เอาของกูคืนมา

เอาของกูคืนมา

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ จังหวัดเชียงใหม่เมื่อ15 ปีที่แล้ว สมัยผมยังวัยรุ่น กลุ่มของผมชอบท่องเที่ยวแบบกางเต็นท์เพราะได้ไกล้ชิดธรรมชาติที่สุด​ และชอบบรรยากาศรอบกองไฟ ได้นั่งคุยกันเพลินๆ แต่ที่สำคัญคือประหยัดค่าโรงแรม ครั้งนั้นเป็นช่วงปิดเทอม​ กลุ่มผมตกลงกันว่าจะไปเที่ยว จ.กาญจนบุรี  สมัยก่อนการเดินทางไม่ได้สะดวกสบายอย่างทุกวันนี้ ต้องนั่งรถไฟไปต่อรถสองแถวไปตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ

พวกผมขึ้นรถไฟกันแต่เช้าเพื่อจะได้มีเวลาเที่ยวเยอะๆ แต่ผิดคาด รถไฟขบวนที่จะขึ้นเกิดเสีย จึงต้องรอรอบต่อไปบ่ายโมง กว่าจะไปถึงสถานีกาญจนบุรีปาเข้าไปสี่โมงเย็น  ต้องยอมเหมารถกระบะพ่อค้าในตลาดไปยังที่กางเต็นท์ริมแม่น้ำที่เลือกไว้​ เพราะหากนั่งรถสองแถวกลัวจะไปถึงดึกเกินไป  

พวกผมเดินเข้าตลาดถามหารถรับจ้าง แต่พอบอกสถานที่ที่จะไปทุกคันปฏิเสธกันหมดและเดินหนีโดยไม่บอกเหตุผล 

ขณะที่เริ่มจะถอดใจ ก็คุยกันว่าคืนนี้ต้องเสียตังค์นอนโรงแรมแถวนี้ จู่ๆ ก็มีลุงคนหนึ่งเดินเข้ามาถามว่าจะไปที่นั่นจริง ๆ เหรอ ลุงไปส่งก็ได้แต่ขอเงินเพิ่ม​ และส่งแค่ปากทางเข้าเท่านั้น ด้วยความที่กลัวจะมืดซะก่อนจึงจำใจต้องยอมกับข้อตกลง  ตอนที่เดินไปที่รถก็บ่นกันว่าลุงหน้าเลือดว่ะ เห็นว่าเราหมดหนทางเลยจะโก่งค่ารถ

พวกเรานั่งหลังรถกระบะของลุงออกจากตลาดช่วงเวลาประมาณเกือบๆ จะหนึ่งทุ่ม ฟ้าเริ่มมืด พอพ้นตัวเมืองผ่านไร่มันไร่อ้อย ก็เริ่มเข้าสู่ป่าที่มีต้นไม้มากขึ้นเรื่อยๆ เส้นทางมืดสนิทมีเพียงแสงไฟหน้ารถที่สาดไปข้างหน้า อากาศเย็นจนผมกับเพื่อนต้องรูดซิปแจ๊คเก็ตให้กระชับขึ้น 

ลุงจอดตรงทางเข้าที่มีป้ายเก่า​ ๆ เขียนไว้ว่า “จุดกางเต๊นท์ริมแม่น้ำ” เราจึงรีบกระโดดลงรถกระบะมองไปรอบๆ ก็รู้สึกได้ถึงความวังเวง  ลุงรับเงินค่ารถพร้อมทิ้งเบอร์มือถือไว้ให้พวกเรา​ เผื่อเวลากลับก็โทรมา

“ถ้าโทรมาให้มารับตอนดึกลุงไม่มานะ  ตอนเช้าค่อยว่ากัน”  ลุงพูดทิ้งท้ายพลางหัวเราะในลำคอเบา​ ๆ แล้วรีบขับรถออกไปทันที 

พวกผมเริ่มเปิดไฟฉาย​ เดินผ่านป้ายที่บอกระยะทาง 700 เมตรก็ถึงจุดกางเต็นท์  เป็นลานโล่งริมแม่น้ำ แต่ผมกลับแปลกใจเพราะไม่เห็นใครมากางเต็นท์เลยสักคนทั้งที่เป็นช่วงปิดเทอม แต่เพื่อน​ ๆ กลับชอบเพราะจะได้สนุกกันเต็มที่ไม่ต้องกลัวว่าจะสร้างความรำคาญให้คนอื่น 

