ยาสั่ง

ยาสั่ง
ยาสั่ง

ย้อนกลับไปช่วงสมัยวัยรุ่นตอนที่เรายังเป็นสาว อายุประมาณ 20 ต้นๆ เราได้เดินทางไปยังจังหวัดจังหวัดหนึ่งเพื่อทำงาน งานที่เราคือพ่อค่าแม่ค้าคนกลาง เรียกว่าทำเงินที่ดีมากสำหรับพวกสาวๆ เพราะเป็นอาชีพที่ได้เงินมาง่ายมาก ๆ  

แม้ว่าเราจะเป็นเด็กใหม่ แต่ก็ทำงานดีจนเข้าตา จนพวกรุ่นพี่บอกว่า “กุ้งมันขายดีนะ ให้มันไปขายอันนี้แล้วกัน” ใน 1 สัปดาห์เราจะได้เงินเยอะมาก บางครั้งก็ 20,000 บางครั้งก็ 8,000 จนกลายเป็นเด็กใหม่ไฟแรงที่ไปแข่งกับรุ่นพี่คนนึง ชื่อว่าพี่นิด ตอนที่เจอกับพี่นิดในที่ทำงานก็ยิ้มให้กันทุกวัน พี่นิดก็จะทักเราว่าสบายดีไหม เราก็จะตอบว่าสบายดีค่ะ ตามปกติ

จนมีอยู่วันหนึ่ง รุ่นพี่ที่ทำงานได้มอบหมายงานขายสินค้างานนึงให้เรา ซึ่งจริง ๆ แล้วงานนี้มันเป็นของพี่นิด แต่พี่เค้าแต่กลับเอามาให้เราทำแทน ถ้านับงานก็ประมาณ 5-6 ครั้งได้ เราก็คิดว่า “ทำไมพี่เขาต้องให้เราด้วย แล้วก็คิดว่าพี่นิดเขาคงไม่ว่าอะไรเราหรอกมั้ง” 

จนช่วงบ่ายของวันหนึ่ง หลังจากที่เราทำงานเสร็จก็ไปนั่งทานส้มตำ ขณะที่กำลังนั่งกินอย่างเมามัน พี่นิดก็เดินมาเลย เดินมาถึงก็ทักทายและยิ้มให้เรา แล้วก็นั่งพูดคุยกันปกติ คุยกันได้สักพักพี่นิดก็เดินจากไป  เราก็ไม่ได้สนใจอะไร นั่งกินส้มตำต่อ  จนกระทั่งกินเสร็จก็จ่ายตังค์ แล้วขี่รถกลับบ้าน

พอตกช่วงกลางคืนอยู่ๆเราก็รู้สึกเวียนหัวมาก ๆ ตอนแรกก็คิดว่าส้มตำเป็นพิษหรือเปล่า  ก็เลยกินยา สักพักอาการเวียนหัวเหมือนจะดีขึ้น เราก็นอนต่อ 

พอรุ่งเช้าเราก็ออกไปทำงานปกติ แต่วันนั้นเป็นอะไรที่แย่มากๆ เพราะเราไม่สามารถขายสินค้าอะไรได้เลย ไม่ได้เงินสักบาทเดียว จากที่ก่อนหน้านี้เคยขายดีมากๆ เราก็รู้สึกแปลกใจ คิดว่าวันนี้ตัวเองไปทำอะไรผิดมาหรือเปล่า หรือก่อนออกจากบ้านไม่ได้ไหว้พระ

พอเลิกงาน ขี่รถกลับถึงห้องพัก อาการเราหนักกว่าเมื่อวานอีก ทั้งอ้วก ทั้งเวียนหัว อ้วกจนเป็นลมล้มลงหน้าห้องตัวเอง เพื่อนที่อยู่ข้างห้องเห็นก็วิ่งมาดู เขาก็ช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้น สักพักเราก็อาการดีขึ้น 

หลังจากนั้นมาอาการเราก็เริ่มแย่ลง คือกลางวันใช้ชีวิตได้ปกติ แต่พอตกกลางคืนอาการมันก็จะกำเริบเหมือนเดิม  จนไม่สามารถไปทำงานได้เป็นเดือน

ตอนแรกเราคิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็ค่อยหายากินเอง แต่อาการมันก็ยังไม่ดีขึ้น จนต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาล พอคุณหมอตรวจเสร็จก็ให้ยากลับมากินปกติ จนเข้าเดือนที่ 5 อาการเริ่มหนักขึ้นคือ… 

