ใครเป็นปอบ อีนี่มันเลี้ยงกู มันผิดข้อสัญญา มันคะลำมันตายแล้วร่างนี่เป็นของกู

ใครเป็นปอบ
ใครเป็นปอบ

สวัสดีครับผมชื่อพจน์ครับ ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนต่อ เพื่อจะไขว่ขว้าหาชีวิตที่ดีขึ้นในเมืองหลวงอันวุ่นวายแบบนี้

ตอนนี้ผมอยู่ปีสามแล้วครับ ปกติช่วงปิดเทอมใหญ่แบบนี้ผมก็จะหางานพิเศษทำเพิ่ม แต่บังเอิญเมื่อสองวันก่อนแม่ผมโทรมาบอกว่า ย่าไม่ค่อยสบาย เลยอยากให้ผมกลับมาช่วยดูแล เพราะช่วงหลังๆ ย่าแกเพ้อหาผมบ่อยๆ  สามวันดีสี่วันไข้ อาการไม่สู้ดีนักผมก็เลยรับปากไปว่าเดี๋ยวปิดเทอมผมจะกลับไป 

ผมเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัดพร้อมกับเพื่อนอีกสองคน คือไอ้นนเพื่อนรุ่นเดียวกันกับผม และน้องกลอยญาติผู้น้องของไอ้นน  พวกเราอยู่หมู่บ้านเดียวกัน สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เราไปขึ้นรถทัวร์ที่หมอชิตตั้งแต่เช้า กะว่าน่าจะถึงตัวอำเภอและต่อรถเข้าหมู่บ้านประมาณบ่ายแก่ๆ 

แต่วันนั้นเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น คือรถที่พวกเรานั่งมาเกิดยางแตกไปเส้นหนึ่ง เลยทำให้เวลามันคลาเคลื่อนไปหมด กว่าเราจะมาถึงตัวอำเภอก็เกือบมืด รถที่ว่าจะต่อเข้าหมู่บ้านก็หมดพอดี เราสามคนจึงต้องนั่งรอให้พ่อผมขับรถมารับแทน โดยผมโทรไปบอกพ่อไว้แล้ว พ่อผมบอกว่าเดี๋ยวกลับมาจากนาจะไปรับเอง

เรานั่งรอกันอยู่ท่ารถ มันเป็นอาคารพาณิชสามชั้นที่ดัดแปลงข้างล่างให้เป็นกึ่งๆ ท่ารถ มีทั้งรถตู้โดยสาร และรถบัสโดยสาร ผู้คนก็ค่อนข้างคร่าครั่งพอสมควร รอแล้วรอเล่าพ่อก็ยังไม่มาฟ้าก็เริ่มมืด 

สักพักก็มีผู้หญิงรูปร่างเล็กๆ ผิวขาวจั๊วหน้าตาจิ้มลิ้มคนนึง. เดินมาถามผมเป็นภาษาลาว “สบายดี ชื่ออ้ายพจน์แม่นบ่อ” ผมมัวแต่ตะลึงกับความน่ารักของเธอเลยตอบเธอแบบตะกุกตะกัก “คะ คะ ครับ..สบายดีครับ ผมชื่อพจน์ครับ”  จากนั้นเธอก็รีบวิ่งไปตามใครคนหนึ่ง แล้วจูงมือผู้ชายวัยกลางคนให้เดินมาทางพวกผม พอเขาคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ผมจึงได้รู้ทันที ชายคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คืออาโชคน้องชายพ่อผมเองครับ

ผมโผเข้ากอดอาโชคด้วยความดีใจสุดๆ ผมไม่ได้เจออานานมากแล้ว อาโชคบอกผมว่าแกเพิ่งกลับมาอยู่ที่บ้านได้หลายวันแล้ว เป็นห่วงย่าแกไม่ค่อยสบาย และแกได้พาเมียกลับมาด้วย แกแนะนำให้พวกผมรู้จักเมียแก สาวสวยคนนี้ที่ยืนข้างๆ อาโชคเธอชื่อ”สุดา” ครับ

