เปรตป้ารำไพ

เปรตป้ารำไพ
เปรตป้ารำไพ

ประมาณ 5 ปีที่แล้วเราได้มีโอกาสไปอาศัยอยู่กับญาติเป็นช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากเกิดอุบัติเหตุรถชน จึงต้องพักรักษาตัวประมาณ 2 เดือน ด้วยตัวเราเองก็อยู่ตัวคนเดียว ส่วนแม่ก็อาศัยอยู่กับพ่อเลี้ยงชาวต่างชาติ อยู่ที่ต่างประเทศ ท่านเลยฝากฝังให้ญาติของท่านช่วยดูแลเราที เราขอเรียกบุคคลท่านนี้ว่า น้าสวย นะคะ

โดยให้เราไปอาศัยอยู่กับน้าสวยที่ต่างจังหวัด จนกว่าแผลที่หลังจะดีขึ้น คือก่อนหน้านี้ เราไปฉลองเรียนจบกับเพื่อน พอตอนขากลับพวกเราเดินออกมาจากผับ กะว่าข้ามถนนไปนั่งทานข้าวต้มโต้รุ่งฝังตรงข้าม ก้าวขาไปได้ไม่ถึงครึ่งถนน เราก็ได้ยินเสียงเบรก ดังลั่นมาแต่ไกล พอหันไปก็เห็นแสงวาบพุ่งเข้ามาใส่ตัวทันที หลังจากนั้นเรามารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่อยู่ห้องพักฟื้นในโรงพยาบาลแล้ว 

เรามีอาการไหปลาร้าหัก ช่วงข้อมือเข้าเผือกอ่อน และแผ่นหลังด้านซ้ายเป็นรอยแผลยาวจนถึงก้น ช่วงนั้นแม่เรากับพ่อเลียงยังอยู่เมืองไทยพวกท่านยังดูแลเราได้ แต่พอถึงกำหนดกลับท่านจึงไม่อยากให้อยู่คนเดียว 

น้าสวยมารับเราที่คอนโดตั้งแต่เช้า แล้วก็ขับกลับต่างจังหวัดทันที เราขอไม่บอกชื่อจัวหวัดนะคะ กลัวมันจะไปพาดพิงผู้อื่น  ระหว่างทางน้าสวยขับรถค่อนข้างเร็วจะเรากลัวเลย 

น้าสวยให้เหตุผลว่า ไม่อยากกลับไปถึงมืด เพราะทางเข้าหมู่บ้านมันห่างจากถนนใหญ่ แถมเป็นทางลูกรังไม่มีไฟทางด้วย กลัวจะขับลำบาก แถมเป็นวันโกนด้วย น้ากลัวผี เราก็แอบขำแกเหมือนกัน ว่ายุคนี้แล้วแกยังมาความเชื่อแบบนี้อยู่อีกหรอ 

เราขอน้าสวยเข้าห้องน้ำที่ปั๊มเลยทำให้ได้พักรถไปในตัว แต่พอเดินออกมาก็เห็นน้าสวยยืนทำหน้าอยู่ เหมือนอารมณ์เสียอยู่ข้างรถ เราจึงรีบไปสอบถามปรากฏว่า ล้อข้างคนขับมันแฟป น่าจะโดนอะไรมาระหว่างทาง  ทีนี้ก็เลยต้องเปลี่ยนยางอะไหล่มาใส่แทน 

แต่ด้วยความเป็นผู้หญิงทั้งสองคน ทำอะไรก็ไม่เป็น เครื่องมือก็ไม่มี เด็กปั๊มเลยมาช่วย เขาบอกว่าจะไปตามช่างมาทำให้แต่มันไกลคงใช้เวลามาประมาณครึ่งชั่วโมง เรากับน้าสวยก็ตกลง โดยให้ค่าจ้างเค้าไปตามมาให้ ก็เลือกอะไรไม่ได้นี่นา

ระยะเวลาที่ช่างมาถึงก็เกือบช่วงโมง แต่พอจะเปลี่ยนล้ออะไหล่ ปรากฏว่าล้ออะไหล่ก็สภาพไม่น่าจะรอด คือมันเก่ามากช่างเลยบอกว่าเดี๋ยวเขาจะเอาล้อไปปะที่ร้านแล้วจะกลับมาใส่ให้ 