พอใกล้ถึงวันพระวันโกนเราจะมีอาการตาขวาง แล้วของมีคมจะอยู่ใกล้ตัวเราไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นพวกแก้วจานชามช้อน หรือมีด ห้ามใกล้ตัวเด็ดขาด  เพราะถ้าเราไม่ไปแทงคนอื่นก็จะแทงตัวเอง เป็นอยู่อย่างนี้จนแฟนเราเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ต้องทำอะไรสักอย่าง

ในทุกๆคืนแฟนจะต้องนั่งเฝ้าเราตลอด แฟนบอกว่าตอนกลางคืนเราจะชอบละเมอพูดภาษาแปลกๆ จับใจความไม่ได้ อาการเราเริ่มหนักขึ้น จนเริ่มรู้สึกว่าอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว ก็เลยเดินทางกลับมาอยู่บ้านกับแม่ที่กรุงเทพฯ แต่อาการเราก็ยังไม่ดีขึ้น แถมยังหนักกว่าเดิมอีก

แม่บอกว่า ตอนกลางคืนเราจะชอบไม่ใส่เสื้อผ้า ตอนกลางวันจะไม่กินข้าว ไม่กินน้ำ ไม่กินอะไรทั้งสิ้น วันๆจะเอาแต่นั่งกัดริมฝีปากตัวเองจนห้อเลือด กัดตามมือ กัดตามแขน กัดตามขา ตรงไหนในร่างกายที่เราสามารถกัดได้เรากัดหมด ใครก็เข้าใกล้ไม่ได้ แล้วเวลาที่อ้วกก็อ้วกออกมาเป็นน้ำสีดำๆ จนแม่ต้องส่งตัวเราไปรักษาที่โรงพยาบาลบ้านสมเด็จ 

ขณะที่นอนรักษตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ตอนกลางวันเราก็มีอาการปกติดี เดินได้ พูดได้ แต่พอตกกลางคืนพยาบาลจะต้องจับเราใส่เสื้อมัดหลังเอาไว้  สาเหตุที่ต้องทำอย่างนี้ เพราะตกกลางคืน เราเคยเดินขึ้นไปบนอาคารที่มี 3 ชั้น แล้วเตรียมตัวจะกระโดดลงมา 

บางทีเราก็รู้สึกตัว บางทีก็ไม่รู้สึกตัว เรามักจะได้ยินของใครบางคนพูดกรอกหูว่า “มึงจะอยู่ไปทำไม คนอย่างมึงต้องตายเท่านั้น ตายสิ” เราก็ตอบเขากลับไปว่า “จะให้ฉันตายใช่ไหม ได้สิฉันจะไปตาย” 

มันเกิดขึ้นกับเราบ่อยมาก จนน้ำหนักตัวเราจาก 80 กก. ลดลงไปเหลือ 39 กก. คุณหมอบอกว่าเราเป็นจิตวิปริตอุปทาน จึงได้แต่ให้น้ำเกลืออย่างเดียว เรามองตัวเองผ่านกระจก บอกตรง ๆ สภาพเราน่าสมเพชมาก 

จนแฟนเห็นว่าเราอยู่โรงพยาบาลก็ไม่มีอะไรดีขึ้น จึงนำเราออกมาจากโรงพยาบาล แล้วพาเดินทางกลับไปบ้านที่จันทบุรี ซึ่งเป็นบ้านของแฟน พอเดินทางถึงบ้านแฟน อยู่ ๆ ไม่ยอมเข้าบ้านแฟนซะอย่างนั้น ร้องกรี๊ดจะหนีกลับกรุงเทพฯอย่างเดียว ทั้งๆที่เราก็เคยมาบ้านแฟนหลายครั้งแล้ว  คือทำยังไงเราก็ไม่ยอมเข้าบ้านแฟนอ่ะ

จนกระทั่งแฟนได้ไปเชิญพระสงฆ์องค์หนึ่งมา พอพระท่านมาถึง แฟนเล่าให้ฟังว่า อยู่ๆเราก็มีอาการอ่อนลง จนสามารถเดินเข้าบ้านเองได้ พอสติเราเริ่มกลับมา เราก็งงว่าตัวเองมาอยู่ที่บ้านแฟนได้อย่างไง  จริงๆแล้วเราต้องอยู่บ้านแม่ที่กรุงเทพฯสิ 

