ผีเฝ้าบ้านกลางสวนยาง

ผีเฝ้าบ้าน

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วที่สุพรรณบุรีเมื่อครั้งผมยังวัยรุ่น สมัยนั้นครอบครัวยังไม่ค่อยมีเงินแต่ด้วยความอยากมีเงินเหมือนเพื่อนๆ ที่ออกไปทำงานที่อื่น ผมจึงออกไปหางานกับเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่ง จนได้งานรับจ้างกรีดยางทางภาคใต้ มีที่พักพร้อมอยู่กลางป่ายาง วันทำงานวันแรกนายจ้างขับรถกระบะไปส่งแค่หน้าสวนยางแล้วชี้ให้เดินเข้าไป สองข้างทางมีแต่ป่ายางจนถึงบ้านระยะทางเกือบ 6 กิโลเมตร  

“ทำไม่ไม่เข้ามาส่งวะ ไอ้ห่า!ให้เดินตั้งไกล น้ำใจแม่งไม่มีเลย” ผมบ่นกับเพื่อนจนถึงบ้านที่พัก

บ้านพักค่อนข้างใหญ่ จนน่าสงสัยว่า ไม่น่าจะใช่บ้านสำหรับลูกจ้าง บ้านไม้ยกพื้นสูง บริเวณหน้าบ้านเป็นลานกว้าง บันไดค่อนข้างเก่า เดินขึ้นมีเสียงดังแอ๊ดๆ ที่ประตูบ้านมีผ้ายันต์เก่าๆ ซีดๆ แปะไว้เหนือประตูเขียนอักขระด้วยดินสอพองจางๆ  

ผมกับเพื่อนมองหน้ากันแต่ไม่ได้พูดอะไร เมื่อไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปกลิ่นอับสาบปะทะเข้าหน้าทันทีจนต้องปิดจมูก พลางคิดว่าคงปิดบ้านไว้นาน จากนั้นก็เริ่มทำความสะอาดบ้านที่เต็มไปด้วยฝุ่นและหยากไย่ แต่…มีห้องหนึ่งถูกล็อกกุญแจตัวใหญ่ไว้ และนายจ้างกำชับไว้ว่าห้ามเปิดห้ามไปยุ่งเด็ดขาด ให้นอนกันหน้าทีวี 

กว่าจะทำความสะอาดบ้านเสร็จก็ปาเข้าไปหกโมงเย็น ผมและเพื่อนก็อาบน้ำ ทำอาหารกินกันแล้วลากที่นอนมานอนดูทีวีกลางบ้าน  กระทั่งสองทุ่มกว่าๆ  เพื่อนผมหลับไปด้วยความเหนื่อย ส่วนผมเดินไปปิดไฟ ขณะกำลังจะล้มตัวลงนอน จู่ๆ ก็มีเสียงเดินในบ้านดังแอ๊ดๆ เบาๆ 

ผมลุกขึ้นมานั่งมองรอบบ้าน มีเพียงความมืดสนิท พยายามเงี่ยหูฟัง เสียงกลับเงียบไปแล้ว  ผมก็คิดว่าหูคงฝาดไปเพราะล็อกประตูบ้านด้วยตัวเอง ไม่น่าจะมีใครขึ้นมาได้ คืนนั้นผมก็หลับไป จนตี 3 ก็ตื่นไปกรีดยางกับเพื่อน

คืนต่อมา หลังจากกินข้าวเย็น ผมกับเพื่อนปิดไฟนอนตั้งแต่หัวค่ำเพราะต้องตื่นแต่เช้าไปกรีดยางแต่ผมนอนไม่หลับ พลิกซ้ายพลิกขวาจนเป็นเวลาห้าทุ่ม แล้วอยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงบางอย่างเบาๆ  พยายามเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ เสียงเคาะประตูจากข้างนอก ก๊อกๆๆๆ แล้วเงียบ… 

ผ่านไปแค่อึดใจ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งแต่ดังกว่าเก่า ก่อนเสียงเคาะจะดังไปตามฝาบ้านจนรอบบ้านแล้วมาหยุดที่หน้าประตูเหมือนเดิม  ผมล้มตัวนอนคลุมโปงทันที ขนลุกตั้งไปทั้งตัว คิดในใจว่ารอบๆ บ้านไม่มีระเบียงให้ยืน ใครจะมายืนเคาะได้ หรือคนจะเคาะได้ก็ต้องมือยาวกว่าสามเมตร ซึ่งไม่น่าจะใช่คน ผมสะกิดเรียกเพื่อนเบาๆ ก็ไม่ตื่น 

ผมจึงตัดสินใจลุกขึ้นเปิดไฟ ขณะเดินไปที่สวิตช์ไฟท่ามกลางความมืด กลับเห็นบางอย่างอยู่ตรงที่ประตูภายในบ้าน ผมเพ่งสายตามอง เห็นผู้ชายนั่งพิงประตูอยู่  ตอนนี้รู้สึกเย็นวูบ ขาแข็งก้าวไม่ออก สักพักผู้ชายคนนั้นก็ไอแห้งๆ ขึ้นมา!!  