ว่าแล้วพวกผมก็เริ่มกางเต็นท์กัน ส่วนพวกผู้หญิงเริ่มทำกับแกล้ม จากนั้นก็นั่งล้อมวงรอบกองไฟ ดื่มเหล้าและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จนเมื่อเพื่อนคนหนึ่งปวดท้องหนักขึ้นมา มันคว้าพลั่วสนามเดินส่องไฟฉายเข้าไปในป่า 

“เฮ้ย! มึงเข้าป่าไปไกล​ ๆ เลยนะโว้ย เดี๋ยวกลิ่นมาถึงที่นี่ จะพากันอ้วกกันหมด” ผมตะโกนตามหลังเพื่อน ๆ ต่างหัวเราะกันด้วยความขบขัน ผ่านไป 10 นาที เพื่อนก็กลับมาในมือมีวัตถุยาว​ ๆ สองอันส่งให้ผมดู

“ตอนขุดหลุมจะถ่ายหนัก ขุดไปซักพักพลั่วก็ไปกระทบกับไอ้ 2 สองแท่งนี้” เพื่อนคนที่ไปถ่ายหนักเล่า  

ผมเอามาดูอย่างละเอียดก็รู้ว่ามันคือดาบโบราณไม่มีด้าม​ คงเพราะถูกฝังดินมานานจนด้ามย่อยสลายไปหมด  แต่ผมก็ไม่ได้สนใจกับดาบสองเล่มนี้ วางไว้ข้าง​ ๆ แล้วดื่มเหล้าต่อไป สักพักเพื่อนสองคน​ ได้หยิบเอาดาบสองเล่มมาเล่นฟันดาบกัน โดยคนหนึ่งแสดงเป็นทหารพม่า ส่วนอีกคนแสดงเป็นทหารไทย เพื่อน​ ๆในวงเหล้าก็พากันหัวเราะชอบใจยกใหญ่

เวลาล่วงเลยไปเกือบตี 1 ก็แยกย้ายกันเข้าไปนอนเต็นท์ละสองคน โดยจุดตะเกียงไว้หน้าเต็นท์เผื่อกลางคืนตื่นมาฉี่จะได้พอมองเห็นรอบ ๆ ข้าง 

ผมหลับไปนานแค่ไหนไม่รู้​ มารู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงคนเดินรอบ​ ๆ เต็นท์  ตอนนั้นก็คิดว่าหูคงจะฝาด แต่พอตั้งใจฟังสักพักก็มีเสียงพูดคุยกันซึ่งไม่ใช่ภาษาไทย แต่เป็นภาษาพม่าที่ผมเคยดูในภาพยนตร์ นอนฟังไปสักพักเสียงยังดังอยู่จนทนไม่ไหวหันไปจะปลุกเพื่อน จากแสงตะเกียงสลัว​ ๆ ข้างนอกก็เห็นเพื่อนผมตื่นขึ้นมาเหมือนกัน

“มึงได้ยินเหมือนกันเหรอ” เพื่อนกระซิบ ขณะที่ผมพยักหน้าเบา​ ๆ แล้วชี้ไปช่องระบายอากาศของเต็นท์ที่อยู่หัวนอนทำนองว่าผมจะดูข้างนอกเต็นท์ เพื่อนรีบส่ายหน้าห้ามไว้ แต่ไม่ทันแล้วผมค่อย​ ๆ​ ส่องดูจากช่องนั้น

สิ่งที่เห็นคือคนกลุ่มหนึ่งประมาณ 20 คน โพกหัวแบบพม่าโบราณเดินไปมา บ้างนั่งจับกลุ่มคุยกัน ภายในกลุ่มมีสองคน​ ที่นั่งคุกเข่าอยู่กลางวงแต่งตัวแบบทหารไทยโบราณ แสงจากตะเกียงที่อยู่นอกเต็นท์ไม่ได้สว่างนัก ผมเลยเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน แต่ผมรู้ทันทีว่าสิ่งที่ผมเห็นไม่ใช่คนแน่​ ๆ 

สักพักทหารพม่าคนหนึ่งเดินไปยืนข้างๆ คนที่คุกเข่าแล้วพูดอะไรสักอย่าง แล้วผมก็ต้องตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้น ทหารพม่าคนนั้น​ ยกดาบขึ้นฟันฉับไปที่คอคนที่คุกเข่าคนหนึ่ง​ ขาดกระเด็นกลิ้งมาทางเต็นท์ที่ผมอยู่ห่างไปแค่สองเมตร ระยะใกล้ขนาดนั้นทำให้ผมเห็นลูกตาของทหารไทยคนนั้นกลอกไปมา ผมตกใจเผลอตะโกนด้วยความตกใจว่า เฮ้ย! 