พวกผมกำลังจะยกมือไหว้เธอก็รีบยกมือห้ามใหญ่ เธอบอกว่าเธออายุ 19 เอง อย่าไหว้เธอเลย เพราะดูแล้วผมกับไอ้นน น่าจะอายุมากกว่าเธอ ผมกับไอ้นน ได้แต่หันมามองหน้ากันเหมือนจะรู้กันนั่นแหละครับ อาโชคแกแน่นอนจริงๆ มีเมียสวย แถมเด็กกว่าเป็นรอบเลย กลอยพูดขึ้นมาว่า งั้นสุดาก็คงอายุเท่ากันเธอสิ ยินดีที่ได้รู้จัก บ้านเราอยู่ใกล้ๆ กันคงได้พูดคุยกันในวันข้างหน้า 

จากนั้นพวกเราก็ได้ขึ้นรถกลับกัน. โดยพวกผมสามคนนั่งกันข้างหลังรถกระบะ ส่วนอาโชคกับเมียก็นั่งในรถเพราะมันเป็นกระบะตอนเดียว พวกเราสามคนนอนเรียงกันบนกระบะเหมือนตอนเด็กๆ  เส้นทางจากอำเภอถึงหมู่บ้านประมาณสามสิบกิโลน่าจะได้ มันไม่ไกลแต่ก็นั่งรถนานพอสมควรเพราะถนนหนทางยังไม่ค่อยจะดีนัก พอเลี้ยวเข้าทางไปหมู่บ้านถนนก็จะเป็นลูกรังตลอดทาง มีหลุมบ้าง ประปราย ถ้านั่งโดยไม่มีอะไรรองตูด รับรองอาจจะร้าวจากตูดยันต้นคอเลยทีเดียว

ด้วยความที่มันมืดแล้ว ท้องฟ้าตอนนี้เห็นดาวได้ชัดมาก พวกผมก็คุยเล่นหยอกล้อกันไปตลอดทาง แต่จะว่าไปก็น่าจะเป็นผมกับกลอยซะมากกว่า ส่วนไอ้นนนั้นอยู่มันก็เงียบขรึมขึ้นมา แล้วก็นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปตลอดทาง แต่ก็ช่างมันเถอะครับผมแค่คิดว่ามันทำเก็กไปอย่างนั้นตามประสาคนหล่อ

เรามาถึงบ้าน พร้อมกับได้กลิ่นหอมของกับข้าวแม่ ไอ้นน กับ กลอย ลงจากรถพร้อมกับสวัสดีคนในบ้านผมอย่างสนิท  แม่ชวนให้ทั้งสองคนกินข้าวที่บ้านก่อนเพราะที่บ้านไอ้นน ไม่มีคนอยู่ เค้าไปงานบุญที่ต่างอำเภอสองสามวัน เลยฝากแม่ผมช่วยดูแลทั้งสองด้วย  ในขณะเดียวกันอาโชคกับเมียเมื่อจอดรถเสร็จก็เดินกลับบ้านตัวเองทันที ที่อยู่เลยเข้าไปในสวนกล้วย ด้านหลังบ้านผม มันเป็นบ้านชั้นเดียว ปลูกแบบเรียบง่ายที่อาโชคเคยให้ปู่กับพ่อผมช่วยกันสร้างสมัยที่แกยังหนุ่มๆ 

ไอ้นน ตะโกนถาม  “อาโชคไม่กินข้าวก่อนหรือครับ “ อาโชคก็บอกว่า”เอาเลย เอาเลย อาทำกับข้าวไว้แล้วเดี๋ยวจะไปกินที่บ้าน” พร้อมกับรีบจูงมือเมียสาวเดินกลับ เธอหันมามองไอ้นน ด้วยสายตาหวานเยิ้ม

ผมแอบเห็น แต่ไอ้นนมันหล่อมากจริงๆ ทั้งสูง ทั้งขาว หน้าตาถอดมาจากพระเอกซีรี่ย์เกาหลีเป๊ะ!! ผู้หญิงมองแบบนั้นก็ไม่แปลก