เลยทำให้เราต้องเสียเวลาเบ็ตเสร็จไปประมาณเกือบสองชั่วโมง คราวนี้ต่อให้ขับเร็วแค่ไหนก็ไม่น่าจะถึงก่อนมืดแน่นอน 

น้าสวยได้แต่ทำหน้าเซ็งๆ จากท่าทางของน้าสวยเราเองก็เริ่มกลัวเหมือนกัน หรือว่ามันจะมีผีจริงๆวะ เราเลยถามยน้าสวยไปว่า “น้าสวย  หนูถามหน่อย…เอ่อ..ที่หมู่บ้าน..มี..ปอบเหรอ” พอน้าสวยได้ยินกึงกับขำลั่นออกมาทันที…แกบอกว่า ไม่มีหรอก ขอโทษด้วยที่ทำให้เรากลัว 

แกบอกว่าไว้ไปถึงบ้านจะให้ยายสรเล่าให้ฟัง ยายสรเป็นน้องสาวแท้ๆของยายเราและเป็นคนเลี้ยงดูแม่เรามาตั้งแต่เด็กเพราะยายเราเสีย ตอนคลอดแม่เรา แม่เราเลยรักยายสรมากๆ 

บ้านหลังที่ยายสรอยู่ แม่เราพอเริ่มมีเงินก็ปลูกให้ยายสรอยู่ น้าสวยเองก็เปรียบเหมือนน้องสาวแท้ๆของแม่ แกค่อนข้างโผงผาง และพูดจาขวานผ่าซากไปสักหน่อย เลยทำให้แกไม่ค่อยสมหวังด้านความรัก หลังๆ แกเลยไม่คบกับใคร ทำสวนทำไร่อยู่กับยายสรสองคน

น้าสวยขับรถออกมาจากปั๊มก็เกือบๆ จะห้าโมงเย็น บรรยากาศสองข้างทางค่อนข้างจะมืดเพราะเหมือนฝนจะตก น้าสวยก็รีบขับไม่พูดไม่จากับเราเลย และแล้วฝนก็ตกลงมาจริงๆ ไม่รู้ฟ้ามันมืดเพราะใกล้ค่ำหรือเพราะเมฆฝน 

รถฝ่าลมฝนมาจนเกือบทุ่ม ก็ถึงทางเข้าหมู่บ้าน ทีนี้เราจะต้องวิ่งเข้าเส้นถนนลูกรังอีกประมาณสี่กิโล ถ้าเป็นถนนปกติคงใช้เวลาไม่นาน แต่ถนนมันเป็นลูกรัง และฝนก็ยังไม่หยุดตก ไฟทางก็ไม่มี เลยทำให้ช้าเข้าไปอีก กว่าจะเข้ามาถึงหมู่บ้านก็เกือบชั่วโมง 

หมู่บ้านที่ยายสรอยู่ก็ไม่ได้กันดารนะ บ้านแต่ละหลังก็ดูใหญ่โต แต่ทำไมบ้านแทบทุกหลังถึงปิดไฟนอนกันเร็วจัง แต่ละหลังสองข้างทางมืดไปหมด จนถึงบ้านยายสร ซึ่งน่าจะเป็นหลังเดียวที่ยังเปิดไฟหน้าบ้าน และเปิดรั้วทิ้งไว้ คงกะว่าจะให้รถเข้ามาจอดได้สะดวก 

ตอนนั้นฝนเริ่มซาแล้ว เราลงจากรถก็กะว่าจะไปปิดประตูรั้วบ้าน แต่น้าสวยเรียกไว้บอกว่าไม่เป็นไร ให้รีบเข้าบ้านเลย 

ตอนหยิบกระเป๋า เราเพิ่งสังเกตุว่า มีเสียงหมาหอนตลอด หอนต่อกันนานมาก ไม่หยุดเลย ยายสรเองก็บอกให้รีบเข้าบ้าน เราก็ทำตามแต่โดยดี ยายสรให้เราไปอาบน้ำ แล้วรีบมาทำแผล เสร็จแล้วก็ให้รีบเข้านอนเลย

