ครูบาอินปราบทายาทอสูร

ครูบาอิน

เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับ คุณเนาว์ นรญาณ ซึ่งเขาได้เล่าว่า เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าเอง เรื่องของเรื่องที่มีชื่อเหมือนกับ “นิยายหนังผี” สยองขวัญ “ทายาทอสูร” ที่ชาวบ้านชาวเมืองต่างติดกันงอมแงมเมื่อหลายปีก่อน ด้วยวลียอดฮิตว่า “เจ้าคือทายาทคนต่อไป…” นั้น ได้เกิดขึ้นเมื่อมีผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่ง ขอสมมุติชื่อว่า “น.ส.ชนีกร” 

เรื่องก็มาจากการที่ น.ส.ชนีกร เธอถูก “แม่ผัว” ใจร้ายตั้งข้อรังเกียจเดียดฉันท์ ด้วยข้อหาว่า “ยากจน” กว่า และกลัวว่าเธอจะไปแย่งความรักของลูกชายเธอมากกกอดเสียหมดคนเดียว อันจะเป็นเหตุให้ลูกชายสุดสวาทลืมรักแม่ไป…

คิดไปคิดมา แม่ผัวใจร้ายปานประหนึ่งคุณหญิงแม่ของคุณชายกลางแห่งบ้านทรายทอง เลยริอ่านเล่น “ไสยศาสตร์” ให้ “หมอผี” ทางอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ทำ “คุณไสย” ใส่ทั้ง “ผัว” ทั้ง “ลูกชาย” และทั้ง น.ส.ชนีกร “ลูกสะใภ้” แบบครบวงจรเลยทีเดียว…!!!!!! 

ทำของใส่ “ผัว” เพื่อให้หลงอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทำของใส่ “ลูกชาย” ก็เพื่อให้ สติเลอะเลือน จนรู้สึกเกลียดชังเมียตัวเองอย่างไม่ทราบสาเหตุ…” และทำของใส่ “ลูกสะใภ้” หมายจะให้ ชนีกร เสียผู้เสียคนจนเป็นบ้า หรือถึงแก่ชีวิตไปเลยทีเดียว…“โหด เลว ชั่ว” ครบสูตรแม่ผัวตัวอย่างจริงๆ

และเรื่องของเรื่องที่ผู้เขียนจะต้องมาข้องแวะในวังวนแห่งโลกีย์และไสยเวทย์สายดำสนิทโดยที่มิรู้อิโหน่อิเหน่มาก่อนนั้น ก็เกิดจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่รู้จักกับ ชนีกรดี ได้ไหว้วานให้ผู้เขียน พา ชนีกร ไปหาพระช่วยรักษาคุณไสยนี้ที…

ด้วยความเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา และเพื่ออนุเคราะห์เพื่อนร่วมโลกด้วยกัน ข้าพเจ้าก็เลยมีอันได้พา ชนีกร นี้ไปกราบหาหลวงปู่หลวงพ่อเพื่อปัดรังควานรักษาเป็นหลายท่านหลายองค์ จน ชนีกร เริ่มมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

แต่ในขณะเดียวกัน ตัวของ “เนาว์ นรญาณ” คนนี้ กลับมี “เรื่องร้ายๆ” เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างผิดปกติ ประเดี๋ยวเป็นโน่น ประเดี๋ยวเจ็บนี่ ทั้งหน้าตาก็แลดูหมองคล้ำดำมืดอย่างไรชอบกล ไม่มีสง่าราศีเอาเสียเลย ที่เจ็บปวดที่สุด ก็เห็นจะเป็นกรณีถูก “หมากัด” ที่เอ็นร้อยหวายเข้าอย่างจัง ขณะที่ยืนดูคนให้อาหารสุนัขอยู่ดีๆ แท้ๆ แม้จะไม่เข้าเต็มๆ แต่ก็ทำให้หนังถลอก เลือดซิบๆ ต้องไปฉีดยากันโรคกลัวน้ำ เสียหลายเข็ม เจ็บระบมไปหลายวัน 

เฮ้อ.ทำไมถึงต้องเจ็บตัวอย่างนี้นะ ตั้งแต่ได้พา ชนีกรไปรักษาคุณไสย ทำไมข้าพเจ้าจึงเจอแต่เรื่อง “ซวยงัก” ถี่ปกตินักนะ งงจังเลย…

และแล้ว น.ส.ชนีกร ก็เป็นผู้เฉลยความนัยนั่นให้ฟังเองในเวลาต่อมาว่า “หนูเอาเรื่องที่พี่เนาว์ถูกหมากัดไปเล่าให้น้องเณรที่มีญาณองค์หนึ่งที่อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอนฟัง ท่านก็เข้าสมาธิดูก็รู้ว่า ไอ้หมอผีทำของใส่หนูน่ะ มันทำคุณไสยกันท่าเผื่อเอาไว้ด้วยว่า ใครก็ตามที่คิดอ่านมาช่วยหนู ก็จะต้องมีอันเป็นไปตามกันด้วย อย่างที่พี่เนาว์โดนหมากัดน่ะ 

ก็ไม่ใช่เป็นกรณีปกตินะคะ แต่เป็นการใช้ไสยศาสตร์พลังจิตไปบังคับหมาให้มากัดพี่เนาว์เป็นการเฉพาะ เหมือนอย่างที่คุณยายวรนาถในเรื่องทายาทอสูรทำอย่างไรก็อย่างนั้นเลยล่ะค่ะ…”

“อ้อ…เหรอ…” ข้าพเจ้าเออออก่อนที่จะนึกในใจว่า “อิ๊บอ๋ายแล้ว…นี่กรูต้องมาเจอะเจอกับเรื่องพรรค์นี้กับเขาด้วยหรือนี่…???”

