชื่ออะไรอยาก แต่เรื่องนี้ทำให้ได้คิดและได้อะไรอีกแยะ”
“คุณหมอน่าจะพิมพ์เรื่องนี้ไว้ให้ได้อ่านกันหลายๆ คน เพราะประจักษ์พยานหลายๆ คน ยังมีชีวิตอยู่รวมทั้งคุณหมอด้วย ที่จากไปก็มีเพียงสองท่าน คือคุณทวี บุณยเกตุ และคุณชิด สุวรรณปัทม์ แต่ผู้อื่นยังมีชีวิตอยู่ แม้แต่คุณเสรี โหสกุล กับภรรยา ท่านศาสตราจารย์หมออุดม และตัวผมเอง (คุณเสนาะ นิลกำแหง)
ถ้าทิ้งไว้ไม่เผยแพร่ให้ทราบทั่วๆ กันไว้ อีกหน่อยเรื่องก็จะเงียบหายไป แล้วจะเกิดเรื่องใหม่ที่คลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริงมาแทน แบบเรื่องนางนาคพระโขนง ก็เป็นไปได้”
ต่อคำถามที่เกิดขึ้นในใจตอนนี้ ผมขอตอบว่าผมน่ะเชื่อเรื่องวิญญาณมีจริง จิตมีจริง และกรรมดี กรรมชั่วมีจริง และผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วก็ตอบสนองกับเราจริงด้วยครับ
“ชั่วแต่ว่าจะช้า…หรือจะเร็วเท่านั้นครับ..!”
ก็จบไปแล้วสำหรับเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือที่ระลึก ๔๐ ปี นายแพทย์อาจินต์ บุณยเกตุ พบวิญญาณหนูพิมพวดี ณ ร.พ.ศิริราช”
วันเดียวกัน นักข่าวไปที่วัดมกุฏฯ พบกับพระครูปลัดสุวัฒนปัญญาคุณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส ซึ่งพระครูปลัดฯเปิดเผยว่า ศพของคุณพิมพวดีอยู่ที่นี่มานานแล้ว คนที่นี่จะเรียกคุณพิมทุกคน ซึ่งเจ้าหน้าที่สำนักงานที่นี่จะถูกหวยกันบ่อย แต่จะมีคนมากราบไหว้รูปคุณพิมเป็นประจำ บางคนมาขอให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แล้วก็ได้สมใจ ก็เอาของเล่นมาให้
ใครมาขออะไรได้ ก็จะเอาของเล่น ตุ๊กตา หรือขนม มาวางที่หน้ารูปเป็นประจำ ซึ่งก่อนที่จะนำศพออกมาฌาปนกิจ มีทั้งของเล่นและขนมเต็มไปหมด ส่วนเรื่องราวปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นนั้น เชื่อว่าเป็นเรื่องของกระแสจิตระหว่างคุณพิมและคุณหมออาจินต์ ที่มีความผูกพันกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน…!
และนี่คือเรื่องราวเหนือธรรมชาติ เกี่ยวกับ “พิมพวดี โหสกุล” หนูน้อยระลึกชาติ ซึ่งขึ้นอยู่ที่วิจารณญาณส่วนบุคคล ในการตัดสินใจที่เชื่อว่าวิญญาณมีจริงหรือไม่?
ของคุณแหล่งข้อมูล : เว็บไซต์ ตามน่อบพระพุทธบาท | น.พ.อาจินต์ บุณยเกตุ พบวิญญาณ ด.ญ.พิมพวดี