ถ้าคุณมองดูรูปถ่าย เห็นคนในรูปยิ้มขณะแอ็คท่าถ่ายรูป คุณคงมีความสุขแล้วยิ้มไปด้วยแต่ถ้าเป็นภาพตั้งหน้าศพ มีสีหน้าเฉย ๆ เกิดยิ้มให้ท่านล่ะ
หลายๆท่าน อาจเคยได้ยินถึงคำร่ำลือต่อๆกัน กับตำนาน’รูปยิ้ม’อันโด่งดังทั่วประเทศที่เมืองหาดใหญ่ มาฟังเรื่องเล่าจากเจ้าของบ้านรูปยิ้ม แบบไม่ต้องฟังต่อๆๆๆจากใครกันเถอะ
ผมเป็นชาวหาดใหญ่โดยกำเนิด เป็นมุสลิมหาดใหญ่ในช่วงวัยแรกรุ่น ผมค่อนข้างจะเกเร หลังจบ ม.3 จาก โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยสมบูรณ์กุลกันยา ทางบ้านจึงส่งผมไปเรียน โรงเรียนสามัญสอนศาสนาอิสลาม หรือ ‘ปอเนาะ’ ใกล้ๆบ้าน 1 ปีเพื่อจะดัดนิสัยเกเร และลดความซ่าของผมลงซะบ้าง(ปอเนาะ แปลว่า’กระท่อม’)นักเรียนจะเรียนภาคสามัญและศาสนาควบคู่กัน
ทุกคนจะพักในกระท่อมเล็กๆของ โรงเรียนและศึกษาภาษาอาหรับในตอนค่ำ ค่อนข้างจะเรียนหนัก สำหรับเด็กในวัยนี้ คล้ายๆโรงเรียนประจำ สัปดาห์หรือ1เดือนจึงจะกลับบ้านสักครั้ง บางคนอยู่ไกลๆเช่น ตรัง พัทลุง หลายเดือนจะกลับบ้านสักครั้ง
บางคนอยู่อำเภอใกล้เคียงอย่าง อ.รัตภูมิ อ.สะเดา มีชาวหาดใหญ่อยู่บ้าง2-3คน ในชั้นเรียนใหม่ของผม ด้วยความใกล้บ้าน ผมจึงกลายเป็นเจ้าถิ่นโดยปริยาย
และอาจจะด้วยความเหงา คิดถึงบ้าน และด้วยวันวัย เพื่อนๆที่เกเร จึงสนิทสนม และเข้ากับผมได้อย่างรวดเร็ว เรามักจะชวนกันหนีเรียน ไปเที่ยวข้างนอกบ่อยๆ ผมและเด็กหาดใหญ่ มักจะเป็นหัวโจกเสมอ ไปตีสนุ๊ก ไปเดินเล่นในห้างบ้างละ ตามตลาดเปิดท้าย หรือริมสระใกล้ๆโรงเรียน แล้วแต่ว่าใครจะมีโปรแกรมสนุกๆมาเสนอ
วันหนึ่งเพื่อนคนหนึ่งชื่อ’ดุลย์’เป็นชาวหาดใหญ่เหมือนกัน ออกปากชวนพวกเราไปด’ูรูปยิ้ม’ในเมืองหาดใหญ่ ซึ่งไอ้ดุลย์ได้ไปดูมาก่อนแล้ว กับเพื่อนของเขาแล้ว เมื่อคืนวาน เขาบอกกำลังดัง คนไปดูกันเยอะแยะ แต่ดุลย์มีสีหน้าหวาดๆปรากฏที่ใบหน้า หากสังเกตุดูจะเห็นได้ชัดเจน เขาพยายามจะเล่ารายละเอียด แต่พวกเราไม่ได้สนใจจะฟังนัก
“จะไปดูทำไมวะ ก็อิแค่รูปดารายิ้ม หรืออาจจะเป็นกล้องถ่ายสติ๊กเกอร์ตามห้างรุ่นใหม่ ๆ “
ใครบางคนกล่าวอย่างรำคาญ แต่ไอ้ดุลย์ก็คะยั้นคะยอ จนเราทุกคนต้องไปเพราะไม่มีโปรแกรมอื่น ตอนนั้นผมและเพื่อนในทีมไม่เคยรู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำ เราวางแผนหนีเรียนคาบบ่าย นั่งมอไซด์ซ้อน 3 คน 3 คัน ขี่ฝ่าเที่ยงวัน
ท่ามกลางเปลวแดดอันร้อนระอุ ของเดือนรอมฎอน ซึ่งปีนั้นตรงกับเดือนเมษายน ไอ้ดุลย์ขับนำหน้า พาเราไปที่ ถ.ราษฎร์อุทิศซอย7
เราจอดรถหน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่เกือบสุดซอย เป็นบ้านแถวชั้นเดียว สภาพค่อนข้างเก่า มีชายวัยกลางคนนุ่งขาวห่มขาว กำลังเก็บกวาดที่หน้าลานบ้าน และที่ผนังหน้าบ้าน มีรูปถ่ายผู้หญิงขาวดำ ขนาด 8*8 แขวนไว้หน้าบ้านระดับสายตา ผมเผ้ากระเซิง ดวงตาหวานแกมดุนั้น เหมือนกำลังจ้องมองเรา และริมฝีปากของหญิงสาวในรูป ถูกทาด้วยลิปสติกสีแดงสด หล่อนอวดรอยยิ้มต้อนรับเรา อย่างเห็นได้ชัด….!!!