ห้องที่เรานอนเป็นห้องเก่าของแม่เราที่อยู่ชั้นสองของบ้าน ซึ่งตรงหน้าต่างจะติดกับทางฝั่งซ้ายของตัวบ้าน  หน้าต่างบ้านป็นแบบบานกระจกเลื่อนขึ้นเลื่อนลง และม่านเป็นแบบมู่ลี่ บังเอิญว่าเราไปดึงเชือกที่ปรับมู่ลี่ให้มันเลื่อนขึ้นแล้วมันค้าง จึงทำให้มองออกไปเห็นด้านนอก ข้างบ้านเราติดกับที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งกว้างมาก ตรงกลางจะเป็นเนินสูงๆ มีบ้านแบบเก่าแต่หลังใหญ่ ด้านบนเป็นไม้ ด้านล่างเป็นปูน แล้วรอบๆ จนถึงรั้วบ้าน มีต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมด เหมือนขาดการดูแลมาเป็นเวลานาน 

ด้วยความที่มันมืด บวกกับฝนที่ยังตกปรอยๆ เลยมองเห็นอะไรไม่มากนัก เราไม่ได้ใส่ใจอะไรเก็บของเสร็จก็ลงไปอาบน้ำ แล้วก็เข้าไปให้น้าสวยช่วยล้างแผลที่หลังให้ 

เราถามน้าสวยว่าข้างบ้านมีคนอยู่รึป่าวทำไมดูเหมือนร้างๆ ต้นตาลก็สูงมาก เอนไปมาเหมือนจะล้ม น้าสวยเลยบอกว่าบ้านข้างๆ ไม่มีคนอยู่นานแล้ว แต่ไม่มีต้นตาลนะ เรามองผิดรึป่าว เราลองนึกดูดีๆ เมื่อกี้เราเห็นเหมือนต้นตาล โอนเอนไปมา อยู่ตรงบ้านหลังนั้นจริงๆ แต่ด้วยระยะสายตาที่ค่อนข้างไกล กับความมืดนั้น เราอาจจะตาฝาดก็ได้เลยไม่ได้ถามอะไรน้าสวยต่อ

ทำแผลเรียบร้อย น้าสวยกับยายสรก็เข้านอนเลย เราที่นอนในรถมาเยอะแล้วจึงไม่ง่วงเท่าไหร่ แถมข้างนอกยังมีเสียงหมาหอน เสียงต่ำเสียงสูงต่อกันไม่หยุดเลย ไม่รู้คนที่นี่เค้าหลับลงได้ยังไง

เรานั่งเล่นมือไปเรื่อยไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน เหมือนเราฝันว่าได้ยินคนเคาะ หน้าต่างดังกุกกัก เลยลุกไปดูที่หน้าต่าง เห็นผู้หญิงคนนึง อายุน่าจะราวๆ 35-40 รูปร่างหน้าตาดีมาก แต่แต่งตัวด้วยเสื้อคอกระเช้ากับผ้าถุงขาดๆ เก่าๆ มายืนตะโกนเรียกเรา อยู่ตรงรั้วข้างบ้าน ฝั่งที่เป็นบ้านร้าง 

“หนูๆ หนูๆ ได้ยินเสียงฉันมั๊ย หนู หนู”

เลยตอบไปว่า “ได้ยินค่ะ น้ามีอะไรมาโยนไม้ใส่หน้าต่างบ้านหนูทำไม”  

สีหน้าผู้คนนั้นดูดีใจมาก เธอเอามือเกาะตรงกำแพงรั้วไว้แน่น กำแพงนั้นสูงประมาณเมตรครึ่ง ถ้าเธอไม่สูงมาก ก็คงปีนอะไรอยู่

“ช่วยฉันหน่อยได้มั๊ย..”เธอพูดออกมาด้วยเสียงเหมือนจะร้องไห้

“จะให้หนูช่วยอะไรคะ”

“ไปเปิดประตูรั้วให้ฉันหน่อย ฉันไปไหนไม่ได้ ช่วยหน่อย ช่วยฉันหน่อย”

ในฝันเหมือนเราเองกล้าๆ กลัวๆ ไม่ได้ช่วยอะไรเค้า เหมือนยืนมองเค้าอยู่อย่างนั้นนานมาก เธอคนนั้นยังร้องเรียกให้เราช่วยตลอด สักพักเหมือนเค้าก็เปลี่ยนสีหน้า จากที่ร้องไห้ดูน่าสงสาร ก็ดูเกรี้ยวกราด จนน่าก็กลัว  