ผมได้สติจึงรีบวิ่งไปเปิดไฟสว่างพรึ่บทันที หันกลับไปดูก็มีแค่ความว่างเปล่า จึงรีบกลับมานั่งพลางคิดในใจว่า เป็นเจ้าที่หรือผีตายโหงกันนะ  เพราะเคยได้ยินมาว่าบ้านที่ไม่มีคนอยู่นานๆ ผีหรือวิญญาณเร่รอนจะเข้ามาสิงสถิต คืนนั้นผมนอนเปิดไฟทั้งคืน แต่ก็ไม่กล้าบอกเพื่อน เพราะหากกลัวจะพากันหนีกลับ งานก็ยิ่งหายาก  

คืนถัดมาผมคิดว่าถ้าเจออีกสติแตกแน่ๆ  ผมจึงกินยานอนหลับ 2 เม็ด และก็ได้ผล หัวถึงหมอนผมหลับสนิททันที แต่พอเช้ามืดตื่นขึ้นมาเจอเพื่อนนั่งหน้าตาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน จึงถามมันว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ได้ความว่า เพื่อนฝันว่ามีผีผู้หญิงท้องผมยาวมายืนกลางบ้าน หน้าดำผิวดำเหมือนเอาถ่านหรือหมิ่นหม้อมาทาทั้งตัว ตาแดงฉานมองหน้าราวจะกินเลือดกินเนื้อ 

 “ที่นี่ของกู! พวกมึงออกไป!” 

หญิงท้องแก่คนนั้นพูดด้วยเสียงเกรี้ยวกราด พร้อมกรีดร้องลั่นบ้านจนมันสะดุ้งตื่นมากลางดึก ปลุกผมเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น สักพักมันก็ได้ยินเสียงเคาะข้างฝาข้างนอกบ้านและคนวิ่งบนหลังคาทั้งคืนจนมันได้แต่นั่งคลุมโปงนอนไม่หลับยันเช้า

เช้านั้นหลังกรีดยางเสร็จ ผมถามนายจ้างที่มาเอาน้ำยางว่า “นายครับ ผมจะไม่ไหวแล้วนะครับ ที่นี่มีอะไรกันแน่ ผมเจอมาสามคืนติดแล้วนะครับนาย” 

“ไม่มีห่าอะไรทั้งนั้น พวกมึงจะหาเรื่องให้ขึ้นค่าจ้างรึไง กูไม่ขึ้นให้หรอกนะ  มึงไม่ทำก็ไปให้พ้นหน้ากูทั้งคู่ แต่ค่าจ้างที่ทำมากูไม่ให้เพราะมึงจะไปเอง” นายจ้างมองผมกับเพื่อนแล้วด่ากราดเสียงดัง ผมทำได้เพียงยืนกำหมัดตัวสั่นทั้งที่ในใจคุกรุ่นแทบทะลัก 

“งั้นผมขอของมาไหว้เจ้าที่กับเซ่นผีหน่อยได้มั้ยครับนาย ตั้งแต่มาอยู่ไม่เคยไหว้เจ้าที่เลย เงินผมก็ไม่มีพอจะซื้อ” เพื่อนผมถามอย่างใจเย็น  ทำให้นายจ้างนิ่งไป แล้วก็ให้ผมกับเพื่อนนั่งรถไปเอาไก่ที่บ้านมาสองคู่ ขนม และธูปเทียน เก็บดอกไม้แถวๆนั้นมาเอง

ช่วงบ่ายจึงช่วยกันฆ่าไก่เอามาต้ม คู่หนึ่งเอามาไหว้เจ้าที่ ขนมและดอกไม้ตั้งบนโต๊ะตรงลานหน้าบ้านพร้อมทั้งจุดธูปไหว้ ส่วนไก่อีกคู่หนึ่งวางบนเก้าอี้จุดธูปปักไปที่ไก่พร้อมเหล้าขาวขวดหนึ่ง พอทำแล้วก็สบายใจขึ้นเพราะคิดว่าคงไม่มีอะไรแล้ว แต่…มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด

ค่ำวันนั้นหลังจากอาบน้ำกินข้าวเสร็จ ก็ปิดไฟกำลังจะนอน อยู่ๆ ก็มีเสียงโพล้งเพล้งอยู่หน้าบ้าน เมื่อเปิดไฟไปดูก็เห็นเครื่องเซ่นหล่นกระจายเต็มหน้าบ้าน ตอนแรกก็คิดว่าหมามากินเครื่องเซ่น แต่ตั้งแต่กรีดยางมาไม่เคยเห็นหมาสักตัว และเครื่องเซ่นก็อยู่ครบ เพื่อนบอกว่าท่าจะไม่ดีแล้ว คืนนี้เปิดไฟนอน พรุ่งนี้ค่อยมาเก็บเครื่องเซ่น  