แม่ผมเลยพูดขึ้นมาว่า “สงสัยอาโชคของพวกเอ็งจะหวงเมียละม้าง” พร้อมกับหัวเราะขึ้นมาเบาๆ 

ระหว่างกินข้าว เราก็นั่งกับพื้นล้อมวงกัน  สำรับกับข้าวที่บ้านผม คือทุกอย่างที่เป็นกับข้าวจะอยู่ในถาดกลมๆ สีขาวขอบแดง มีลวดลายที่ขอบถาดเป็นลายกาไก่สมัยก่อน กับข้าววันนี้เยอะจนล้นถาดเลยครับ อาจจะเพราะแม่ผมดีใจที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกลับบ้าน 

พอทุกคนประจำที่ได้ ก็จกข้าวเหนียวขึ้นคนละปั้นเป็นการเตรียมอาวุธ ก่อนจะเริ่มรบกับอาหารพื้นบ้านที่คุ้นเคยตรงหน้า เรากินไปพูดคุยกันไป ในวงนั้นมีพวกผมสามคน พ่อและก็แม่ ส่วนย่าแกกินยาแล้วหลับไปแต่หัวค่ำแล้ว อยู่ๆ ผมก็ถามมาถึงเรื่องอาโชคกับเมียขึ้นมา แม่เลยเล่าให้ฟังว่า 

“อาโชคเค้าไปทำงานก่อสร้างอยู่แถวเชียงแสนแล้วก็ไปเจอกับเมียที่นั่น สุดาเธอเป็นคนลาวอยู่กินกันมากับอาเอ็งได้ปีกว่าแม่ผู้หญิงก็เสียพอไม่มีญาติทางนั้นอาโชคก็เลยพากันกลับมาอยู่ที่บ้านเรานี่แหละ เพราะทางเราก็มีที่มีทางพอได้ทำนาทำสวนได้”

แต่พ่อกลับบอกว่า “แต่ย่าไม่รู้เป็นอะไรทำท่าไม่ชอบลูกสะไภ้คนนี้เอาซะเลย น่าสงสารนังสุดามันเหมือนกัน”

พวกเราก็ได้แต่ฟังแบบผ่านๆ ไม่มีอะไรมากเพราะดูแล้วก็ปกติ ไม่มีอะไรน่าสงสัย พอกินข้าวเสร็จผมก็เดินไปส่ง กลอยกับไอ้นน บ้านไอ้นน มันจะติดกับเขตรั้วบ้านผมแต่จะต้องเดินอ้อมไปทางบ้านของอาโชค เพราะตอนนี้พ่อผมกับอาขุดบ่อเลี้ยงปลาไว้ พอไปถึงบ้านอาโชค ไอ้นนก็หยุดเดินกระทันหันจนผมกับกลอยที่เดินตามชนกันแทบหัวคะมำ

ผมเลยเงยหน้าขึ้นมามอง ภาพที่เห็นคือสุดานุ่งกระโจมอกอาบน้ำ กำลังตักน้ำราดตัวเองอยู่ตรงโอ่งข้างบ้าน แม้จะมืดแต่ผิวขาวๆ ของเธอ ก็เห็นได้ชัดเจน ผ้าถุงเปียกแนบเนื้อสาวสวยบอกเลยครับ เซ็กซี่มากๆ 

จนกลอยต้องตีแขนผมกับไอ้นนเพื่อให้หลุดจากภวังค์ กลอยดุนิดๆ  บอกว่านั้นอาสะไภ้นะ. เก็บอาการหน่อย แถมบ่นสุดาอีกว่า ห้องน้ำก็มีไม่เข้ามายืนอาบน้ำให้คนเห็นทำไม ผมก็หัวเราะเบาๆเอ็นดู ความขี้บ่นของกลอย แล้วหันมามองไอ้นน ปรากฎว่าเหมือนมันกำลังสบตาหวานฉ่ำ อยู่กับสุดาอาสะไภ้ผม 

