ตำนานโรคระบาดสิ้นสุด

ตำนานโรคระบาดสิ้นสุด

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แอดมินได้นั่งฟังเรื่องผีตามช่องต่าง ๆ ใน Youtube ไปเรื่อย ๆ จนมาสะดุดกับเรื่อง  ตำนานโรคระบาดสิ้นสุด ของ “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ” ที่ได้นำมาเล่าสู่กันฟังในรายการ อังคารคลุมโปง เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งกำลังได้รับความสนใจหนักมากในโลกออนไลน์  

โดยในครั้งนี้เป็นเรื่องราวของตำนานคำทำนายของผีในวังแห่งหนึ่งในประเทศไทยที่ระบุไว้ว่าในอีก 100 ปีข้างหน้านับจากในอดีต คือช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายนปี 2463 จะเกิดโรคระบาดรุนแรงขึ้นซึ่งตรงกับเดือนเมษายน ปี 2563 ที่ผ่านมา ที่โควิด-19 เริ่มระบาดในประเทศไทยพอดิบพอดี 

นอกจากนี้ยังเปิดเผยด้วยว่าโรคระบาดนั้นจะระบาดรุนแรง หาทางรักษายาก ฆ่าชีวิตคนมากมาย และจะมีผู้เจ็บป่วยและเสียชีวิตมากที่สุดในวันที่ 22 สิงหาคม 2564 ก่อนจะสิ้นสุดลงในช่วง เมษายน 2565

โดยในรายการหมอบีบอกว่า “ผมก็รับฟังมาอีกที แต่มันดันมาเชื่อมโยงกับช่วงโควิดตอนนี้พอดี อาจจะออกชื่อเป๊ะๆ ไม่ได้นะครับ แต่ถ้าใครไปหาข้อมูลใน Google เพิ่มเติมดู ก็น่าจะเจอกัน เป็นเรื่องของพระตำหนักหนึ่งที่อยู่ในกรุงเทพฯ นี่แหละ เป็นวังของพระองค์หนึ่ง แต่ถ้านับเวลา ความประหลาดมันอยู่ที่เวลานี่แหละ 

ซึ่งพระตำหนักนี้ถูกย้ายออกมาจากในวังหลวง และออกมาตั้งอีกสถานที่หนึ่ง เพื่อให้ท่านผู้หนึ่งมาประทับและวางแผนจะสร้างพระราชวังขึ้นมาอีกหนึ่งแห่ง ซึ่งขออนุญาตใช้คำสามัญชน คือพระองค์จะใช้ในการมาตัดผม อาบน้ำ ล้างตัว ซึ่งก่อนที่จะย้ายมาพระตำหนักนี้ก็เคยตั้งอยู่ริมน้ำ พอย้ายมาที่ใหม่ก็ยังอยู่ริมน้ำเช่นเคย  และเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ มันเกี่ยวข้องกับผีท่านหนึ่งที่จะดูแลปกปักรักษาคุ้มครองพระองค์ท่านมาโดยตลอด

มันก็มีเรื่องราวแปลกๆเกิดขึ้น จะจริงเท็จแค่ไหนเราอ้างอิงอะไรไม่ได้เลย เพราะผมก็ฟังจากผู้อื่นมาอีกที โดยการย้ายมาสร้างตำหนักนี้เวลามันประมาณเดือน มี.ค.-เม.ย. 2463 ซึ่งมันตรงกับช่วงเวลาที่โควิด-19 กำลังแพร่ระบาดในประเทศไทย คือ เม.ย. ปี 2563 

ตามตำนานที่ได้ยินมาคือผีตนนี้ที่ดูแลพระองค์อยู่ ได้กล่าวให้พระองค์ท่านฟังว่า อีก 100 ปีข้างหน้า พ.ศ. 2563 ในช่วงเวลาเดียวกันจะเกิดเรื่องโรคระบาดรุนแรง รักษายาก คร่าชีวิตคนมากมาย และจะไปพีคสูงที่สุดคือ 22 ส.ค. 2564 