เธอส่งเสียงร้องแหลมๆ แต่ฟังดูอู้อี้ ในเวลาเดียวกัน เริ่มมีใบหน้าที่บูดเบี้ยวผิดรูป มีหนองไหล และหนอนชอนไชออกมา จากผิวหนัง ผิวก็เริ่มติดกระดูก ผมก็ค่อยๆร่วงลงมา จนหมดภายในพริบตา แล้วตัวก็ยืดขึ้น ยืดขึ้น จนเราต้องแหงนมอง ช่วงตัวของเธอผอมมาก เสื้อผ้าที่เคยใส่ก็หลุดออกเห็นนมยานโตงเตง ทั้งมือทั้งเท้าดูใหญ่ และบวมมาก ร่างนั้นเหมือนกลายเป็นอสูรกาย น่าเกลียดน่ากลัว หรือที่เราเคยได้ยินคนเฒ่า คนแก่ พูดว่าลักษณะแบบนี้

มันคือ “เปรต” นั่นเอง พอร่างนั่นเริ่มกลายร่าง ก็เหมือนรีบเดิน โงนเงน กลับไปยืนอยู่ข้างๆ ตัวบ้านร้าง ยืนโงนเงน ส่งเสียงร้องจนน่ากลัวอยู่แบบนั้น เรายืนอึ้งในความฝัน แล้วก็กรี๊ดออกมาจนสุดเสียง มารู้สึกตัวก็ตอนที่น้าสวย กอดเราเอาไว้ และก็พยายามปลุก ด้วยการตีเบาที่หน้า 

เราสะดุ้งตื่นกอดน้าสวยแน่น น้าสวยกับยายสร รีบถามว่าเราเป็นอะไร เราทั้งร้องไห้ ทั้งโวยวายว่าเราโดนผีหลอก น้าสวยกับยายสร รีบเข้ามากอดปลอบเราใหญ่ และพาเราไปนอนกับยายสรเพราะตอนนั้นยังไม่สว่างเลย น่าจะประมาณตีห้าได้ เอาจริงๆ ก็ไม่ได้นอนหรอก นอนไม่หลับ 

น้าสวยบอกว่าได้ยินเสียงเรากริ๊ดดังมาก เลยรีบเข้ามาดู ปรากฎว่าเห็นเรานอนสลบอยู่ที่หน้าต่างแล้ว เรางงมาก เรานึกว่าเราฝัน ทำไมเราถึงไปยืนอยู่ตรงหน้าต่างได้ ยายสรบอกว่าไม่ต้องคิดอะไรแล้วเดี๋ยวพอฟ้าสาง แกจะพาไปทำบุญ และรดน้ำมนต์ที่วัด เราก็เลยต้องเงียบไป

พอตอนเช้ายายสรก็พาเราไปที่วัดเราเข้าไปกราบหลวงพ่อพร้อมกับยายสร ไปถึงยายสรก็เข้าไปคุยกับหลวงพ่ออยู่พักใหญ่คุยเป็นภาษาอีสานเราเองก็ฟังไม่ถนัด 

ท่านบอกเราว่าช่วงนี้ก็ต้องระวังตัวหน่อยนะ เราดวงตก หมั่นทำบุญ สวดมนต์บ่อยๆ เดี๋ยวหลวงพ่อจะรดน้ำมนต์ให้ เราก็ให้ท่านรดน้ำมนต์ แล้วยายสรก็ขอตัวพาเรากลับ

ยายสรพาเราไปซื้อหมวก เพราะเราผมสั้น พอโดนหลอกไปเมื่อคืนผมมันก็เลยตั้ง หวียังไงก็ไม่ลง มัดก็มัดไม่ได้ เจ้าของร้านเลยได้ยืนคุยกับยายสรอยู่พักนึง แกก็หันมาคุยกับเรา ว่าขวัญเอยขวัญมานะลูกนะ เมื่อวานวันโกนคนแถวนี้เค้ารู้กันหมด ว่าเปรตรำไพมันเฮี้ยนขนาดไหน หนูเพิ่งมาก็เจอเลย แต่มันทำอะไรไม่ได้หรอก ได้แต่หลอกเท่านั้น เรามองหน้ายายสร ว่าจะถาม แต่ยายสรพูดขึ้นมาก่อนว่า…ถึงบ้านเดี๋ยวยายเล่าให้ฟัง

เราเดินกลับบ้านกับยายสร และต้องผ่านรั้วบ้านนั้น ขามันก็สั่นๆ อย่างบอกไม่ถูก ตอนออกไปวัด ไปอีกทาง พอตอนกลับดันกลับอีกทางเฉยเลย ยายสรเดินมาจับมือเราแล้วพาเดิน เรานึกถึงคำพูดของผี

เมื่อคืน ที่บอกเราว่า “เปิดประตูรั้วให้น่อย” เลยชำเลืองมองตรงประตูขณะที่เดินผ่าน อ้าว!!! ไม่มีประตู!!!