ผมเริ่มไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่เลย ไม่ได้หมายถึงไอ้นนเพื่อนผมนะ แต่ผมหมายถึงสุดาเธอไม่ควร

มายืนอาบน้ำให้คนเห็นแบบนี้ ตามที่กลอยบอกแถมทำตามเยิ้ม ใส่ผู้ชายคนอื่น ทั้งๆ ที่มีผัวอยู่ในบ้านแบบนั้นมันไม่เหมาะเลยจริงๆ 

พอส่งไอ้นนกับกลอยเสร็จ ตอนผมเดินกลับผมก็เจอสุดายืนอยู่หน้าบ้าน คราวนี้เธอกลับเหมือนคนละคนเลยครับ เธอยืนทำหน้าบึ้งตึง แววตานี่แข็งมากจนผมขนลุก แต่ไม่ได้มองมาที่ผมนะครับเธอมองไปที่บ้านผม ผมเองก็ได้แต่งง แล้วก็รีบเดินกลับบ้านทันที  

เช้าของอีกวันย่าตื่นขึ้นมานั่งคุยกันแต่เช้าถามว่ามาถึงตอนไหน มายังไง ย่ารอจนหลับไป ผมเลยบอกว่าอาโชค กับเมียไปรับ ย่าตกใจใหญ่ โวยวายว่าไม่ให้ผมไปใกล้ไปพูดคุยกับอีสุดา “มันเป็นผี มันสิกินบักโชค” ผมต้องปลอบยกใหญ่ ผมเองก็เริ่มคิดแล้วว่าสุดาแปลกๆ แต่จะตัดสินเธอแบบนั้นก็คงไม่ได้หรอกต้องรอดูกันต่อไป 

สักพักไอ้นนก็มาพาผมจะชวนไปใส่เป็ดที่นา ผมเลยลงมาหาไอ้นน พอเดินออกมาพ้นรั้วบ้านมันก็เริ่มเล่าเรื่องที่มันเจอเมื่อคืนให้ผมฟังทันที “เมื่อคืนกูว่ากูเห็นผีว่ะ แต่กูไม่แน่ใจ กูมองผ่านหน้าต่างบ้านกูเห็นผู้หญิง เดินไปเดินมาอยู่แถวๆ สวนกล้วยบ้าน ที่รู้ว่าเป็นผู้หญิงเพราะใส่ผ้าถุง แต่มีผ้าโผกหัวไว้จึงไม่เห็นหน้าว่าเป็นใคร ตอนแรกกูสงสัยว่าคนที่เห็นนั้นทำอะไร  ตอนเช้ากูเลยเดินเลาะสวนกล้วยนั้นมาดูร่องรอย ปรากฎว่ากูเห็นกองขี้วัว ขี้ควาย มีรอยมือเหมือนมันคว้านเอามากิน”

ผมนี่ขำลั่นเลยครับ “ปัดโธ่กูก็นึกว่ากินไก่กินเครื่องในเหมือนในหนัง” ผมมองว่าไอนนมันคิดมากไปเองครับ 

ผมกลับถึงบ้านตอนเย็น เห็นแม่ทำกับข้าวอยู่ เลยถามว่าแม่ทำอะไรกินวันนี้ แม่บอกว่าย่าให้ทำพวก ลาบเลือด ซกเล็ก แล้วให้ไปชวนอาโชคกับสุดามากินด้วยกัน แต่ย่าไม่นั่งร่วมวงด้วยนะครับ แกนอนเร็วมาก จะเรียกว่านอนเร็วก็ไม่ถูก แกนอนทั้งวันเลยต่างหาก อาจจะเพราะแกแก่มากแล้วเลยไม่มีเรี่ยวแรงสักเท่าไหร่

ผมรู้ได้ทันทีเลยครับว่าย่าอยากจะให้ผมเห็นว่าสุดากินขอดิบ ของสด เพื่อให้เชื่อแกว่าสุดาเป็นผี แล้วก็จริงดังว่าครับสุดาเห็นลาบเลือดสดๆ เธอกินแบบลืมตัวแทบไม่เหลือ แต่ก็ไม่ได้ดูมูมมามตะกละตะกลาม

