“ฝ้ายผูกแขนของแม่”

ฝ้ายผูกแขน
ฝ้ายผูกแขน

เรื่องเล่าจากแฟนหนุ่มของเพื่อนร่วมงานภรรยาผมเองครับ น้องชื่อว่า “มานะ” ส่วนแฟนชื่อว่าน้องอุ้ม ครั้งเมื่อไปเดินเล่นที่ห้างกัน เมื่อสองสาวเข้าไปซื้อเครื่องสำอางและชุดชั้นใน เลยให้พวกผมรออยู่ที่โซนนั่งรอ 

มานะถามว่าพี่ใส่พระไหม ผมยิ้มแล้วบอกไม่ใส่พี่ แพ้พวกสายสร้อย มีแต่กำไลกะลาตาเดียวผูกด้วยชายผ้าถุงแม่กับยายไว้ 

มานะเห็นเลยล้วงเอาบางอย่างอยู่ที่คอออกมาให้ดู เป็นฝ้ายสีขาวหม่นๆใส่กรอบไว้กับทองเส้นสลึงนึง ผมบอกว่าฝ้ายมันต้องผูกที่แขนนี่นา มานะมองหน้าผมแล้วพูดว่าเดี๋ยวผมเล่าอะไรให้ฟังครับพี่…

ย้อนไปเกือบสิบแปดปีที่แล้ว หลังจากเรียนจบม.ปลายได้ปีกว่า ทางบ้านมานะที่จังหวัดเลยก็ประสบปัญหาหนี้สิน เงินกู้ยืมธกส.มาทำไร่ทำนาเริ่มจะหาไปใช้ไม่ทัน มีคนแนะนำว่าให้เขาลงมาหางานที่กรุงเทพฯสิ ถ้าไม่เกี่ยงงานและทำตัวดีๆน่าจะเก็บเงินใช้หนี้ได้เยอะ 

ด้วยความที่เป็นพี่ชายคนโตมีน้องชายกับน้องสาวอีกคน มานะตัดสินใจที่จะลงมากรุงเทพฯ วันออกเดินทางไม่มีสิ่งใดที่แม่จะให้เขา นอกเสียจากเงินขายข้าวราวๆเจ็ดร้อยกว่าบาทและฝ้ายสีขาวที่ผูกด้วยรักและหวังดีคุ้มครองบนข้อมือเขา 

มานะหอบกระเป๋าหนึ่งใบนั่งรถทัวร์มา หวังเพียงว่าจะมีหนทางหารายได้มาให้ครอบครัวที่รออยู่ มานะเป็นคนขยันคิดดีทำดี งานทุกอย่างขอแค่ไม่ผิดกฏหมายเขาทำได้หมด ทุกครั้งที่ได้เงินมาเข้าจะเก็บเงินใส่ไว้ในตู้เสื้อผ้าแล้วออกไปทำงาน 

หลังจากนั้นหกเดือนโชคร้ายมาเยือนเมื่อห้องเขาถูกโจรเข้ามาปล้น มันรื้อทุกอย่างรวมถึงเงินที่มานะเก็บไว้ประมาณสี่พันบาท (สมัยนั้นเยอะมากครับ) นั่นคือเงินที่เขาเตรียมไว้จะส่งให้ทางบ้านและจ่ายค่าห้อง 

เจ้าของห้องเช่าก็ใจร้ายเหลือเกิน เขาไม่มีเงินจ่ายก็หาว่าแกล้งทำเป็นขโมยเข้าปล้น มานะถูกไล่ให้ออกมาจากที่นั่น หอบกระเป๋าใบเดิม เดินออกมาด้วยความเลื่อนลอย 

เขาก้มมองดูฝ้ายสีขาวที่ผูกข้อมือน้ำตาก็ไหลริน รู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นลูกที่ใช้ไม่ได้เลย นั่งลงฟุบหน้ากับป้ายรถเมล์ คืนนี้คงต้องนอนที่นี่เสียแล้ว 

จังหวะนั้นสายตาเขามองไปที่ริมถนนเขามองเห็นหญิงสูงอายุคนหนึ่งเก้ๆกังๆเหมือนจะข้ามถนน มานะลุกขึ้นไปถามแกว่าจะข้ามถนนหรือครับผมช่วยไหม หญิงแก่นั้นยิ้มแล้วพยักหน้าให้ เขาจูงมือพาข้ามไปอย่างปลอดภัย 

จังหวะที่ยายเดินออกไปเขามองเห็นสิ่งหนึ่งร่วงลงกับพื้น เดินไปดูมันคือเงินปึกใหญ่ๆน่าจะเกือบแสน มานะเงยหน้ามาแกหายไปไหนแล้ว มองดูเงินแล้วคิดไปต่างๆนาๆถ้าเอาไปใช้หนี้ ธกส.คงพอแถมเหลือเงินให้น้องเรียนหนังสืออีก 

อยู่ๆฝ้ายขาวที่แม่ผูกให้ก็ขาดหล่นลงพื้น พอก้มเก็บคิดได้ว่าแม่ไม่เคยสอนให้เราเอาของๆใคร แม้เงินเพียงบาทสลึงก็ไม่ควรไปเอามา เขาเอาฝ้ายมาเก็บไว้ที่กระเป๋าเสื้อ เงินเอาใส่กระเป๋าไว้เดินไปที่ร้านสะดวกซื้อหวังว่าจะมีอะไรถูกๆทาน เห็นหลังใครตะคุ่มๆอยู่เก้าอี้ข้างร้าน 