ตามบันทึกวันที่พระองค์เสด็จมาประทับคือ วันที่ 22 ส.ค. 2463 ก็ 100 ปีบวกไปอีก 1 ปี ก็จะเป็นช่วงที่โควิด-19 ระบาดพีคที่สุดในประเทศไทย ตามที่ผีตนนี้ว่าคือ ทุกอย่างจะพัง จะล่มสลาย จนไม่สามารถควบคุมได้ และต้องใช้เวลาในการเยียวยารักษาระดับนึง ซึ่งทุกอย่างมันจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดก็ในช่วงเวลา เมษายน ปี 2565  ฟังดูแล้วมันแปลกดี

หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ลง ผีตนนี้ก็จะจากไปเช่นกัน  แต่ก่อนที่ผีตนนี้จะไป ก็ได้สั่งให้เทวดาตนหนึ่งค่อยคุ้มครองประเทศแทนตน ซึ่งก็คือ 100 ปีต่อมา ท่านให้เทวดาตนนี้มาช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วราย  นั่นหมายความว่า วันที่ 22 สิงหาคม เทวดาตนนี้จะมา และพำนักอยู่ที่พระตำหนักนี้ แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างจะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ 

ผีตนนี้ยังได้บอกวันเวลาที่แน่ชัดไว้แล้วว่า วันที่ 8 เม.ย. 2565 ทุกอย่างจะดีขึ้น ซึ่งจะเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน อันนี้ผมไม่คอนเฟิร์ม เพราะเทวดาองค์ที่ผีตนนี้กล่าวถึงจริงๆแล้วอาจจะหมายถึงวัคซีนก็เป็นได้ อันนี้ก็ไม่รู้นะครับ ในบันทึกบอกไว้แค่นี้ 

ส่วนเรื่องของบันทึกผมก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนบันทึกเอาไว้ ซึ่งเชื่อได้ขนาดไหนก็ไม่รู้ มันเป็นสิ่งที่ผ่านหูผ่านตาหมอบีมา แล้วก็เก็บมาเล่าให้ฟังอีกที…”

ทั้งนี้ชาวเน็ตต่างไปค้นหาข้อมูลและนำมาเปิดเผยต่อๆ กันว่าผีตนที่หมอบีกล่าวถึงอาจจะเป็น “ท้าวหิรัญพนาสูร(ฮู)” เป็นเทพารักษ์ประจำรัชกาลที่ 6  ศาลของท่านตั้งอยู่ที่พระราชวังพญาไท

ซึ่งเป็นตำนานบทหนึ่งที่ผู้หลักผู้ใหญ่เขาบอกว่ามีบันทึกไว้ ในสมัยพระองค์ท่าน และถูกสืบทอดต่อกันมา แต่ไม่ได้มีแพร่หลาย

หลังจาที่แอดมินได้ฟังหมอบีเล่าในรายการจบ แอดก็ลองไปหาข้อมูลเพิ่มเติมใน Google ตามที่หมอบีบอก ปรากกฏว่า มันก็มีเรื่องราวของผีตนนี้ถูกเขียนไว้ในวิกิพีเดียจริง ๆ ซึ่งข้อมูลค่อนข้างตรงกับที่หมอบีเล่า ประมาณ 60-70% ยกเว้นเรื่องคำทำนายของผีตนนี้ ที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ด้วย ซึ่งในวิกิพีเดียไม่บอกว่าท่านเป็นผี แต่นามของท่านคือ  “ท้าวหิรัญพนาสูร(ฮู)” ในวิกิพีเดียได้เขียนไว้ว่า…

เรื่องเทพหรือเทวดาที่ชื่อ “ท้าวหิรัญพนาสูร” หรือ “ท้าวหิรัญฮู” นี้เล่ากันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เทพองค์นี้บางคนก็เล่าว่า เป็นอสูรที่ตั้งอยู่ในสัมมาทิฐิ (ประพฤติในทางที่ดีงาม) คอยติดตามป้องกันภัยอันตรายไม่ให้มากล้ำกรายรัชกาลที่ 6 และข้าราชบริพารที่อารักขา มีผู้เคยเห็นร่างท่านเป็นยักษ์ดุร้ายน่าเกรงขาม แต่ในยามปกติเล่ากันว่า “ท่านท้าวหิรัญฮู” ตนนี้ เป็นเทพที่มีรูปงามเลยทีเดียว

ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งที่ทรงสื่อกับบรรดา “โอปปาติกะ” หรือ “วิญญาณ” ได้บ่อยครั้ง พระองค์ท่านทอดพระเนตรเห็นผู้ที่ตายแล้วมาหา ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เล่าต่อ ๆ กันมาจึงดูคล้ายกับว่าพระองค์ทรงมี “สัมผัสที่ 6” ในทางเร้นลับไม่น้อย

ในเรื่องของ “ท้าวหิรัญพนาสูร” เทพผู้อารักขารัชการที่ 6 เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในสมัย ร.ศ. 126 ขณะที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเมืองลพบุรี เมื่อครั้งที่ยังไม่ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ 

ในคืนวันเสด็จประพาสคืนหนึ่ง มีผู้ตามเสด็จท่านหนึ่งได้มีนิมิตฝันประหลาดเห็นชายหุ่นล่ำสันใหญ่โตมาหา บอกว่าชื่อ “หิรัญ” เป็นอสูรชาวป่า มาบอกว่า ต่อแต่นี้เขาจะคอยตามเสด็จล้นเกล้าฯ รัชการที่ 6 ไม่ว่าจะประทับอยู่ที่ใด เขาจะคอยดูแลและระวังภัยไม่ให้เกิดขึ้นกับพระองค์ท่านได้ 

เมื่อรัชการที่ 6 ทรงทราบเหตุการณ์ในฝันจึงทรงมีพระราชดำรัสให้จุดเทียน จัดเตรียมอาหารเซ่นสังเวย “ท้าวหิรัญฮู” ในป่าเมืองลพบุรีนั้นทันที และทุกครั้งไม่ว่าจะเสด็จฯ ไปแห่งหนใด ในเวลาค่ำถึงยามเสวย พระองค์จะมีพระราชดำรัสให้จัดอาหารเซ่นสังเวย “ท้าวหิรัญฮู” ทุกครั้งไป

และเมื่อรัชกาลที่ 6 เสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว พระองค์ก็ยังทรงระลึกถึง “ท้าวหิรัญฮู” อยู่เสมอ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ช่างหลวงมาหล่อรูปท้าวหิรัญฮูด้วยทองสัมฤทธิ์ จากนั้นก็โปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชบริพารจัดเครื่องเซ่นสังเวย และเชิญ “ท้ายหิรัญฮู” เข้าสถิตในรูปหล่อนั้น พระราชนามให้ว่า “ท้าวหิรัญพนาสูร” แต่งองค์ทรงเครื่องสวมชฎาแบบโบราณ มีไม้เท้าเป็นเครื่องประดับยศ

มหาดเล็กคนสนิทของรัชกาลที่ 6 ผู้หนึ่ง คือ “จมื่นเทพดรุณทร” ท่านผู้นี้ได้เล่าให้ข้าราชบริพารฟังต่อ ๆ กันมาว่า “ในหลวง (ร.6) ทรงเรียกท้าวหิรัญพนาสูรว่า “ตาหิรัญฮู” ซึ่งคนในวังสมัย ร.6 จะรู้ถึงกิตติศัพท์ของ “ตาหิรัญฮู” ดีว่าสำแดงเดชและอภินิหารอย่างไรบ้าง จึงเล่ากันปากต่อปากเรื่อยมา 

อย่างเรื่องแรกเกิดขึ้นเมื่อรัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างรูปท้าวหิรัญพนาสูร โดยให้พระยาอาทรธรศิลป์ (ม.ล.ช่วง กุญชร) เป็นผู้ดำเนินการ โดยมีมิสเตอร์แกลเลตตี นายช่างชาวอิตาเลี่ยนที่มาทำงานในกรมศิลปากรเป็นผู้หล่อ เมื่อหล่อเสร็จก็จะยกขึ้นตั้งบนฐานในพระราชวังพญาไท มิสเตอร์แกลเลตตีก็เอาเชือกผูกคอท้าวหิรัญฮูชักรอกขึ้นไป เสร็จแล้วมิสเตอร์แกลเลตตีก็ป่วยกะทันหันทำงานไม่ได้ เพราะคอเคล็ดโดยไม่รู้สาเหตุ 