เหมือนในหนังนะครับ ถ้ามองแบบไม่อคติก็เหมือนคนกินข้าวธรรมดาทั่วๆ ไป แต่ในหัวผมมันฝังความกลัวไปแล้ว

พอสักหนึ่งทุ่มฝนก็เริ่มตกหนัก จนกลายเป็นพายุเลยก็ว่าได้คืนนั้นทั้งคืน พายุหอบเอาหลังคาบ้านอาโชคปลิวไปด้วยเลยครับพอตอนเช้าอาโชค เลยหอบข้าวของส่วนตัวกลับมาอยู่ที่บ้านผมซึ่งเป็นหลังใหญ่มีหลายห้อง อาโชคพาเมียมานอนห้องข้างๆ ผม และห้องอาโชคตรงข้ามกับห้องย่าพอดี สุดาดูไม่ค่อยจะกล้ามองไปทางห้องของย่า เธอดูหลบตาย่าตลอด ย่าเองก็จ้องสุดาไม่วางตาเช่นกันอาโชค คงต้องอยู่ที่บ้านผมอีกยาว เพราะบ้านเสียหายหนักมาก ช่วงนี้ฝนตกบ่อยหน้าจะเป็นพายุฤดูร้อนก่อนที่จะร้อนสุดๆ

ในเดือนเมษา

ไอนนมันมาชวนผมไปส่องกบตอนกลางคืนเพราะฝนเพิ่งตกน่าจะมีกบเยอะ ผมเองก็รีบไปโดยไม่ได้บอกใคร เราเดินเลาะออกสวนกล้วยผ่านบ้านอาโชค ออกไปทุ่งนาด้านหลัง ยังไปได้ไม่ไกลไอ้นนมันก็รีบดึงผมหลบแล้วปิดไฟฉายที่หมวก เพราะมีเงาของผู้หญิง เดินตะคุ่มๆ กึ่งเดินกึ่งย่อง ใส่ผ้าถุงดำๆ  แล้วก็มีผ้าคล้ายผ้าขาวม้าคลุมหัวไว้จนมองไม่เห็นเลยว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ในมือถืออะไรคล้ายๆ เชือกพอดูชัดๆ เห้ย!!!นั่นมันงูนี่หว่า

ผู้หญิงคนนั้นนั่งแอบๆ อยู่พุ่มไม้แล้วก็เริ่มกัด เริ่มฉีกงูตัวนั้น เหมือนสัตว์กินเหยื่อมากกว่าจะเป็นคน ผมกับไอ้นนยืนตัวแข็งทื่อไปหมด ได้แต่แอบมองอยู่ไกลๆ สักพักพอเธอคนนั้นกินงูเสร็จ   ก็ไล่จับกบจับเขียดกินต่ออยู่พักใหญ่ ทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาของเราสองคน เราพยายามมองด้วยความอยากรู้ว่าเป็นใคร แต่มองอย่างไรก็ไม่เห็น ถ้าเข้าไปใกล้กว่านี้ก็ไม่กล้า บอกตามตรงผมกลัว ถ้าเป็นปอบแบบในหนังจะทำอย่างไร ขออยู่ไกลๆ ดีกว่า สักพักร่างหญิงคนนั้นก็เดินไปทางสวนกล้วยบ้านผม เข้าเขตรั้วบ้านก็เดินตรงไปยังบ่อน้ำแล้วก็ทำการล้างตัวล้างหน้า ก่อนจะเดินไปบ้านผม  ผมตกใจมากครับ ร่างนั้นเดินขึ้นบ้านผมไป 

อะไรกันเนี่ย อย่าบอกนะว่าคนที่ผมเห็นกินสัตว์พวกนั้นเป็นคนในบ้านผมเอง ในหัวผมมันตื้อไหม รึว่าจะเป็นสุดาแบบที่ย่าบอก แต่เรามองไม่ชัดนี่หว่า จะกล่าวหาเค้าได้อย่างไร ไอ้นนบอกให้ผมไปนอนที่บ้านมันคืนนี้