แล้วให้กูเปิดประตูทำไมวะ เราได้แต่คิดในใจ แล้วก็รีบเดินกลับอย่างเร็ว พอถึงบ้าน น้าสวยรออยู่เลยได้นั่งคุยกันแบบจริงๆ จังๆ เราถามน้าสวยเลยว่า เปรตรำไพ น้าสวยรู้จักมั๊ย น้าสวยพยักหน้า แล้วบอกว่าเรื่องนี้ให้ยายสรเล่าให้ฟังจะดีที่สุด พอยายสรนั่งพักสักพักนึง ยายก็เริ่มเล่า

…ยายบอกว่าเรื่องนี้มันนานมากแล้ว ตั้งแต่สมัยยายเป็นเด็กๆ ที่แถวนี้แต่ก่อนมันเป็นทุ่งนา พอนานๆ เข้าคนเริ่มมาปลูกบ้านอยู่ แต่ก็จะห่างกันประมาณ 300-500 เมตร เหมือนที่เราเห็นบ้านข้างๆนี่แหละ แต่ก่อนก็ไมได้มีรั้วกั้นหรอก เพิ่งมามีช่วงหลังๆ นี่แหละ 

ยายมีเพื่อนคนนึงชื่อพิกุล ที่ย้ายมาพร้อมกับแม่ของเขา มาอยู่ที่บ้านหลังนั้น แม่ของพิกุล ชื่อรำไพ บ้านนั้น เดิมทีเจ้าของของชื่อยายกุม มีลูกชายคนเดียว ชื่อกร

ยายกุมแกเป็นคนมีเงิน มีที่มีนาให้คนเช่า แกเป็นคนใจดี ช่วยเหลือคนอื่นตลอด พอลูกชายแกสอบราชการได้ แต่ต้องไปประจำอยู่จังหวัดอื่นแกเลยต้องอยู่คนเดียว 

วันนึงแกเกิดล้มป่วย ด้วยโรคพากินสัน ทำให้แกใช้ชีวิตค่อนข้างลำบาก ลูกชายแกก็เลยพาเมียคือป้ารำไพ กับลูกเลี้ยงซึ่งคือพิกุลกลับมาอยู่กับแม่ แต่แกจะมาพักแค่ เสาร์  อาทิตย์ ส่วนวันธรรมดาก็อยู่ต่างจังหวัด 

ลูกชายยายกุมแกเป็นหมัน ป้ารำไพแกมีลูกติดมาด้วย แกก็รักและดูแลพิกุล อย่างดีเหมือนลูกแท้ๆ ยายกุมเองก็รักหลานคนนี้เช่นกัน พิกุลมาเล่นกับสร ซึ่งคือยายของเรา บ่อยๆ เพราะบ้านใกล้กัน เลยทำให้สนิทชิดเชื้อกันมาก

ตอนแรกๆ ที่ป้ารำไพมาอยู่แกก็ดูแลยายกุมอย่างดี แต่พอนานๆ เข้าลายก็เริ่มออก แกเริ่มเบื่อที่ต้องคอยป้อนข้าว ป้อนน้ำ คนป่วย เพราะอาการของคนเป็นพากิรสัน จะสั่นๆ และกลืนอาหารลำบาก หยิบจับอะไรก็หล่น ก็แตก คนที่ทำหน้าที่ตรงนี้แทนก็จะเป็นพิกุล เพราะสงสารย่า 

ส่วนลูกชายแก จากที่กลับอาทิตย์ละครั้ง ก็เปลี่ยนเป็นเดือนละครั้งแทน เพราะงานเยอะ ได้แต่ส่งจดหมายมาหาเมียแทน แกเขียนจดหมายมาบ่อยมาก จนเห็นบุรุษไปรษณีย์ มาบ้านยายกุมเกือบทุกวัน 