ผมและเพื่อนยืนดูนิ่งๆสักพัก ผมยอมรับว่า รู้สึกหวาดกลัว แต่ต้องนิ่งมองเหมือนถูกสะกด …หล่อนยิ้มกว้างขึ้น แต่แล้วกลับทำหน้าบึ้งตึงราวโกรธแค้น
ผมต้องละสายตาจากรูปพลางใช้มือขยี้ตา ลมหนาวชวนสะท้านพัดหวิวในดวงจิต เราทั้ง 9 คนนิ่งเงียบไร้คำพูดใดสัก 3 นาที เสียงแหลมๆของท่อไอเสียจากมอไซด์ขับผ่าน จึงเริ่มรู้สึกตัว “ไอ้บ้ารูปคนตายก็ไม่บอก” ผมพูดให้ดูคล้ายผู้กล้าหาญ
ชายวัยกลางคนในชุดผู้ทรงศีลนุ่งขาวห่มขาว เจ้าของบ้าน เสร็จภารกิจ และกำลังจะเดินเข้าบ้าน ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผสมความเผือกเรื่องชาวบ้านของผม ผมจึงไม่รอช้าที่จะถาม “โทษครับลุง ผู้หญิงในภาพนี้คือใครหรือครับ”
ชายเจ้าบ้านหยุดกึกที่ธรณีประตู แล้วหันกลับมามองผมกับเพื่อน แกนิ่งสักพักเหมือนจะครุ่นคิด ลุงผันหน้ากลับ แล้วพูดขึ้นว่า “อยากรู้ก็ตามเข้ามา” แล้วเดินเข้าบ้านไป พวกเราต่างผลักกันเพราะไม่อยากเข้าก่อน ด้วยความกลัว (นึกถึงอารมย์ตอนเข้าห้องผีบุปผา ในหนังบุปผาราตรี) แล้วเป็นผมที่เดินนำเข้าในบ้าน (กลัวครับแต่เพื่อความเท่ห์)
เจ้าของบ้านเชิญให้เรานั่งบนเตียงไม้ เขาสั่งให้ลูกศิษย์ ยกชาร้อนกับขนมมาเสริฟ์ ลูกศิษย์ซึ่งนุ่งขาวห่มขาวเหมือนอาจารย์ มีท่าทีให้เกียรติ์เรา ดูเขาเป็นมิตร ยิ้มน้อยๆแต่ไม่พูดอะไร แต่เราปฏิเสธของรับแขกโดยบอกว่ากำลังถือศีลอด เขาไม่เก็บถ้วยและขนมคืน แต่เดินหายไปหลังบ้าน ชายเจ้าบ้านเริ่มมีรอยยิ้ม ดูเป็นกันเองขึ้น
“นับถืออิสลามหรือ ฉันเองก็นับถือพระอัลหล่า และพระนบีมูฮัมหมัดเหมือนกัน และ่นับถือพระเยซู พระวิษณุ พระอินทร์ เจ้าแม่กวนอิม หรือเทพเจ้าทุกศาสนานั่นแหละ “ร้องไห้คนบ้าอะไรวะ นับถือหมด แล้ววันๆจะไหว้หมดหรือวะ ผมนึกในใจ)
แกยิ้มระรื่นปิติยินดี ดูเหมือนนักเรียนใหม่ที่เพิ่งย้ายโรงเรียน แล้วมีเพื่อนใหม่มาเล่นด้วย
“ฉันอ่านคัมภีร์อัลกุรอ่านได้นะ” ว่าแล้วแกก็เปิดตู้เก็บหนังสือ หยิบคัมภีร์อัลกุรอ่าน มาอ่านให้เราฟัง ด้วยเสียงอันดัง แต่สำเนียงการอ่านและท่วงทำนองแปลกๆซึ่งผมและเพื่อน ไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่ใกล้เคียงภาษาอาหรับ มันเร็วคล้ายคนจีนอ่าน บอกได้ว่าผิดหลักไวยากรณ์ของภาษาอาหรับ(ตัจวีจ)แน่นอน แต่ไม่มีใครกล้าทัก
