ขับดีๆเจอผีซะงั้น

ทางหลวง 340
ทางหลวง 340

เวลาขับรถเดินทางไกลๆมันก็เหมือนเป็นการเพิ่มโอกาสให้เราเจอผีตลอดระยะการเดินทาง แล้วการเจอผีตอนขับรถนี่มันก็เป็นของคู่กันไปแล้วจริง ๆ นะ ยิ่งขับกลางคืนด้วยแล้วละก็ ไม่ต้องพูดถึง… วันนี้ผมจึงหยิบเอาเรื่องจริงมายกตัวอย่างกันโดยมีสถานการณ์แบบเดียวกัน มาเล่าให้ฟังกันครับ

เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายนปี 2560 เรื่องมีอยู่ว่า.. วันนั้นผมกับน้องอีกคนต้องไปธุระที่กรุงเทพฯ ไปวันเดียวกลับไม่ค้างคืน ก็ขับรถจากจังหวัดสุพรรณบุรีไป โดยใช้เส้นทางที่คนแถวนี้น่าจะรู้จักกันดี คือเส้น 340 

ขับไปช่วงเช้าเหตุการณ์ปกติไม่มีอะไร แต่ขากลับซึ่งเป็นช่วงกลางคืนนี่สิ ปกติเส้น 340 จะมีบางช่วงที่มีไฟถนน และบางช่วงที่มืด มืดในที่นี้คือมืดชนิดที่ว่า เหมือนเข้าอุโมงเลย แบบซ้ายขวาหน้าหลังมองไม่เห็นอะไร มีแค่แสงสว่างของไฟหน้ารถเท่านั้น

เหตุการณ์มันเริ่มตอนผมวิ่งมาทางตรง ที่อีกสักประมาณ 4-5 ร้อยเมตรจะเข้าสู่ช่วงที่ถนนมืด ปกติของคนขับรถทั่วไป จะรู้สึกได้ทันทีหากมีอะไรก็ตามแปลกปลอม หรือมีวัตถุอะไรแปลกๆ อยู่ข้างทางซ้าย-ขวา แม้ว่าจะไม่ต้องมอง 

จังหวะนั้นเอง สายตาผมมันก็บังเอิญไปเห็นอะไรบางอย่างตั้งอยู่ตรงไหล่ทางด้านซ้ายมือ มีลักษณะเป็นสีดำๆ เหมือนแท่นอะไรสักอย่าง ด้วยความมืด บวกกับมองด้วยหางตาจึงไม่ชัด กะว่าขับเข้าไปใกล้ๆ อีกสักหน่อยจะมองอีกที.. 

พอขับเข้าใกล้สิ่งนั้นประมาณสัก 3-4 เมตร ผมจึงหันหน้าไปมอง ข้างถนนมีแต่ป่าหญ้า แล้วผมก็เห็นเป็นเงาสีดำครึ่งท่อนล่างของคน ใส่กางเกงสแลค รองเท้าคัทชู ยืนอยู่ใกล้กับไฟเลี้ยวด้านซ้ายหน้ารถเลย  ผมตกใจจนอุทานไปว่า “เห้ย!” 

ภาพตอนนั้นมันเร็วมาก แต่ก็ชัดเจนมากด้วยเช่นกัน ผมไม่ได้ตาฝาดแน่นอน จิตใจนี่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย มารู้ตัวอีกที ก็เข้ามาอยู่ในช่วงถนนที่มืดแล้ว..

น้องที่นั่งอยู่ด้วยข้างๆ ก็ตกใจไปด้วยถามผมว่ามีอะไร? ผมเลยบอกไปว่า “เออ ไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง..” 

ตอนนั้นกลัวก็กลัว มืดก็มืด ภาพเมื่อสักครู่ก็ยังติดตาอยู่ แถมผมยังเผลอทัก “เห้ย!” ไปอีกด้วย ในหัวก็ติด อ้าว..กูทักไปแบบนั้น เขาจะตามมาไหมน่ะ? ..