หลังจากผมหลุดปากอุทานออกไป กลุ่มทหารพม่าก็หันควับมาทางเต็นท์ผมกันทั้งกลุ่มแล้วพากันค่อย​ ๆ เดินมาทางเต็นท์  ตอนนั้นผมผละจากช่องระบายอากาศ ลุกขึ้นนั่งพร้อมกับเพื่อนที่ตกใจเสียงที่ผมอุทานออกมา ผมเหงื่อแตกพลั่กขนลุกตั้งแต่ก้นกบไล่ไปถึงหัว 

“มึงเห็นอะไร” เพื่อนถามด้วยเสียงสั่น ๆ พอสิ้นเสียงถาม ก็มีเงาคนมาล้อมเต็นท์ ตอนนั้นผมกลัวจนสติแทบจะหลุดไม่รู้จะทำยังไงดี 

“อย่ามาหลอกหลอนกันเลย พวกผมทำอะไรผิดไปต้องขอโทษด้วย ผมจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ทุกคน พวกผมขอโทษ” เพื่อนรีบพูดขึ้น แล้วเงาที่เห็นก็หายไปพร้อมกับเสียงพูดคุยของทหารพม่า​ ที่ค่อย​ ๆเบาลง  ทุกอย่างเงียบสนิทเหมือนไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น

ขณะที่เรากำลังนั่งสงบสติสักพัก จู่ ๆ ข้างนอกก็มีลมพัดมาแรงมาก​ จนเต็นท์กระพือแทบจะหลุดจากหมุดที่ยึดกับพื้นดิน 

“เอาอีกแล้วเหรอวะ ยังไม่จบอีก”ผมกับเพื่อนเด้งตัวขึ้นมานั่งกันอีกรอบในใจคิด  ท่ามกลางเสียงลมพัดที่อื้ออึง​ ก็มีเสียงทุ้มห้าวมีพลังน่าเกรงขามพูดขึ้นมาว่า  

“เอาของกูคืนมา พวกมึงบังอาจเอาของกูไป เพราะพวกมึงกูเลยต้องโดนพวกรามัญกุดหัว” สิ้นเสียงนั้นผู้หญิงที่อยู่อีกเต็นท์ ก็กรีดร้องด้วยความตกใจร้องเอะอะโวยวาย

“กรี๊ด!มึงเป็นอะไรกัน อย่าสู้กัน หยุดได้แล้ว” ผมกับเพื่อนรีบออกจากเต็นท์ไปดูเพื่อนด้วยความเป็นห่วงจนลืมความกลัว ท่ามกลางลมที่พัดแรงผมเห็นเพื่อนผู้ชายสองคนที่เล่นฟันดาบกันก่อนจะนอน ถือดาบที่เพื่อนอีกคนเจอมา​ ฟาดฟันกันอย่างเอาเป็นเอาตายโดยมีเพื่อนผู้หญิงยืนร้องห้ามอยู่ห่าง​ ๆ ผมกับเพื่อนคนอื่น​ ๆ ไม่กล้าเข้าไปห้ามกลัวจะโดนลูกหลงไปด้วย 

จังหวะที่เพื่อนคนหนึ่งโดนฟันเข้าที่ไหล่จนล้มลง แล้วเพื่อนจะเข้าไปฟันซ้ำ ผมได้โอกาสกระโดดเข้าไปล็อกคอจากข้างหลัง คนอื่นๆ ก็วิ่งเข้ามาล็อกเพื่อนอีกคน ผมแปลกใจมาก พวกผมสามคนแทบจะกดเพื่อนคนนั้นลงกับพื้นไม่ไหว ทำไมมันมีเรี่ยวแรงมันมากขนาดนั้นทั้งที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม 

