เรื่องมีอยู่ว่าเราไปเป็น Staff ในค่ายๆหนึ่ง ซึ่งเป็นค่ายลูกเสือเนตรนารีที่ก่อตั้งมานานพอสมควรแล้ว ผมต้องนอนค้างที่นี่ทั้งหมดสามวันสองคืน ในวันนั้นเด็กๆในค่ายก็ประมาณ สองร้อยกว่าคน
ช่วงดึกของวันแรกจะมีกิจกรรมเล่นละคร ในห้องกิจกรรมมีแต่รูปสมัยโบราณ ละทีนี้ มีน้องกลุ่มนึง เล่นละคร นุ่งกระโจมอก พันผ้าพันตัวชิ้นเดียวเข้ามาในห้อง อยู่ดีๆบรรยากาศมันก็แบบ รู้สึกถึงพลังงานแปลกๆ มันดูทึมๆยังไงไม่รู้
พี่สตาฟทุกคนก็กลัวว่าจะเกิดเรื่อง แต่ไม่ได้เอะใจอะไร จนกระทั่งมีน้องผู้ชายคนนึงมาบอกว่า เมื่อกลางวัน มีน้องผู้หญิง สองคน เห็นผู้หญิงชุดขาว ยืนอยู่บนชั้นสองของอาคารโรงอาหาร ซึ่งอาคารนั้นน่ะ มันเป็นอาคารเก่า และชั้นสองก็ถูกปิดตายมานานแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าปิดเพราะอะไร ทีนี่ทุกคนก็เริ่มใจไม่ดี แต่ยังคิดว่าไม่น่ามีอะไรน่าาา ไม่ควรทำตัวตกใจให้น้องระแวง ก็เลยเงียบๆกัน
ทีนี้ตอนแบ่งห้อง เชลเตอร์ (บ้านพัก) มันเรียงตัว รอบสนามฟุตบอล สนามฟุตบอลอยู่กลางค่าย เชลเตอร์ หนึ่ง ถูกปิดตาย เพราะเจ้าของเดิม เสียชีวิตในนั้น เรากับทีมสตาฟ เลยนอน เชลเตอร์สอง ในเชลเตอร์มีคนนอนรวมกันประมาณสี่คน ห้องน้ำ เป็นห้องน้ำแยกออกไปข้างนอก ลมพัดผ่านเบาๆ ตอนกลางคืน ทุกคนก็ไปอาบน้ำปกติ แล้วมานอนรวมกันในห้อง เตียงก็เรียงกันแต่ไม่ติดกันมาก
ทีนี้ก็ยังไม่นอนหรอก เพราะคุยเรื่องแผนงานกันอยู่ แต่ระหว่างคุยนั่นแหละ มันก็เกิดเรื่องประหลาดบางอย่างขึ้น….
เมื่ออยู่ดีๆ เพื่อนคนนึง ก็เริ่มมองไปรอบๆ เชลเตอร์ มองจ้องตรงบานเกล็ด ช่องลม ที่อยู่รายรอบตัวบ้าน ทุกคนก็พยายามถามว่าเห็นอะไร เพื่อนก็ได้แต่สายหน้าว่าไม่มีอะไร
ทีนี้เราก็เอะใจ เราเลยหันไปมองบ้าง สิ่งที่เห็นคือ ผ้าขาวๆ ผืนนึง ลอยไปมาอยู่รอบๆ เชลเตอร์ เราก็แบบ เห้ยย ผ้าใครปลิว จึงเดินไปดูตรงที่ตากผ้า แต่ผ้าของทุกคนอยู่กันครับ
“อ้าวว แล้วมันคือผ้าของใครวะ??”