ผมถือโอกาสลอบสังเกตุดูบรรยากาศในบ้าน มีรูปเทพเจ้าของฮินดู จีน พุทธ คริสต์ อักขระอิสลาม ข้างหน้าพวกเรา มีโต๊ะหมู่บูชา มีพระพุทธรูปปางนาคปรก เทพกวนอู หนุมาน พระพิฆเณศ ตือโป๊ยก่าย ถ้วยทองเหลือง กระถางธูปส่งกลิ่นควันคละคลุ้ง ที่สำคัญตรงกลางโต๊ะหมู่บูชา มีหัวกะโหลกมนุษย์ บนกระหม่อมมีเทียนสีเหลือง ที่กำลังติดไฟปักบนหัวกะโหลก รอบกะโหลกมีน้ำตาเทียนเกาะเกราะกรัง ในบ้านมียันต์รอบบ้าน มีหม้อดินปิดผ้าสีแดงๆ
ลงยันต์กำกับปิดปากหม้อ มีมีดลงอักขระคล้ายๆภาษาบาลีหรือขอมโบราญ์ และมีรูปหญิงสาวคนเดียวกัน กับรูปที่ติดอยู่หน้าบ้านขนาดเดียวกัน แขวนอยู่ในบ้านอีกรูปสูงเหนือหิ้งบูชา มีธูป 1 ดอกจุดเสียบไว้หน้ารูป แต่ไม่ทาลิปสติก ในบ้านแม้ไม่เปิดพัดลม แต่เหมือนมีลมเย็นยะเยือกพัดแผ่วๆอยู่เสมอ จนขนลุกซู่เป็นบางจังหวะ เงียบงันจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง
บรรยากาศชื้นๆทึมๆ กลิ่นอับจนหายใจไม่คล่อง วังเวงเงียบสงัด แม้ในเวลากลางวัน ราวกับเป็นอีกภพภูมิหนึ่ง แล้วทันใดลุงแกก็พูดขึ้นว่า..
.
“วิญญานมีทุกที่แหละไอ้หนุ่ม จะกลัวทำไม อย่างเตียงที่พวกเอ็งนั่งอยู่ เพิ่งวางศพไม่นานนี่เอง นั่น เธอยังนั่งอยู่เลย”……!!!
แทบไม่ต้องนัด ผมกับเพื่อนทุกคนร้องเสียงหลง แล้วกระโดดพร้อมๆกันไปนั่งเบียดทับกัน ที่โซฟาข้างๆ ขนหัวลุกเกรียว…. แต่แกกลับหัวเราะลั่นอย่างสนุก “ล้อเล่นน่า”
ผมคิดว่าต้องรีบยิงคำถาม จะได้รีบกลับอยู่ไม่ไหวแล้ว ขณะกำลังคิดจะอ้าปากถาม หมอผีเหมือนรู้ หันไปมองรูปในบ้านเปลี่ยนสีหน้าดูเครียดขึ้นพลางถอนหายใจยาว
“หล่อนชื่อเจิน เจิน เป็นคนจีนจากฮ่องกงมาทำงานในโกดังของท่าเรือกับครอบครัวที่ปีนัง เป็นลูกสาวคนเดียว จึงถูกกดขี่จากครอบครัว ตามประสาคนจีนที่ไม่ค่อยชอบลูกสาว พ่อของเธอ บังคับเธออย่างหนัก เพื่อให้แต่งงานกับเพื่อนของพ่อ”
ลุงเจ้าของบ้านหยุดเล่า เปลี่ยนมาหิ้วกาน้ำชาทองเหลืองแล้วบรรจงรินชาลงถ้วย ไอน้ำร้อนค่อยๆม้วนตัวล่องลอย ผมสังเกตุดู ลุงคนนี้เป็นคนที่ค่อนข้างจะมีลีลาและชั้นเชิงในการเล่าเรื่องไม่เบาทีเดียวมีน้ำเสียงหนักสลับแผ่วตามอารมย์ จู่ๆก็หยุดเล่าเสียดื้อๆ จนบางครั้งผมนึกหมั่นไส้ แต่เราต้องนิ่งฟัง ลุงให้เวลาสนธนา กับพวกเรามากทีเดียว เขาเขย่าถ้วยชาเบาๆ ซดพรวดแล้วส่งเสียง ‘อ้าา’