พอพระยาอาทรไปเยี่ยม ท่านพอจะรู้สาเหตุจึงบอกว่าคงเป็นเพราะเอาเชือกไปผูกคอรูปหล่อท้าวหิรัญฮูให้เอาดอกไม้ ธูป เทียนไปขอขมาเสีย เมื่อนายช่างชาวอิตาเลี่ยนทำตามคอที่เคล็ดก็กลับมาเป็นปกติอย่างน่าอัศจรรย์

อีกเหตุการณ์หนึ่งเกี่ยวกับ “ท้าวหิรัญพนาสูร” ที่เล่ากันมา เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่รัชกาลที่ 6 สวรรคตแล้วรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชย์ต่อ วันหนึ่งพระองค์ได้เสด็จฯ ตรวจรถยนต์พระที่นั่ง ซึ่งเป็นพระราชมรดก โดยมีกรมหมื่นอนุวัติจาตุรนต์เสด็จไปด้วย กรมหมื่นฯ ท่านนี้ได้กราบทูลขอรถยนต์คันหนึ่ง ซึ่งมีรูปท้าวหิรัญฮูติดอยู่ด้วย ซึ่งรัชกาลที่ 7 ก็พระราชทานให้ 

เล่ากันว่าเมื่อเอารถกลับไปไว้ที่วังสี่แยกหลานหลวง คืนนั้นก็นอนไม่หลับ ได้ยินเสียงกุกกัก ๆ ในโรงเก็บรถทั้งคืน ครั้งลุกไปดูก็ไม่เห็นมีอะไร จึงคิดว่าอาจเป็นเสียงหนู แต่ขณะที่กำลังคิดในทางที่ดีก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เพราะจู่ ๆ ไฟในโรงรถก็เกิดสว่างจ้าขึ้นมาเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่โรงรถปิดอยู่ จึงเรียกคนขับรถและมหาดเล็กไปช่วยกันดู 

แต่พอเปิดประตูโรงเก็บรถก็ต้องใจหายเป็นครั้งที่ 2 เพราะไม่มีใครอยู่ในนั้นเลย และยังน่าสงสัยที่เห็นรถจอดขวางโรง ซึ่งแต่แรกไม่ได้จอดในลักษณะนี้ จึงต้องช่วยกันกลับรถจอดใหม่ จากนั้นรุ่งขึ้น กรมหมื่นอนุวัติจาตุรงค์ต้องจัดเครื่องเซ่นสังเวยท้าวหิรัญฮูเพื่อขอขมา และไม่กล้าใช้รถพระราชทานคันนั้นอีกเลย

อภินิหารของท้าวหิรัญพนาสูรยังมีเล่าอีกหลายเรื่อง อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นกับเชื้อพระวงศ์ในตระกูลดิศกุลพระองค์หนึ่ง เมื่อครั้งที่ประชวรปัสสาวะเป็นเลือด ท่านได้เสด็จมารักษาที่โรงพยาบาลพญาไท หมอเอกซเรย์ดูบอกว่าต้องผ่าตัด บรรดาพระญาติทราบถึงประวัติท่านท้าวหิรัญฮูดี จึงเอาดอกไม้ ธูป เทียนไปสัการะรูปหล่อ ซึ่งประดิษฐานอย่ในบริเวณโรงพยาบาล ผลปรากฎว่าโรคที่เป็นกลับหายโดยไม่ต้องผ่าตัดอย่างไม่น่าเชื่อ

อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2522 กับอาจารย์สุภาพสตรีท่านหนึ่ง ซึ่งได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์บาดเจ็บสาหัสมาก ขาซ้ายหัก ขาขวากระดูกแตก ต้องเข้าเฝือกทั้ง 2 ข้าง ท่านถูกนำไปรักษาตัวที่แรกเป็นโรงพยาบาลเอกชน แต่เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงเปลี่ยนมารักษาที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ พญาไท 