มานะเดินไปดูเป็นยายคนเมื่อสักครู่ที่พาข้ามถนน แกดูหน้าตาเศร้าหมองเหมือนจะร้องไห้ เขาเลยเดินไปถามว่ายายเป็นอะไร แกบอกทำเงินหายว่าจะเอาไปให้ลูกผ่าตัดเพราะป่วยเป็นมะเร็ง มานะถามว่าเงินเท่าไหร่ครับยาย แกบอกแปดหมื่นบาท แต่เมื่อกี้มียายคนหนึ่งมาบอกว่าไม่ต้องกลัวเดี๋ยวจะมีคนเอาเงินมาคืนให้ มันจะเป็นไปได้ไงเงินเยอะขนาดนั้น คงไม่มีใครเอามาคืนแน่…

มานะบอกว่าผมเก็บเงินได้ครับ เพราะเห็นมันหล่นตอนที่คุณยายเดินไป คุณยายลองนับดูก็ได้ พอยายเห็นเงินนั้นก็ร้องไห้และกอดเขาพร้อมกับขอบคุณ มานะบอกไม่เป็นไรครับผมรู้ว่าคงทุกข์ใจ เป็นผมถ้าเงินเยอะขนาดนี้หายคงทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน แล้วเขาก็หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาบอกว่าเดี๋ยวผมไปซื้อของกินก่อนครับหิวข้าวมาก 

จังหวะที่มานะเปิดกระเป๋า พอยายเห็นรูปที่กระเป๋าก็ทักขึ้นมาว่า นี่ล่ะคนเมื่อกี้ที่มาบอกยายว่าเดี่ยวมีคนเอาเงินมาคืน  ใครกันหนุ่ม มานะตอบว่าแม่ผมเองครับ ยายจำผิดคนแล้วครับ ยายบอกคนนี้จริงๆ 

มานะแปลกใจว่าทำไมเป็นเช่นนั้น เลยตัดสินใจโทรศัพท์ตู้ไปที่บ้าน ปรากฏว่าดังไปสามรอบจึงมีคนมารับสาย พอปลายสายรับจำได้ว่าเป็นเสียงเขาก็สะอื้นไห้ทันที เขารู้เลยว่าเป็นน้องสาวคนเล็ก ถามว่าเป็นอะไร น้องสาวบอกว่าแม่ไปทำนาแล้วหน้ามืดเดินจะข้ามถนนมาพักที่บ้าน แต่ถูกรถชนเสียได้สองวันแล้วนี่ถ้าพี่ไม่โทรมาว่าจะเขียนจดหมายไปบอกนะ 

มานะเรี่ยวแรงไม่มีโทรศัพท์หลุดมือ เขาก้มหน้าร้องไห้กับตู้โทรศัพท์ ทำไมชีวิตช่างเลวร้ายเหลือเกิน แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเคาะกระจกเป็นยายคนนั้น แกซื้อข้าวกล่องมาให้พร้อมกับให้เงินจำนวนหนึ่งแก่เขา  นาทีนั้นความหิวความอยากได้อยากมีไม่รู้อยู่ไหน… 

มานะต้องการเพียงกลับไปหาแม่ เขาเล่าให้ยายคนนั้นฟังว่าแม่เขาเสียเมื่อวันก่อนแต่ตอนนี้เขาไม่มีค่ารถไปหาแม่เลย แถมยังตกงานอีก ยายเลยบอกว่าไปทำงานกับลูกชายคนโตยายไหมเป็นผู้จัดการอยู่ที่นั่นที่นี่ แล้วเอาเงินนี่ไปหาแม่ มานะนับดูแล้วประมาณห้าพันบาท ยายยังบอกว่าสบายใจแล้วค่อยมาหาลูกยายนะ เดี๋ยวให้รับทำงานเลย มานะขอบพระคุณยายแล้วรีบกลับบ้านทันที 

หลังจากงานศพแม่ผ่านพ้นไป เขาก็ได้ลงมากรุงเทพฯอีกครั้งพร้อมกับฝ้ายขาวที่ตอนนี้ไม่ได้ผูกแขนแต่เขาเอามาใส่กรอบแล้วห้อยคอ คำพูดหนึ่งของเขาที่ผมฟังแล้วประทับใจคือ… 

ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไรหรือไม่ว่าลูกจะอยู่ที่ไหน คนเป็นแม่ไม่เคยมีสักวินาทีที่ไม่คิดถึงลูก แม้กระทั่งหมดลมหายใจแม่ก็ยังเฝ้าดูลูกอยู่เสมอ ไม่มีวันเสื่อมคลาย 

ทุกวันนี้มานะมีงานที่ดีเป็นคนที่รักแฟนอย่างน้องอุ้มมากๆ ส่งเสียน้องจนเรียนใกล้จะจบทั้งสองคน และทุกครั้งที่จะทำสิ่งไม่ดี เขาจะมองเห็นฝ้ายขาวของแม่แล้วเตือนสติตัวเองว่าไม่ดีไม่ควรทำ แม่ยังอยู่ คำสอนดีดีของท่านยังตราตรึงในใจเสมอ เรื่องมีเท่านี้ครับ…

เนื้อเรื่องโดย : หาญ ใจสิงห์

Previous articleยุติการเผยแพร่
Next articleยุติการเผยแพร่