เช้าวันรุ่งขึ้นสุดามาเรียกผมที่บ้านไอนน บอกว่าแม่ผมให้มาเรียกไปกินข้าว ผมนี่ตกใจมากเลยครับเพราะยังนึกถึงเรื่องเมื่อคืนอยู่ ผมขอเข้าห้องน้ำ ไปทำธุระสักครู่ตอนนั้นไอ้นนเลยยื่นรอผมอยู่กับสุดา ทั้งสองคนคุยอะไรกัน เสียงเบามากผมได้แต่หันไปมอง ท้องใส้ผมมันก็ดันปั่นป่วนขึ้นมา จนต้องเข้าห้องน้ำไปก่อน พอผมออกมาทั้งสองคนก็หยุดคุยแล้วก็เดินไปเสียดื้อๆ ผมเองก็หงุดหงิดไม่น้อยแต่ก็ยังเก็บอาการไว้

พอไปถึงบ้านผมก็เข้าไปหาย่าก่อน ย่าก็ยังนอนอยู่เหมือนเดิมผมเลยไม่กล้าปลุก สุดาเปิดประตูมาพอดี เพื่อจะเอาข้าวมาให่ย่า อยู่ๆย่าก็ลุกขึ้นมาตวาด ไล่สุดาออกจากห้อง “อีผีบ้า อย่าเข้ามาหากู ออกไปออกไป” สุดาตกใจรีบวางถาดข้าวแล้วหลบออกมาจากห้อง ผมเองตอนนั้นก็สงสารเธอเหมือนกัน 

ตอนผมจะเดินผ่านห้อง เธอรีบเข้าไปในห้องแล้วเดินมาหาผมเธอยื่นสายสิญจน์ให้ผมสามเส้น บอกว่าให้ผมเอาไปให้ กลอยกับไอ้นนด้วย เธอบอกผมว่าช่วงนี้ ถ้าไม่จำเป็นอย่าออกไปไหนตอนกลางคืน อย่าเปิดประตูให้ใคร แล้วก็อย่ารับของแปลกๆ จากใคร ตัวผมเองก็รับมาแบบงงๆ

ตกดึกคืนนั้นพ่อกับอาโชคไม่อยู่ขับรถไปตั้งแต่เมื่อวานเย็น ตอนนี้ยังไม่กลับเลย ผมก็ล็อคห้องนอนตามปกติ จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ก๊อก ก๊อก ก๊อก “อ้ายพจน์นอนแล้วบ่อเปิดประตูให้น้องแน่อ้าย”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก “อ้ายพจน์ อ้ายพจน์” สักพักเสียงก็เปลี่ยนไปเป็นเสียงแก่ๆ นั่นมันเสียงย่าผมเองครับ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก “พจน์เอ้ยเปิดประตูให้ย่าแน่  ย่าหิวข้าว หาข้าวให้ย่าแน่”

ผมทำอะไรไม่ถูกเลยครับตอนนั้นโทรเข้าเครื่องแม่ คือแม่ผมนอนชั้นบนแล้วเป็นห้องแอร์น่าจะไม่ได้ยินเสียงอะไร ผมบอกแม่ว่า “แม่ แม่ สุดา กับย่ามาเคาะห้องผม” แม่เลยบอกว่าสุดานอนดูหนังอยู่ที่ห้องแม่ ผมตกใจมากเลยครับ เพราะผมได้ยินเสียงสุดาจริงๆ หรือว่า เสียงนั่นจะเป็นการกระทำของย่าผม

แม่บอกผมว่าอย่าออกจากห้อง รอจนกว่าพ่อจะมา ยังไม่ทันขาดคำ พ่อผมกับอาโชคก็กลับบ้านมาพอดี พ่อมาพร้อมกับผู้ชายแก่ๆ คนหนึ่ง ที่ใส่ชุดสีขาวทั้งตัวเหมือนคนถือศิล  ผมได้ยินเสียงพ่อพูดเสียงดังว่า