เราเริ่มระแวง และอากาศในห้องก็เย็นจนเหมือนกับเราเปิดแอร์หลายตัว ทุกอย่างมันยิ่งเงียบมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศเริ่มไม่สู้ดี เราก็เลยบอกว่า ย้ายห้องกัน เพื่อนทุกคนก็โอเค แล้วไปเคาะห้องรุ่นพี่ที่คุมไปด้วยกัน ที่เชลเตอร์สาม รุ่นพี่ก็ถามว่า เป็นอะไรกัน ห้องนั้นนอนไม่ได้เหรอ เราก็ได้แต่แบบ ขอเข้าไปก่อนนะพี่ ค่อยเล่า แล้วเราก็เริ่มเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้พี่ๆฟัง
ทุกคนเริ่มตกใจกับสิ่งที่เราเจอ ได้แต่ภาวนาขอให้ทุกอย่างราบรื่น แต่เรื่องราวมันก็ไม่ง่ายขนาดนั้น เรานั่งล้อมวงกัน แล้วจู่ๆเพื่อนคนนึง ก็เอามือชี้เพดาน แล้วพูดว่า
“เลือด เลือดเต็มไปหมดเลย เลือดจะหยดลงมา”
แต่ไม่มีใครเห็นเลือดที่ว่านั่น ทุกอย่างเริ่มสับสน เราบอกให้ทุกคนตั้งสติ แล้วช่วยกันสวดมนต์แผ่เมตตา แล้วเพื่อนคนนั้นก็เป็นลมสลบ แล้วนิ่งไปเลย
ทุกคนขวัญเสียกันมากขึ้น เราบอกให้ทุกคนข่มใจ แล้วนอนหลับให้ได้ ทุกคนปิดไฟ และพยายามจะหลับ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปช่วงประมาณตีสาม เราก็ได้ยินเสียง แก๊กๆ เหมือนมีคนเอาเล็บมาขูดมุ้งลวด เราสะดุ้งตื่น น้องอีกคนซึ่งเป็นช่างภาพของค่ายก็สะดุ้งมาพร้อมกัน เราถามน้องว่า ได้ยินเสียงไหม น้องพยักหน้า
เราบอกว่าลองเดินดูรอบๆ ซิ เราก็ค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วเดินดูไปรอบๆ ทุกอย่างเงียบ ยังไม่เจออะไร เราบอกน้องว่า มีกล้องอะ ถ่ายดิ น้องบอก เอาจริงเหรอพี่ เราก็พยักหน้า น้องก็เลยปีนขึ้นแล้วกดชัตเตอร์
รูปแรก เปิดแฟลช ถาพที่ได้ คือ แสงสว่างแบบจ้าๆ ยังไม่มีอะไร ภาพที่สองเราบอกว่าปิดแฟลชถ่าย ภาพที่ได้ คือ ผู้หญิงในชุดสีขาว คลุมหน้าแล้วเงยขึ้นมามองตรงบานเกล็ด เรากับน้องก็แบบ เห้ยยยยยย ยังไงต่อดีวะ
ทีนี้ก็มีเสียงแกร๊กๆ ดังมาจากข้างหน้า เราเลยไปตรงประตู แล้วบอกให้น้องถ่ายรูป ไม่เปิดแฟลช และภาพที่ได้ คือ กลุ่มคน เป็นเงาแสงสีขาวๆ เดินเหมือนเป็นรูปขบวนอะไรซักอย่าง คนข้างหน้า มีทรงหมวกคล้ายชฏาของพราหมณ์ สมัยก่อน เราก็แบบ เห้ยย ไม่ไหวแล้ววะ หลอนไนอนเถอะๆๆๆ เราก็ข่มตาจนรุ่งเช้า พยายามไปเจอหน้าเด็กๆ ในค่าย
น้องสามสี่คนวิ่งกระหืดกระหอบมาตอนเช้า มาหาเราแล้วบอกว่า พี่ค่ะๆๆ เมื่อคืนพวกหนูลุกไปฉี่กันไม่ได้ เราก็ถามว่าทำไม น้องบอกบางอย่างที่น่ากลัวออกมา น้องบอกว่า
“มีคนนอนอยู่ใต้เตียงพวกเราทุกเตียงเลย”
เท่านั้นแหละ เราว่าไม่ได้การณ์ละ เราเลยพาทุกคนไปไหว้เจ้าที่ และขอขมาทุกอย่างที่ล่วงเกินไป แล้วจะบอกว่า รูปในห้องหลอนมาก เหมือนคนในรูปมองตามเราตลอดไม่ว่าจะทำอะไร ถามใครในห้องก็บอกเหมือนกัน ว่ารู้สึกเหมือนถูกคนมองตลอดเวลา
พอไปถามประวัติ ก็พบว่า ที่ดินนี้เป็นวังของขุนนางสมัยรัชกาลที่ 5 แล้วเจ้าของค่ายก็ได้ทรัพย์สินตกทอดมา แล้วมาทำค่าย ตอนแรก ทำเป็นโรงพิธีไว้ทำงานพระราชพิธีต่างๆ โอ้โหวว พอรู้ประวัติเท่านั่นแหละ ถึงบาง อ้อเลยครับ!!
ขอบคุณที่มา สมาชิกพันทิปหมายเลข 2880457