และ…“กรูไม่น่ามาช่วยเจ๊ชนีกรนี่เล้ยจริงๆ…ให้ตายสิ” มีแต่เรื่องซวยซับ ซวยซ้อน และซวยไม่มีที่สิ้นสุดเสียจริงๆ กรรมของเวรแท้ๆ…

และแล้ว วันที่ “กรรมของเวร” ของข้าพเจ้าจะสิ้นสุดลง เมื่อได้พาร่างอันหมองคล้ำไปกราบครูบาอินในวันหนึ่ง เหมือนท่านครูบาอินจะรู้แจ้งถึงการทั้งปวงดี ท่านจึงเพ่งดูหน้าข้าพเจ้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยตบะเดชะอันแรงกล้าที่แม้แต่คนเข้าวัดอย่างข้าพเจ้า ก็ยังอดสะท้านด้วยความเกรงบารมีท่านไปมิได้ ก่อนที่จะได้หยิบเอาน้ำมันจันทน์มาเจิมกระหม่อมข้าพเจ้าอย่างตั้งใจ และในขณะนั้นนั่นเอง ก็มีผู้จับภาพตอนที่ครูบาอินกำลังลงกระหม่อมให้ข้าพเจ้าในตอนนั้นไว้ได้

และเมื่อล้างอัดออกมา ภาพที่น่า “สยองใจ” ก็ปรากฏขึ้นในทันใด เพราะปรากฏ “เงาดำ” แห่งไสยเวทย์มนต์ดำทายาทอสูรจากนรก พุ่งออกจากบริเวณศีรษะและต้นแขนของผู้เขียน เห็นกันได้จะๆ เต็มสองตา…!!!

ช่างน่าขนพองสยองเกล้าเป็นนักแล้ว…

หมายเหตุ, เคยสงสัยว่า อันพระเครื่องรางของดีๆ เราก็มีมากมาย แต่เหตุไฉนไสยศาสตร์ฝ่ายต่ำจึงเข้ามาสิงสู่ในกายในใจแห่งเราได้ จนเมื่อได้ยินคำเฉลยจากหลวงพ่อพุธ ฐานิโย พระอริยปัญญาแห่งวัดป่าสาลวัน จึงได้เข้าใจ โดยท่านบอกว่า 

“อันพระเครื่องรางนั้น แม้จะดีอย่างไร ก็ยังเป็นของภายนอกอยู่ แต่หากจะให้กันคุณไสยมนต์ดำได้จริงๆ คนๆ นั้นต้องไหว้พระสวดมนต์แผ่เมตตาเป็นนิตย์ จึงจะป้องกันได้”

(จำได้ว่า ตอนนั้นข้าพเจ้าขี้เกียจสวดมนต์มาก และก็ไม่ได้ห้อยพระตลอด ๒๔ ชั่วโมงด้วย ของเลยมีช่องเข้าตัวได้ให้ซวยสนิทไปหลายรอบด้วยประการฉะนี้)

ช่างนับเป็นบุญและวาสนาแท้ๆ ที่ยังมีโอกาสได้เจอกับ “พระดีและเก่ง” แบบสุดๆ เยี่ยงหลวงปู่ครูบาอิน มาช่วยขับไล่ “มนตราทายาทอสูร” ให้เห็นกันจะๆ เห็นปานนี้ หาไม่…ข้าพเจ้าจะต้อง “มีอันเป็นไป” ในลักษณาการเช่นไหนอีก ก็สุดที่จะคาดเดาได้แล้วจริงๆ โอย..ไม่อยากจะคิดเลย

พระเดชพระคุณและความเก่งกล้าสามารถของหลวงปู่ครูบาอินนั้น จึงติดตราตรึงในท่ามกลางดวงใจของข้าพเจ้าอย่างไม่มีวันจะจางคลายไปได้นับแต่บัดนั้น แม้หลวงปู่วรวุฒิคุณท่านจะได้ “ละสังขาร” สู่บรมสุขไปแล้วก็ตาม

ปัจจุบัน สรีระขันธ์ที่ท่านทิ้งไว้คู่กับโลก เมื่ออายุได้ ๑๐๑ ปี ก็ยังคงนอนนิ่งสงบอย่างสง่าภายในโลงแก้วที่วัดคันธาวาส (ทุ่งปุย) กิ่งอำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ เหมือนหนึ่งท่านเพียงแค่ “จำวัด” หลับไปเท่านั้น