“หยุดเดี๋ยวนี้อีผีฮ้าย สิเฮ็ดอิหยังลูกกู” แล้วก็ได้ยินเสียงวิ่งไปทางครัว ผมเลยเปิดประตูออกไปดู ผมเห็นย่ายืนจังก้าไม่เหมือนคนป่วยเลยครับ ยืนหลังตรงเหมือนคนเป็นสาวๆ ใส่เสื้อคอกระเช้า ผ้าถุงหลุดลุ้ยไปหมด ผมเผ้ารุงรังประกอบกับผิวที่เหี่ยวแห้งดูน่ากลัวมาก 

คุณลุงชุดขาวเดินถือกริชเข้าไปใกล้ๆ ย่าผม ย่าผมนั่งลงยกมือท่วมหัวแล้งพำพัมว่า

“ย่านแล้ว ย่านแล้ว อย่าเฮ็ดกู”

“ต้องการอิหยัง” ลุงชุดขาวถาม

“กูเป็นผีเป้า อีนี่มันเลี้ยงกู มันผิดข้อสัญญา มันคะลำมันตายแล้วร่างนี่เป็นของกู” ผีในร่างย่าผมพูดด้วยเสียงกลัวๆ

“บ่อได้สิมาสิงร่างคนบ่อได้! เป็นผีก็ไปอยู่ส่วนผี”

“กูบ่อไป กูบ่อไป!!”

แล้วอาโชคก็เอากระทงเล็กๆ แห้งออกมาจากห้องย่า พอมันเห็นก็ทำท่าจะกระโจนเข้าใส่ แต่ก็ต้องถอยห่าง ด้วยความกลัวชายผู้ถือกริช เล่มนั้นอยู่ ลุงชุดขาวเอากระทงมาถือไว้ แล้วถามย่าผมอีกรอบว่า จะไปจากร่างนี้ได้หรือยัง ย่ายังยืนยันคำเดิมว่าไม่ไป

แล้วคุณลุงชุดขาวก็บริกรรมคาถา ร่างย่าเริ่มนิ่งแล้วนั่งลงโยกตัวโอนเอน ไปมาเหมือนจะกำลังต่อสู้กับอะไรในร่างกายตัวเอง แล้วลุงชุดขาวก็เอากฤษเล่มนั้นจิ้มเข้าไปที่กระทงแห้งๆ นั่น พร้อมบีบจนกระทงบู้บี้ ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของย่าผม ก่อนร่างย่าผมจะล้มตัวลง เชื่อมั๊ยครับพอสิ้นเสียงร้อง ทุกคนได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยมาจากร่างย่าทันที มันเหม็นเหมือนย่าตายจนเน่าไปแล้ว แล้วร่างของย่ากลายเป็นร่างผอมๆ เหมือนหนังหุ้มกระดูกเลยครับ และใช่ครับร่างนี้ไรลมหายใจ ผมได้แต่ยืนอื้งทำอะไรไม่ถูก 

ลุงชุดขาวหันมาถามผมว่าไม่ได้รับอะไรมาจากย่าใช่มั๊ย ผมก็ตอบว่าไม่ได้รับอะไรมาครับ แกก็บอกว่าดีแล้ว ไม่งั้นผมเองจะต้องรับภาระเลี้ยงมันต่อ ผมนี่ใจหายวาบเลย สุดาเดินลงมาจากบนบ้านแล้วก็เดินมาหาลุงชุดขาวก่อนจะไหว้ แล้วพูดขึ้นมาว่า “สบายดี พ่อจัดการแล้วแม่นบ่”

หืม พ่อ!!!  นี่คือพ่อของสุดาหรอเนี่ยนึกว่าไม่มีญาติที่ไหนแล้ว สรุปคือสุดามีพ่อเป็นคนไทย แต่พ่อกับแม่ของสุดาเลิกกันสุดาจึงไปอยู่กับแม่ที่ฝั่งลาวส่วนพ่อสุดาก็เป็นหมอธรรม หรือจะว่าเป็นคนทรงก็ไม่เชิงครับ เพราะหมอธรรมทางอิสาน จะเป็นสายขาวคอยช่วยเหลือคนและอยู่ในศิลในธรรมเสียมากกว่า