ป้ารำไพแกมีหน้าที่ไปเก็บค่าเช่านา ค่าเช่าตึกที่เป็นสมบัติของยายกุม พอได้เงินมาก็ไม่ยอมพาแม่ผัวไปหาหมอ ยายกุมป่วยจนติดเตียง ไม่มีเรี่ยวแรงทำอะไร มีพิกุลคนเดียวที่คอยดูแลย่า บางครั้งสร ยายของเราก็มาดูแลด้วย พอไปบอกแม่ว่าย่าป่วยหนักก็ไม่เคยสนใจ ของดีๆ ก็ไม่เคยซื้อให้กิน  เวลาผัวแกมาถึงจะเข้ามาดูแลแม่ผัวที ส่วนยายกุมก็พูดไม่ค่อยได้แล้ว ลูกชายยายกุมก็ซึ้งใจเมียมาก ที่อุตส่าดูแลทุกอย่าง พิกุลก็ได้แต่บ่นให้สรฟังแบบปรับทุกข์ตามประสาเด็ก 

หลังๆ ชาวบ้านเค้าลือกันว่าป้ารำไพเล่นชู้กับบุรุษไปรษณีย์ ที่มาส่งจดหมายบ่อยๆ ด้วยความที่แกยังสาว แถมสวยมากด้วย ผัวก็ไม่ได้อยู่ใกล้ แกไม่เห็นหัวแม่ผัวที่นอนอยู่ในบ้าน พาชู้รักเข้านอกออกในบ้านแบบไม่เกรงกลัวอะไร พิกุลเองก็รู้แต่พูดอะไรไม่ได้ด้วยความเป็นลูก และยังเด็ก 

ไม่นานยายกุมก็เสีย และลูกสะใภ้อย่างป้ารำไพก็ได้เป็นใหญ่ในบ้าน ทรัพย์สมบัติเมื่อตกเป็นของลูกชาย ก็ตกเป็นของสะใภ้ด้วยเช่นกัน เคยมีคนแอบบอกสามีแกนะว่าเมีย แอบมีชู้ แต่ด้วยความรักเมียมาก สามีแกไม่เคยเชื่อ 

พอยายกุมไม่อยู่แล้ว ป้ารำไพก็เพิ่มค่าเช่าที่ แถมปล่อยเงินกู้ ดอกเบี้ยแพงๆ ด้วยความโลภเข้าครอบงำ ผสมกับแรงยุของชายชู้ ที่ตอนนี้ทำตัวไม่อายคำคนนินทา ชวนป้ารำไพเข้าบ่อน กิน เที่ยวสำมะเรเทเมาตลอด ว่ากันว่า แกท้องและแท้งถึงสองครั้ง มีชาวบ้านไปเจอแกซื้อยาขับเลือดกับชู้รักของแก เพราะสามีแกเป็นหมัน แกไม่ได้แคร์ชาวบ้านหรอก แต่กลัวสามีรู้มากกว่า

จนวันหนึ่งสามีแกกลับมาแบบไม่ได้บอกล่วงหน้าไว้ก่อน มาเห็นเมียรักกำลังพรอดรักกับชายชู้ทั้งโกรธ ทั้งแค้นเลยเข้าไปทำร้ายร่างกายทั้งสองคน ชายชู้พอได้จังหวะทีเผลอก็วิ่งหนีออกมาจากบ้าน ทำให้มีชาวบ้านได้ยินเสียงเลยเดินมาดู ช่วงเวลานั้นเองสามีป้ารำไพก็รีบตรงดิ่งเข้ามาต่อยอีก

ชายชู้ท่าไม่ดีเลยคว้าจอบที่อยู่แถวนั้นฟาดไปที่หัวของสามีป้ารำไพ จนแกบาดเจ็บหนัก ชาวบ้านเข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดีก็รีบเข้ามาช่วย  ส่วนชายชู้ก็รีบหนีไปทันที ตอนนั้นอาการของสามีแกร่อแร่มาก แกใช้แรงเฮือกสุดท้ายสาปแช่งเมียแกด้วยใจที่ร้าวราน ว่าอีรำไพ  มันไม่ใช่คน ทำร้ายลูก มันไม่ใช่แม่คน มันเป็นเดรัดฉาน กูขอให้ต้องทุกข์ทรมาน อยู่ที่นี่ ไม่ได้ไปไหน ไม่ได้ไปผุดไปเกิด กูขอสาปส่ง  ก่อนที่แกจะสิ้นใจตาย 

