Home คลังหลอน เป็นไปได้อย่างไร แท็กซี่หลอนสาทร

เป็นไปได้อย่างไร แท็กซี่หลอนสาทร

เป็นไปได้อย่างไร แท็กซี่หลอนสาทร
เป็นไปได้อย่างไร

เรื่องราวและเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณเบิร์ดโดยตรง เพียงแต่ว่าเป็นประสบการณ์ตรง จากเพื่อนที่ได้พบได้เจอมาด้วยตัวเอง และก็นำมาเล่าให้เบิร์ดฟัง เรื่องราวทั้งหมดก็มีอยู่ว่า… 

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว สมัยที่เบิร์ดยังอายุ 18 ปี ตอนนั้น เบิร์ดยังเรียน กศน. เทียบ ม.ปลายอยู่แถวปากคลองตลาด ช่วงที่เรียนเข้าปีสุดท้าย เบิร์ดมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งชื่อว่าเอ็ม และเอ็มมีแฟนชื่อว่าบี บีนั้นมีอายุมากกว่าเอ็ม  บ้านของเอ็มจะอยู่แถว ถ.บรมราชชนนี แถวๆปิ่นเกล้า ส่วนบ้านของบีนั้นอยู่สาทร ซ.เซนต์หลุยส์ 

ช่วงนั้น เอ็มตั้งท้องได้ 5 เดือน โดยปกติแล้วทั้ง 2 คนก็จะไปๆกลับๆระหว่างสาทร และปิ่นเกล้าเสมอ โดยอาศัยนั่งแท็กซี่เอา และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของ เรื่องสุดหลอนครั้งนี้ที่ทั้งคู่ต้องจำจนวันตาย

วันที่เกิดเหตุนั้นเวลาประมาณตี 2 ได้ เอ็มอยู่สาทรบ้านบี มีธุระด่วนต้องกลับไปที่บ้านที่ปิ่นเกล้า วัดจากระยะทางจริงๆก็ไกลพอสมควร ทั้งคู่ก็เลยเดินออกมาจากบ้าน ซึ่งบ้านอยู่ติดถนนในซอย และเวลาแบบนี้ ในสมัยนั้น หาแท็กซี่ยากมากๆ ยิ่งในซอยด้วย ทั้งคู่นั้นรอ ประมาณ 10-20 นาทีได้ จนมีแท็กซี่คันหนึ่งวิ่งผ่านมา ทั้งคู่ก็โบกเรียก

สภาพภายนอกของรถนั้นดูดี สะอาดสะอ้าน ปกติทั่วไป พอแท็กซี่จอด ทั้งสองคนก็ขึ้นไปนั่งที่เบาะด้านหลังด้วยกัน แล้วก็บอกจุดหมายปลายทางให้คนขับทราบ พี่คนขับรถก็พยักหน้าตอบ แล้วก็เริ่มออกรถ ภายในรถก็ปกติ มองไปที่พี่คนขับ ก็เป็นคนตัวใหญ่ๆ ทุกอย่างดูเข้าที่เข้าทางปกติดี 

พอรถเริ่มขึ้นสะพานสาทร มุ่งหน้าเข้าสู่วงเวียนใหญ่ ต่างคนก็ต่างเงียบ เนื่องจากง่วงด้วยกันทั้งคู่ แถมเป็นเวลาดึกมากแล้วด้วย พอช่วงที่รถแท็กซี่ลงจากสะพานสาทร ก็เริ่มจะได้กลิ่นเหม็น กลิ่นนั้นค่อยๆเหม็นขึ้น เหม็นขึ้น จนผิดสังเกตบีและเอ็มนั้นก็เริ่มจะมองหน้ากัน

ตัวของบีนั้นรู้ว่ากลิ่นแบบนี้มันคือกลิ่นอะไร เพราะว่าบีก็เคยเข้าร่วมเป็น จนท.อาสาในมูลนิธิ ส่วนเอ็มก็เริ่ม จะกลัวและวิตกเนื่องจากกำลังท้องอยู่ด้วย บีก็เลยโอบกอดเอ็บเอาไว้ 

พอรถขับเข้าวงเวียนใหญ่ กลิ่นนั้นก็แรงขึ้น แรงจนเอ็มเกือบจะทนไม่ไหว อยากจะอาเจียนออกมา ทั้งๆที่ไม่ค่อยแพ้ท้องมาก่อน จนถึงกับต้องหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดจมูกกันเลย 

บีก็เลยถามคนขับรถว่า “พี่ครับ พี่ได้กลิ่นอะไรมั้ย” คนขับนั้นไม่ตอบ นิ่งเงียบและขับรถเพียงอย่างเดียว