“แต่เธอไม่ยอมที่จะแต่งงานกับเจ้าบ่าวอายุคราวพ่อ เธอบอกเจ้าบ่าวเพื่อนพ่อ ว่ายอมตายเสียดีกว่า ที่จะแต่งงานกับชายแก่คราวพ่อ พ่อของเธออับอายและยิ่งโกรธมาก เธอจึงถูกพ่อและพี่ชายบังคับเฆี่ยนตีอย่างหนัก แล้วขังในโกดังวันแล้ววันเล่า”
เช้าวันหนึ่ง สาวรับใช้ในบ้านยกสำรับเช้าไปให้หล่อนตามปกติ เมื่อไขกุญแจเปิดประตูโกดัง ไม่เห็นหล่อน จึงเดินเรียกหา แต่ไร้เสียงตอบ เมื่อเดินไปจนสุดโกดัง ลำแสงจากหน้าต่างส่องมา ‘หล่อนผูกคอตายแขวนร่างต่องแต่งกับขื่อ!!! ‘สาวรับใช้ผงะ ร้องเสียงหลงราวเสียสติ รีบตะเกียกตะกาย วิ่งไปรายงานพ่อของหล่อน
“ผมอยู่ปีนังในตอนนั้น ครอบครัวหล่อนติดต่อเพื่อนผม ให้มาเชิญผม เพราะหล่อนเฮี้ยนมาก…”
“วันหนึ่งในงานศพหล่อน ผมนั่งสวดอาคมอยู่หน้าโลงศพ ผมเห็นเธอในรูปงานศพร้องไห้ และขอไปอยู่ด้วยกับผม ผมสงสารจึงขอรูปถ่ายนั้นไว้กับเส้นผมบางส่วน แล้วสะกดวิญญานลงในหม้อดิน รูปนอกบ้านเป็นรูปอัดซ้ำ ที่ต้องทาลิปเพราะหล่อนบอกผมว่าหล่อนชอบ(กึ๋ย) ผมแขวนไว้เฝ้าบ้าน กลางดึกมีพวกมาลองของเยอะแยะ คืนวานก็ตายไปสองคนหน้าบ้าน ขับมอไซด์แล้วเบิ้ลเสียงดัง ล้มหัวฟาดพื้นตายห่าไป 2 คน ส่วนในบ้านนี่รูปจริง จะดูเส้นผมหล่อนมั้ยหล่ะ”
พูดพลางลุกขึ้นจะไปหยิบ แน่นอนเราห้ามไว้ แกจึงมานั่งต่อ
“ใครที่เห็นหล่อนยิ้มให้ แสดงว่าหล่อนถูกชะตา ไม่นานเขาจะมีโชคดี ส่วนใครที่เห็นหล่อนไม่ยิ้ม แต่ทำหน้าบึ้ง จะมีโชคร้ายหรืออาจถึงฆาต” ลุงเล่าเสริม
ผมและเพื่อนขอตัวกลับ โดยอ้างว่ามีเรียน แกก็บอกว่าจะต้องทำพิธีอะไรสักอย่าง ขณะนั้นบ่าย 3 กว่าแล้ว เราทั้งเก้าคน ต้องนั่งอยู่อย่างหวาดกลัวถึง 3 ชั่วโมงกว่าทีเดียว เรื่องที่เล่ามาเป็นข้อเท็จจริงที่ฟังจากหมอผีคนทรง คนเล่นไสยศาสตร์ หรืออะไรก็ตาม ผู้เป็นเจ้าของบ้านและเจ้าของรูปคนตายยิ้มได้ ตัวจริง ฟังจากเจ้าตัวเป็นๆ ไม่ได้ฟังจากใครต่อ
ด้วยความเคารพแก่วิญญานผู้ตายจึงขอยืนยันว่า ไม่มีการเสริมแต่งใดๆจากที่ฟังมา เราทุกคนเดินออกจากบ้าน ก่อนออกมอเตอร์ไซด์ ผมยืนมองรูปอีกครั้ง คราวนี้เห็นได้ชัด เธอไม่ยิ้ม แต่กลับทำหน้าบึ้ง
ปล. ปัจจุบันนี้ตอนนี้ทางบ้านมีการปรับปรังบ้านและได้มีการนำรูปนี้ออกไปแล้ว
เครดิต คุณสหายเช เพื่อนคนจร