เสร็จจากงานศพย่า ผมก็เลยมีโอกาสได้คุยกับอาสะไภ้คนสวยคนนี้มากขึ้น ผมขอโทษเธอที่แอบคิดว่าเธอเป็นผี ตามที่ย่าบอก เธอบอกผมว่าไม่เป็นไร ผมถามว่าเธอรู้ได้อย่างไรว่าย่าโดนสิ่ง เธอบอกว่า ตั้งแต่วันแรกที่เธอมา เธอก็รู้สึกได้ว่ามันผิดปกติ คืนที่สองหลังจากเธอมานอนที่บ้านใหญ่ เธอมีรอบเดือนพอดีจึงผลัดผ้าถุงกะว่าจะเอาไปซักแต่พอดีแม่ผมเรียกไปทำธุระเลย ต้องวางทิ้งไว้พอทำเสร็จเธอก็กลับเข้าบ้านมา เธอเห็นย่าผมกำลังนั่งเลียผ้าถุงที่เปื้อนฤดูของเธออยู่ ย่าหันหน้ามาอย่างจัง ก็เลยวิ่งไปเอาทองมาให้สุดาเส้นหนึ่ง บอกสุดาว่าห้ามบอกใคร แต่เธอไม่รับ เธอเองไม่กลัวเพราะเคยเห็นและคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้มาแต่เด็กช่วงที่อยู่กับพ่อ แล้วบอกให้ผีร้ายออกไปจากร่างย่าผม ผีนั้นรับปากแต่ก็ไม่ทำตามสัญญา 

เธอเล่าเรื่องนี้ให้อาโชคฟัง อาโชคคิดว่าเธอไม่ถูกกับแม่ผัวเลยพาย้ายไปอยู่หลังสวนกล้วย ย่าเองก็ยังตามไปเอาไม้เอาหินไปเขี้ยงใส่หลังคาบ้านเธอประจำ แล้วก็ขู่เธอว่าจะให้เธอเลี้ยงผีต่อ จนวันที่ต้องย้ายกลับมาที่บ้านอีกครั้ง น่าจะเป็นวันเดียวกับที่ผมกับไอนนไปส่องกบนั่นแหละครับ ไม่ได้มีแค่ผมกับไอ้นนเท่านั้นที่เห็น แต่พ่อกับอาโชคก็ตามย่ามาเช่นกัน เธอเลยแนะนำให้พ่อผมกับอาโชค ไปหาพ่อของเธอ ว่ามีอะไรจะพอช่วยได้บ้าง แต่ไม่คิดว่าย่าผมจะตายไปนานแล้ว 

และที่เธอคุยกับไอ้นนวันนั้น เพราะเธออยากจะเตือนว่าถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเข้าไปหากบหาเขียดอะไรหรอกดึกๆ มันอันตราย แต่จริงๆ เธอกลัวว่าจะไปเจอย่าผมมากกว่า

ตอนนี้ผมกลับมากรุงเทพแล้วแล้วครับ ผมยังคุยกับไอ้นนถึงเรื่อง ที่เกิดขึ้นอยู่เลยว่าเคยได้ยินแต่ ผีปอบ ไม่เคยรู้เลยว่าจะมีผีเป้าด้วย แถมยังคล้ายกันอีก แต่ผิดที่ผีเป้าจะกินทุกอย่างแม้กระทั่งขี้ควาย ขี้หมา คิดแล้วก็ยังขนลุกอยู่เลยครับ

ผู้เขียนเพลินไดอารี่  

ติดตามอ่านเรื่องเล่าผีต่อได้ที่ คลังหลอน

Previous article“สยองในโรงพยาบาล 2 คืน ติดๆ รพ แห่งนึง ย่านถนนพระราม 2”
Next articleหน้าที่ของแม่