แต่สายตาไวกว่าความคิด ผมเหลือบไปมองกระจกมองหลัง เห็นเป็นเงาหัวคนนั่งอยู่เบาะหลังฝั่งคนขับ ที่มั่นใจเพราะปกติถ้ามองจะเป็นกระจกโล่งๆ มองเห็นไฟรถคันหลังได้ แต่ตอนนี้ มันมีเงามาบังอยู่ครึ่งหนึ่งของบานกระจกท้าย 

ตอนนั้นผมสติหลุดเลยครับ ตกใจตะโกนออกไปว่า “ลงไป! อย่าตามมา! ลงไป! เดี๋ยวไว้จะทำบุญกรวดน้ำไปให้..” สิ้นเสียงของผม ก็ได้ยินเสียงจากเบาะหลังรถ เหมือนมีของหล่นตุบ ทั้งๆ ที่ถนนไม่มีหลุมบ่อ หนังสือ ขวดน้ำ หรืออะไรก็ตาม เสียบไว้หลังเบาะแน่นหนาไม่น่าจะมีอะไรหล่นได้ 

เสียงนั้นมันยิ่งทำให้ผมกลัวเข้าไปอีก คิดไปหมดว่าจะมีมือเอื้อมมาจากด้านหลังไหม? จะเอื้อมมาจับแขน มาปิดตา หรือหักพวงมาลัยไหม? ใจนึงก็อยากลดความเร็วเพราะกลัวอุบัติเหตุ แต่อีกใจนึงก็อยากจะเหยียบให้พ้นจากถนนช่วงมืดนี้เร็วๆ แต่มองไปไกลลิบ ก็ยังไม่เห็นวี่แววของไฟถนน

ตอนนั้นผมได้แต่จินตนาการ ว่าอะไรที่เคลื่อนไหวอยู่ข้างหลังนั้นมันหายไปหรือยัง? ผมคิดอยู่นานว่าจะหันไปมองกระจกหลังดีไหม  จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจหันไปมอง ปรากฏว่าเงานั้นหายไปแล้ว กระจกหลังรถทั้งบานโปร่งใส จนเห็นไฟหน้าของรถที่ขับตามมาไกลๆ 

แต่สิ่งที่ทำให้ผมใจชื่น เหมือนยกภูเขาออกจากออก เมื่อมองตรงไปข้างหน้าไม่ไกลเห็นมีไฟถนนอยู่รำไรแล้ว  ผมรอให้ถึงตรงนั้นแล้วค่อยเล่าสิ่งที่ผมเห็นให้น้องฟัง.. 

เมื่อเล่าเหตุการณ์ทั้งหมด น้องได้ถามผมกลับมาว่า “เหมือนผู้ชายใช่ไหม?” ผมถามว่า “ทำไมรู้” น้องมันเลยบอกว่า “เมื่อกี้ก่อนถึงโค้ง ก่อนที่พี่จะร้องเห้ย! หนูเห็นผู้ชายยืนอยู่ริมถนนไกลๆ แต่พอรถเข้าไปใกล้ๆ ก็ไม่เห็นแล้ว..” 

ตอนนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่น้องเห็นจะเป็นสิ่งเดียวกับที่ผมเห็นไหม ถ้าเป็นคนเดียวกัน เขาเป็นใคร? ต้องการอะไร? แล้วทำไมผมถึงเห็นเขาแค่ครึ่งตัว? 

ผมกับน้องได้แต่คุยกันถึงสิ่งที่เห็นไปตลอดทาง คุยไปก็ขนลุกไป.. ผมได้แต่เร่งความเร็ว กะว่าจะไปให้ถึงปั๊มน้ำมันข้างหน้าที่อยู่อีกไม่ไกลนัก ซึ่งที่ปั๊มนั้นจะมีพระพิฆเนศอยู่.. พอไปถึงผมกับน้องก็รีบลงไปกราบไหว้ขอบารมีให้ท่านช่วย และแผ่เมตตาให้กับสิ่งที่ผมเจอ 

หลังจากนั้นผมก็ขับรถกลับถึงบ้านได้อย่างปกติ ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก.. ผมก็ไม่รู้ว่าที่ตรงนั้นเคยมีอุบัติเหตุอะไรหรือเปล่า แต่โชคยังดีที่ไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับผม..

Previous articleคนดีที่คุณไสยไม่ยอมเข้าตัว
Next articleดอกอ้อริมฝั่งโขง