พอชาวบ้านได้ยินอย่างนั้น จึงรีบวิ่งขึ้นไปดูบนบ้าน ปรากฏว่า ป้ารำไพแกนอนจมกองเลือดอยู่บนบ้าน และมีรอยแผลจากการโดนมีดแทงหลายแผล และในห้องก็อีกห้อง ในตู้เสื้อผ้าก็เจอพิกุลนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ด้วยตัวที่สั่นเทา หนูน้อยวันเพียง 11 ปีต้องเจอเหตุการณ์แบบนั้น น่าสงสารมาก 

ชาวบ้านช่วยกันจัดงานศพ ให้ป้ารำไพกับสามี โดยสวดศพแค่วันเดียว พอทุกอย่างเสร็จสิ้น พิกุลต้องย้ายไปอยู่ในความดูแลขอพ่อแท้ๆ ที่ทางใต้ จึงได้ร่ำลากับสร 

พิกุลบอกว่ารู้สึกผิดมาก ๆ ที่เขียนจดหมายไปหาพ่อเลี้ยง โดยยายสรเล่าให้ฟังว่า วันนั้นยายสรไปหาพิกุลที่บ้าน แล้วเจอพิกุลนอนอยู่บนแคร่ข้างบ้าน แถมมีเลือดไหลเปื้อนกางเกง พอเค้นถามถึงได้ทราบว่าชายชู้ของแม่ทำอนาจารพิกุล ยายสรกับพิกุล จึงตัดสินใจแบบเด็กแอบเขียนจดหมายไปหาพ่อเลี้ยง และเล่าทุกอย่างว่าชายคนนั้นทำอไรพิกุลบ้าง และให้ยายสรเอาไปหยอดตู้ไปรษณีย์ให้ 

ตอนนั้นเด็กน้อยทั้งสองเพียงต้องการอยากให้พ่อมาช่วยพิกุลเท่านั้น ไม่คิดว่าพ่อเลี้ยงกลับมา จะเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ และเรื่องราวมันก็ยังคงจะอยู่ในใจของยายสรจนถึงทุกวันนี้

หลังจากที่ป้ารำไพเสีย ก็เฮี้ยนมาก แกกลายเป็นเปรต ออกมาให้คนเห็นบ่อยๆ เค้าว่าบางทีแกก็มายืนอยู่หน้าบ้านมาเรียกให้คนช่วย เหมือนแกออกมาไม่ได้ บางทีก็ออกมาให้เห็นแบบสวยๆ บางทีก็ออกมาแบบน่ากลัว ทุกครั้งที่มีคนเห็น แกจะดูทุกข์ทรมานมาก จนชาวบ้านเค้าเล่ากันปากต่อปาก ถึงความเฮี้ยนไม่รู้อันไหนจริง อันไหนแต่ง 

หลายคนเชื่อว่าที่แกยังอยู่จนถึงวันนี้อาจเป็นเพราะคำแช่งของสามีแก ซึ่งก็แล้วแต่ความเชื่อของใครของมัน  แต่ที่แน่ๆ ทุกวันโกนหมาจะมายืนเห่าหอนอยู่หน้าบ้านแกทุกครั้ง 

ยายสรบอกเราว่า หลวงพ่อท่านให้สายสิญจ์เรามาด้วยนะ ท่านบอกว่าเพราะเราดวงตก เลยทำให้ช่วงนี้เราอาจมองเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น เดี๋ยววันมะรื่นชาวบ้านที่นี้เค้าจะทำพิธีเรียกขวัญให้

มันเป็นความเชื่อของชาวบ้านค่ะ แต่ไม่ใช่เพราะเราโดนผีหลอกนะคะ แต่เป็นเพราะเราโดนรถชน เขาว่าขวัญหาย จึงต้องทำพิธีเรียกขวัญ  จากนั้นมาเราก็แทบไม่ได้นอนห้องนั้นเลย มานอนกับยายสรแทน แล้วก็ไม่เคยเจอ เปรตรำไพอีก แต่ทุกคืนวันโกน จะได้ยินเสียงหมาหอนจริงๆ ค่ะ เรื่องแบบนี้หากไม่เจอกับตัว เราคงไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด!!!

เรื่องโดย…เพลินไดอารี่ เรียบเรียงโดย…คลังหลอน

Previous articleเด็กเห็นผี ! เรื่องสั้น หลอนยาววววว
Next articleยุติการเผยแพร่