พอพวกผมกดมันนอนลงกับพื้น จู่ๆเสียงหัวเราะด้วยความสะใจก็ดังขึ้นเบา​ ๆ กลางสายลม พวกผู้หญิงพากันตกใจนั่งร้องไห้กอดกันกลม 

“พวกผมรู้แล้วว่าพวกผมล่วงเกินอะไรท่านไป พวกผมทำไปด้วยความไม่รู้ พวกผมขอโทษ พรุ่งนี้เช้าผมจะเอาดาบไปคืนที่เดิม จะเอาดอกไม้ธูปเทียนมาขอขมาท่าน ยกโทษให้ลูกหลานด้วย” 

ผมได้สติผละ คุกเข่าพนมมือ สิ้นคำขอขมาลมพายุนั้นก็ค่อย​ ๆ สงบลงจนเป็นปกติ สักพักเพื่อนทั้งสองคนก็หยุดดิ้นขัดขืนก่อนหมดสติไป  ผมหยิบโทรศัพท์โทรหาลุงคนขับรถสองสามรอบแต่ก็โดนตัดสายทิ้ง พวกผมเลยตัดสินใจเข้าไปนั่งอัดกันในเต็นท์ใหญ่ โดยที่ไม่มีใครนอนหลับเลย

จนฟ้าสาง จึงออกจากเต็นท์ แล้วโทรหาลุงคนขับรถอีกครั้งให้มารับออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ระหว่างเก็บข้าวของเพื่อนสองคนเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนขณะจะเติมฟืนในกองไฟ อยู่​ ๆ มีเงาดำร่างใหญ่พุ่งเข้ามาหาแล้วมันก็จำอะไรไม่ได้​ จนมันตื่นมาตอนเช้าก็เห็นว่ามานั่งรวมกันอยู่ในเต็นท์แล้ว 

ระหว่างทางที่พวกผมเดินออกมารอรถ ก็นำดาบทั้งสองเล่มไปวางไว้ที่เดิมที่เพื่อนเอามา แต่ระหว่างทางก็ตกใจกับสิ่งที่เห็น เบื้องหน้าเป็นสิ่งก่อสร้างจากอิฐมอญสีส้มเป็นเหมือนซากกำแพงโบราณ มีซุ้มประตูสูงอยู่เหนือทางเดิน ผมคิดในใจว่าเรามีไฟฉายกันทุกคนทำไมเมื่อคืนกลับมองไม่เห็น แต่ทุกคนก็เดินต่อโดยไม่พูดอะไรกัน จนถึงทางเข้าก็เห็นลุงมาจอดรถรอรับอยู่แล้ว 

“ลุงครับ ไปวัดที่ใกล้ที่สุด”แล้วพวกเราก็กระโดดขึ้นกระบะท้าย 

เมื่อถึงวัดผมเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า เจออะไรมาบ้าง พร้อมกับนิมนต์หลวงพ่อไปทำพิธีขอขมาให้พวกผม เมื่อกลับไปที่จุดกางเต็นท์เมื่อคืน แล้วพวกผมก็จุดธูปขอขมา

“ที่ตรงนี้เป็นสนามรบเก่า มีทั้งทหารไทยทหารพม่าล้มตายเป็นพันๆ คน แต่ด้วยเป็นสถานที่สวยงาม สงบเงียบ เมื่อก่อนคนที่ไม่รู้ก็มากางเต็นท์กันเยอะ แต่ก็โดนหลอกกันหมดจนไม่มีใครมากางเต็นท์มาเกือบสิบปีแล้ว” หลวงพ่อสวดเสร็จก็เล่าให้ฟัง  แล้วหันไปต่อว่าลุงคนขับรถที่ไม่เตือนไม่ห้าม จากนั้นเราก็รีบกลับกรุงเทพฯ กันทันที

หลังจากวันนั้นพวกผมก็ไม่เคยไปเที่ยวแบบกางเต็นท์อีกเลย  ทุกคนยอมเสียค่าโรงแรม เพราะเข็ดกับสิ่งที่เจอในคืนนั้น

เครดิตเรื่อง : News collection

Previous articleยุติการเผยแพร่
Next articleครูบาอินปราบทายาทอสูร