บีก็เลยเงียบต่อไป 

รถแท็กซี่นั้นเคลื่อนไปทางสี่แยกบ้านแขก เลี้ยวเข้าถนนเจริญพาศน์ เพื่อมุ่งหน้าออกปิ่นเกล้า จู่ๆบีและเอ็มนั้น ก็ได้ยินเสียง “พรึ่บๆ” ดัง มาจากนอกรถ ดังเหมือนกับว่ามีอะไรซักอย่างมากระแทกตัวรถ

เสียงที่ว่านั้น กำลังกระแทกประตูหลัง ที่คนทั้งสองกำลังนั่งอยู่ บีและเอ็มต่างมอง ออกไปด้วยความสงสัย ก็เลยถามคนขับรถอีกครั้งว่า “พี่ครับ เสียงอะไรดังเหมือนกับมีอะไรฟาดรถอยู่เลย” พี่คนขับรถแท็กซี่ไม่ตอบเหมือนเดิม ขับรถเพียงอย่างเดียว

รถมุ่งหน้าไปถึงแยกโพธิ์สามต้น เอ็มก็เลยบอกกับบีว่า “ลงเถอะ ไม่ไหวแล้ว จะเป็นลม” บีก็เลยกระซิบข้างหูว่า “อดทนหน่อย อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว มันดึกมาก หารถยาก” เอ็มก็เลยต้องยอมอดทนต่อไป….

รถเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ ประตูรถทั้ง 2 ด้าน จากที่ปกติดีๆ ก็เริ่มไม่ปกติ เหมือนกับว่ามันปิดไม่สนิท มันดัง ก๊องแก๊งๆ คราวนี้ทั้ง 2 คน มือนึง ของทั้งคู่จับกันแน่น อีกมือก็จับท้องของเอ็มเอาไว้ และกอดกันแน่น เนื่องจากห่วงเด็ก บีบอกเอ็มว่า “เราต้องรอด เราต้องรอด”  

คราวนี้บีที่กำลังจะอ้าปากถามพี่คนขับ ก็ต้องอึ้ง เมื่อมองไปที่คนขับรถ จากผู้ชายปกติธรรมในตอนแรก แต่ ณ ตอนนี้เหมือนเค้าไม่ใช่คน (เนื่องจากบีนั้นนั่งด้านหลังฝั่งซ้ายมือ ทำให้เห็นคนขับตลอด)

หน้าตาที่เห็นด้านข้างนั้นมันบวมช้ำ แขนก็ช้ำ ตาซ้ายเป็นสีแดงระเรื่อ แถมกลิ่นไม่พึงประสงค์ก็ยิ่งโชยตลบอบอวลหนักยิ่งกว่าเดิม จนบีถึงกับจะกลั้นไม่อยู่ 

บีเริ่มรู้ตัวแล้วว่ากำลังเจออะไรอยู่ แต่บีก็พยายามข่มใจ ถามช้าๆ สั้นๆ ดีๆ ว่า “พี่ครับ ประตูปิดไม่สนิทรึเปล่า ประตูรถเหมือนจะหลุดนะพี่” คนขับไม่ตอบเหมือนเดิม ยังคง มุ่งหน้าขับต่อไป 

เอ็ม เริ่มสะอื้นร้องไห้เงียบๆ รถแท็กซี่ยังคงเคลื่อนตัวไปด้านหน้า จนถึงเส้นปิ่นเกล้า ก็เลี้ยวซ้ายเพื่อผ่านแยกปิ่นเกล้า ไอ้เสียงที่ดัง พรึ่บๆ อยู่นั้นก็ ยิ่งดังถี่ขึ้น เพราะรถนั้นเริ่มขับเร็วขึ้น 

บีมองออกไปนอกตัวรถก็ถึงกับนั่งตัวแข็ง เพราะรู้แล้ว่าที่มาของเสียงมันคืออะไร กำลังฟาดรถอยู่มันเป็นเชือกเส้นใหญ่สีขาวหลายๆเส้นกำลังฟาดรถทั้ง 2 ด้านอยู่ เวลารถแล่นมันก็สะบัดฟาดกับตัวรถ 

รถขับขึ้นสะพานข้ามแยกปิ่นเกล้าต่อไป คราวนี้รถเริ่มมีเสียงดัง กุกกักๆ อาการมันเหมือนล้อรถไม่ดี อาจจะยางแบน เสียงเชือกก็ยังคงกำลังฟาดเอาๆ กลิ่นในรถก็สุดแสนจะเหม็น จนคนทั้งคู่รู้สึกแสบตา 

ด้วยโมโหบีจึงตัดสินใจถามคนขับรถอีกครั้ง  “พี่ รถพี่ปกติดีรึเปล่า แล้วพี่เป็นอะไรครับ ไม่ยอมตอบผมกับเมียใจคอไม่ดี พูดอะไรหน่อยได้มั้ยครับ” บีพูดจบทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม คนขับนั่งเงียบ เอาแต่ขับอย่างเดียวเหมือนเดิม