วันมรณภาพเป็นอย่างใด ในวันนี้สรีระแห่งท่านก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ต่างไปเพียงแค่มีการ “ปิดทอง” จนเหลืออร่ามตามประเพณีล้านนาแต่เพียงอย่างเดียว และที่นั้น ก็ยังมี “วัตถุมงคล” ที่หลวงปู่ครูบาอินท่านเสกทิ้งทวนไว้อย่างดีที่สุด ตกค้างอยู่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นพระสมเด็จไจยะเบงชร, เหรียญยืน, ประคำ, ตะกรุด, ผ้ายันต์ ฯลฯ

รับรองว่า คุณภาพแห่งพุทธคุณที่หลวงปู่ครูบาอินท่านฝากไว้ในเครื่องมงคลทุกอย่างนั้น ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพระเครื่องของอดีตพระเกจิอาจารย์รุ่นเก่าๆ ราคาแพงๆ เป็นแสนเป็นล้านอย่างแน่แท้ เพราะมี “อาจารย์” ศิษย์สายเจ้าคุณนรรัตน์ฯ, หลวงปู่เทสก์ ที่มีสมาธิจิตสูงเคยลองสัมผัสพลังพระของครูบาอินแล้ว ก็แทบจะถึงแก่การอึ้งพร้อมกับอุทานขึ้นมาเลยทีเดียวว่า “นี่พระของใครนี่…ทำไมพลังจึงแรงกล้าในระดับเดียวกับหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ซึ่งไม่น่าจะมีใครเสมอเหมือนได้อีกเล่า.???”

ส่วนตัวแอดมินคิดว่าเรื่องทายาทอสูร น่าจะเป็นเรื่องเล่าเสียมากกว่า เพราะการสืบเชื้อ ปัจจุบันไม่ค่อยมีแล้ว เพราะสมัยนี้ลูกหลานมักให้ร่างทรงมาทำพิธีตัดขันธ์ให้ (ใช้เกจิ ผู้ทรงศีล พระสงฆ์ คนมีวิชากำลังจิตไม่ได้เพราะเค้าไม่ศรัทธา และอาจส่งผลให้คนที่จะตัดขันธ์เสียชีวิตได้อย่างคาดไม่ถึง)

ส่วนกรณีที่ไม่มีใครสืบทอด เนื่องจากรุ่นนั้นไม่มีลูกหลานที่เหมาะสมจะรออีกประมาณ ๒ ถึง ๓ รุ่นเค้าจะกลับมาอีก และหากเลือกใครคนนั้นไม่รับ ก็จะป่วยไม่ทราบสาเหตุ แพทย์แผนปัจจุบันจะตรวจหาโรคไม่เจอ แต่ก็สามารถมาทำพิธิตัดขันธ์ได้อีกเช่นกัน

ส่วนกรณีขันธ์ผียังมีอยู่ เกิดจากกรณีที่บุคคลที่มีสัมผัสบ้าง หรือนั่งสมาธิเห็นโน้นนี่นั่นบ้าง ได้น้อมรับ นามธรรมที่เห็นเข้ามาจนกลายเป็นตัวตน สุดท้ายกลายเป็นการสะกดจิตตนเอง เป็นปฐมเหตุแห่งการเปิดรับขันธ์ และการอุปโลกน์ตนเป็นผู้วิเศษในลำดับถัดมา

และต่อมาเมื่อทำการเปิดรับขันธ์ จะกลายเป็นการพร้อมเปิดใจที่จะรับนามธรรมอื่นๆเข้ามาและด้วยสัญญาที่มีใจจิต ถูกชักจูงสร้างกลจิต ให้เห็นในภาพที่ตนเคารพนับถือ พลังงานภายนอกที่จะเข้ามาแทรก จะใช้จุดอ่อนนี้มาเป็นอุบายในการส่งเสริม เพื่อสร้างมายาจิตขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง แสดงเป็นอุคนิมิต ขึ้นมาให้บุคคลนั้นเห็นนั่นเอง

และด้วยการน้อมนำนามธรรมเข้า เนื่องด้วยนามเหล่านี้เป็นแรง เมื่อสะสมค้าง (เนื่องจากการน้อมเอง) จึงส่งผลต่อระบบธาตุที่เป็นนามธรรมปกติ เป็นสื่อนำแรงที่เป็นส่วนประกอบในการสร้างกายปกติเกิดการขาดสมดุลย์ ไม่ว่าน้อยหรือมากไป เป็นเหตุส่งผลให้เกิดผลกระทบทางกายต่างๆ

ถามว่าทำไมตรวจไม่พบ เพราะเครื่องมือทางการแพทย์ จะตรวจพบได้เฉพาะ รูปธรรมที่สร้างขึ้นจากองค์ประกอบของสสารหรือพลังงานหรือจิตได้ที่ละหนึ่งชุดการสร้างเป็นกายเท่านั้น…

แหล่งข้อมูลอ้างอิง | เทศนาธรรม โดย หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน

Previous articleเอาของกูคืนมา
Next articleตำนานโรคระบาดสิ้นสุด