ช่วงที่อยู่โรงพยาบาลพญาไท ท่านหมดความรู้สึกไปครั้งหนึ่งในระหว่างที่สลบท่านเห็นผู้ชายคนหนึ่งมายืนมองอยู่ข้างเตียง ในจิตของอาจารย์ท่านนี้รู้ในทันทีว่านั่นคือ “เทพท้าวหิรัญฮู” เพราะมีรูปร่างหน้าตา มีลักษณะบางอย่างบ่งบอก อาจารย์ท่านนี้จึงยกมือไหว้ ขอให้ท่านช่วยให้หายเจ็บป่วย ท้าวหิรัญฮูก็พยักหน้าจากนั้นไม่นานอาการเจ็บป่วยของอาจารย์ก็หายเป็นปลิดทิ้ง ออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านได้ และท่านก็ไม่เคยลืม “ท้าวหิรัญพนาสูร”

ทุกวันนี้ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ยังมีคนมากราบไหว้ “ท้าวหิรัญพนาสูร” อยู่ไม่ขาด โดยศาลของท่านตั้งอยู่ด้านหลังโรงพยาบาล ซึ่งแม้รัชกาลที่ 6 จะสวรรคตไปนานแล้ว หน้าที่ของ “ท้าวหิรัญพนาสูร” ก็ยังคงดูแลช่วยเหลือคนไข้และคนดีอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าใครจะติดต่อหรือมองเห็นท่านได้ เพราะท่านอยู่คนละภูมิ ซึ่งซ้อนอยู่กับภูมิมนุษย์ของเรา

หากย้อนดูการระบาดของโรคครั้งใหญ่ๆในประเทศไทย ถ้าเรื่องที่หมอบีเล่าคือเรื่องจริง 100 ปี จะมี 1 ครั้ง โดยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ในทุก 100 ปี

1.สมัยรัชกาลที่ 2 พ.ศ.2363 อหิวาตกโรค คนตายเกลื่อนพระนคร จนต้องอัญเชิญพระแก้วมรกตมาแห่รอบเมือง เพื่อขจัดปัดเป่า

2.สมัยรัชกาลที่ 6 พ.ศ.2461-63 โรคระบาดไข้หวัดสเปน คนตายทั่วโลกกว่า 40 ล้านคน 

3.สมัยรัชกาลที่ 10 พ.ศ.2563 โรคโควิด-19 ปัจจุบัน

ดูเหมือนว่ามันจะถูกกำหนดมาแล้ว 

ทุกคนคิดว่าอย่างไร คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริงแท้แน่ขนาดไหน เราคงต้องมารอดูกันว่าวันที่ 22 สิงหาคม ปี 2564 จะเป็นจุดพีคสุดของสถานการณ์โรคโควิด-19 ในประเทศไทยหรือไม่ และจะสิ้นสุดในเดือนเมษายนปี 2565 จริงไหม จะดีขึ้นอย่างที่ผีตนนี้ได้ทำนายไว้เมื่อร้อยปีก่อนหรือไม่ สุดท้ายแล้วเทวดาองค์ที่ผีตนนี้พูดถึง อาจจะหมายถึงการมาของวัคซีนที่ดีที่สุดที่คนไทยทั้งประเทศตั้งตารอคอยจะใช่หรือป่าวนะ…  

ขอบคุณแหล่งข้อมูล

: ต้นเรื่อง ตำนานโรคระบาดสิ้นสุด อังคารคลุมโปง

: เว็บไซต์ วิกิพีเดีย บทความเรื่อง ท้าวหิรัญพนาสูร

: www.matichon.co.th_news_2845328

: www.khaosod.co.th_news_6548705

เรียบเรียงโดย เพจคลังหลอน

Previous articleครูบาอินปราบทายาทอสูร
Next articleด.ญ.พิมพวดี วิญญาณระลึกชาติกับผลกรรมที่มีจริง