จนกระทั่งรถถึงที่หมาย กำลังจะเลี้ยวเข้าไปในซอย ซึ่งเป็นซอยตัน พอรถเลี้ยวปุ๊บ บีก็บอกให้คนขับนั้นจอด เนื่องจากถึงแล้ว และจะเดินเข้าไปในซอยบ้านเอง พอพี่คนขับจอด บีก็ควักเงินจ่ายให้ คนขับรถก็ทอนเงินกลับมา เป็นเหรียญบาททั้งหมด 11 บาท 

บียื่นมือไปรับเงินทอน โดยที่ไม่ได้มองหน้าคนขับ จังหวะนั้นมือของบีดันไปสัมผัสกับมือของคนขับ บีรู้สึกได้ว่า มือของคนขับรถนั้นเย็นมาก พอรับรทอนเงินเสร็จ ทั้งคู่ก็รีบออกจากรถ แล้วเรื่องราวทุกอย่างก็มาถูกเฉลยเอาตอนนี้แหละ

ตอนที่ประตูรถถูกเปิดออก บีมองดูไอ้เชือก สีขาวๆ มันมีเส้นใหญ่ๆ บางเส้นก็ขวางประตูไว้ บางเส้นก็ร่วงลงพื้น ประตูรถเปิดได้ไม่กว้างมากแต่ก็เพียงพอให้ทั้งคู่ออกจากรถได้อย่างปลอดภัย 

แต่ทันทีที่ปิดประตูรถทั้งคู่แทบล้มทั้งยืน เอ็มถึงกับกรี๊ดเสียงดังลั่นซอย ช็อคแทบสติแตก ก้าวขาไม่ออก ได้แต่ยืนกอดกันแน่นมาก  เพราะภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าคือสภาพรถแท็กซี่ไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นตอนขึ้นมาครั้งแรก สภาพรถในตอนนี้แย่มาก มันทั้งเก่า ทั้งโทรม สีรถถลอกยับเยิน ยางทั้ง 4 ล้อเกือบแบน  แถมทะเบียนรถยังไม่มีอีกต่างหาก 

แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ช็อคมากที่สุดก็คือ บนหลังคารถมีพวงหรีดวางอยู่ด้วย ท้ายกระโปรงหลังประดับติดด้วยดอกไม้จันท์กระดาษ หน้ารถก็มีพวงหรีดเล็กๆวางรายล้อมพร้อมกับดอกไว้จันท์ ส่วนเชือกสีขาวๆ ที่ตีรอบตัวรถมาตลอดทางก็คือ สายสิญจน์เส้นใหญ่ๆ หลายเส้นถูกพันเอาไว้รอบคัน รวมถึงกลิ่นศพ ที่คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ

รถแท็กซี่คันนั้นก็ขับเข้าไปในซอยเพื่อที่จะกลับรถออกมา คราวนี้ทั้งเอ็มและบีก้าวขาไม่ออก ยืนตัวแข็งกอดกันแน่นอยู่ที่เดิม เอ็มร้องไห้จนเป็นลม 

ทั้งคู่ต้องยืนลุ้นอีกรอบ ตอนที่รถนั้นกลับออกมา รถผ่านคนทั้งคู่ไปอย่างช้าๆ บีมองเข้าไปที่นั่งคนขับก็ต้องช็อคอีกครั้ง เมื่อคนขับรถที่บีมองเห็นนั้น เป็นศพ!! ที่กำลังลืมตา ตาแดงมาก ปากช้ำตัวช้ำไปหมด จนรถค่อยๆขับแล่นออกไปจากซอย 

ทั้งคู่ยืน ควบคุมสติอยู่ แล้วบีก็บอกกับเอ็มว่า “เดิน เดิน ก้าวขา ค่อยๆ ค่อยๆก้าว หายใจลึกๆ ไม่ต้องวิ่งนะ” จนทั้งคู่กลับไปถึงบ้านได้ 

พอเอ็มเห็นหน้าพ่อถึงกับร้องไห้ออกมาเลย  ทั้งคู่มีหน้าตาที่ขาวซีด เหงื่อแตกท่วมตัว พ่อและคนในบ้านของเอ็มก็ได้แต่ถามว่าไปทำอะไรมากัน แต่ว่าทั้งคู่ไม่ตอบ จะขอเล่าเรื่องทั้งหมดในตอนเช้า

เช้าวันถัดมาทั้งคู่ก็ได้รีบไปวัดทำบุญ แล้วก็ได้เอาเงินทอนที่เป็นเหรียญบาททั้งหมด 11 เหรียญ ทำบุญที่วัดทั้งหมด

บีนั้นเป็นไข้ไป 2 วัน หลังจากนั้นมาทั้งเอ็มและบี ก็ไม่กล้าเรียกรถแท็กซี่ในตอนกลางคืนอีกเลย เรื่องราวทั้งหมดกด็จบลงเพียงเท่านี้…!!

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here