ขณะกำลังหลับๆ ก็ต้องสะดุ้งตื่น เสียงประตูเปิดดังแกร๊ก! พร้อมกับเสียงเหยียบไม้กระดานดังเอี๊ยดๆๆ ใกล้เข้ามาที่เรานอนอยู่ เสียงนั้นเดินไปมารอบๆ ที่นอน ผมหรี่ตาขึ้นมองก็แทบจะหลับตาไม่ทัน ท่ามกลางไฟที่เปิดสว่างทั้งบ้าน ผมเห็นแค่ขาถึงเอว ไม่มีท่อนบน กำลังเดินรอบๆตัวผมกับเพื่อน 

ผมพยายามจะสะกิดเพื่อนแต่ร่างกายกลับแข็งทื่อขยับไม่ได้ แต่รู้สึกว่าที่นอนข้างตัวยวบลงสองข้างเหมือนมีคนยืนคร่อมตัวไว้แล้ว พร้อมกับกลิ่นเหม็นเน่าแตะจมูก หายใจแทบไม่ออก เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัวสุดขีด จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเพื่อนตะโกนว่า “เฮ้ย!สวดมนต์” เสียงเพื่อนทำให้ได้หลุดจากอาการตัวแข็ง แล้วรีบพนมมือสวดบทอิติปิโส แต่ขณะเริ่มท่อง อิติปิโส… 

“ตอนนั้นกูก็สวดบทนี้แหละ แล้วก็ไม่รอด ฮ่าๆๆๆ” เสียงเย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ พร้อมเสียงหัวเราะลั่นบ้าน

ผมคิดในใจว่า ถ้าไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ คงเป็นบ้าสติแตกแน่ๆ  จึงกลั้นใจจับมือเพื่อนกระชากให้ลุกวิ่งลงบ้าน มุ่งหน้าบ้านนายจ้างผม 

ขณะวิ่งฝ่าป่ายาง เสียงหัวเราะเยือกเย็นก็ดังขึ้นตามหลังมาติดๆ ผมกับเพื่อนหันหลังไปมองก็เจอเพียงท่อนล่างตั้งแต่เอวลงมาวิ่งตามมาด้วย ผมกับเพื่อนแหกปากร้องดังลั่นและวิ่งไม่คิดชีวิตจนถึงบ้านนายจ้าง รีบทุบประตูเรียกนายจ้างจนนายจ้างเปิดไฟลงมาเปิดประตู 

“พวกมึงเป็นอะไร หนีใครมา หรือใครมาปล้นน้ำยาง” นายจ้างถามด้วยอารมณ์ฉุน ๆ  

ผมรีบเล่าเรื่องที่บ้านหลังนั้นให้นายจ้างฟัง แกหลับตาพลางถอนหายใจ ก่อนหลุดปากออกมาว่า ปกติมันไม่เคยหลอกแรงขนาดนี้นี่หว่า ทำไมครั้งนี้เล่นกันขนาดนี้ 

“ผีที่เห็นเป็นน้องชายกูที่ตายไปเมื่อ 8 ปีที่แล้ว บ้านที่อยู่ก็เป็นบ้านของมันนั่นแหละ เมื่อก่อนน้องชายกูใช้เลื่อยวงเดือนตัดต้นยางที่ล้มเพราะพายุ ตัดเป็นท่อนๆ เอาไว้ขายอยู่หน้าบ้าน แต่ตอนลุกขึ้นยืนจะตัดเกิดหน้ามืดล้มไปโดนเลื่อยวงเดือนจึงถูกตัดตัวขาดครึ่งท่อน ส่วนเมียมันที่กำลังท้อง 6 เดือนก็ตรอมใจผูกคอตายบนขื่อนั่นแหละ ปกติคนมาอยู่ได้ไม่ถึงคืนก็ขอลาออก นี่คงเห็นว่าพวกมึงทนอยู่ได้หลายคืนเลยหลอกหนักเลยล่ะสิ” นายจ้างเล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

คืนนั้นผมนั่งอยู่ที่บ้านนายจ้างรอจนฟ้าสางจึงขอลาออกกลับบ้านเกิด ก่อนกลับนายจ้างยัดเงินใส่มือผมกับเพื่อนแล้วกำชับว่า “กูให้มึงคนละสองเดือน แต่พวกมึงห้ามไปเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง” ผมรับเงินแล้วหันหลังเดินจากตรงนั้นมาเงียบๆ ตั้งแต่นั้นมาผมกลับไปอยู่บ้านทำไร่ปลูกผักไม่เคยไปทำงานที่อื่นอีกเลย

ขอบคุณแหล่งที่มา  บล็อค TrueIDInrend โดย News collection

Previous articleสยองท้องในรีสอร์ทหลอน
Next articleอาถรรพ์บ้านไม้เก่า