พระท่านก็บอกเราว่า “เวรกรรมนะ มีสติให้มากกว่าเดิม หมั่นสวดมนต์บ้าง ที่เหลือก็สุดแล้วแต่เวรแต่กรรมนะ” แล้วเพราะท่านก็ปลุกเสกน้ำมนต์เพื่อให้เราเอามากิน มาอาบ เราก็นำมากินมาอาบจนเวลาผ่านไป 3 วัน จนกระทั่งคืนที่ 4 เวลาตี 4 อยู่ ๆ เราก็ตื่นขึ้นมาไปหยิบมีดมาวิ่งไล่ฟันคนทั้งบ้าน 

“ปล่อยฉันไปไม่งั้นทุกคนต้องตาย” เราพูดแบบนี้ แล้วก็เอามีดไล่ฟันต่อ จนทุกคนในบ้านต้องช่วยกันจับตัวเราแล้วพาเราไปยังสถานที่ที่นึง ซึ่งเป็นบ้านของร่างทรง พอไปถึงร่างทรงยังไม่ยอมให้เราเข้าบ้านในทันที แต่บอกว่าให้ยืนรออยู่หน้าบ้าน 

ร่างทรงเดินกลับเข้าบ้านไปทำพิธีเผาอะไรบางอย่าง แล้วเอาใส่น้ำเดินออกมา แล้วก็บอกให้เราเดินลงไปเหยียบน้ำ 

ตอนแรกเราไม่ยอมลงไปเหยียบ จนกระทั่งร่างทรงบอกว่า “ลงไปนะลูก” อยู่ๆเราก็ฟังร่างทรงซะงั้น  แล้วก็เดินลงไปเหยียบน้ำ พอเราเอาน้ำแช่น้ำเท่านั้นแหละ หลังจากนั้นเราก็เดินเข้าบ้านร่างได้เฉยเลย 

ที่นี้ก็ถึงขั้นตอนการรักษา ร่างทรงใช้เทียนเป็นมันรวมกันประมาณ 19-20 เล่ม จุดไฟ แล้วนำน้ำตาเทียนมาถูตามตัวเรา แต่เรากลับไม่รู้สึกร้อนอะไรเลย เรารู้สึกเหมือนมีอะไรกำลังวิ่งอยู่ในตัวเรา วิ่งไปมาทั่วร่างกาย จนรู้สึกเจ็บมาก ร่างทรงใช้เทียนประมาณ 4 มัด ถูไปรอบตัวเรา ถูไปตรงไหนมันก็วิ่งหนีไปตรงนั้น 

เราก็มองตามไปตรงจุดที่ร่างทรงถู เห็นเลยว่ามันวิ่งไปที่แขน เป็นเหมือนลูกอะไรสักอย่างกำลังวิ่งอยู่ในใต้ผิวหนังเรา สักพักร่างทรงก็นำไข่ไก่มาชุบน้ำตาเทียนแล้วก็คลึงวนตรงที่มันๆ นูน ๆ ขึ้นมา 

ชาวบ้านแถวนั้นพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ระหว่างที่ทำพิธี เราส่งเสียงกรี๊ด มันไม่ใช่เสียงของคนคนเดียว แต่มีทั้งเสียงคนแก่ เสียงเด็ก และเสียงผู้หญิง 

เราเพิ่งมาทราบทีหลัง ตั้งแต่วันที่เราไปรักษากับร่างทรง พอตกกลางคืนชาวบ้านแถวนั้นเขาปิดประตูปิดหน้าต่างหนีกันหมดเลย 

เรารักษาตัวอยู่กับร่างทรงเป็นเวลา 4 เดือนเต็ม กินนอนอยู่ที่บ้านร่างทรง ไม่ได้กลับบ้านเลย แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น จนร่างทรงบอกเราว่าไปต่อไม่ได้แล้ว ให้เราขึ้นไปบวชชีพราหมณ์ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดจันทบุรี 

พอไปถึงวัดหลวงพ่อท่านก็รับให้เราบวชชีพราหมณ์ แล้วท่านก็ให้เราไปอยู่คนเดียว ไม่ว่าใครก็ห้ามมาอยู่ด้วย ให้ทำวัตรสวดมนต์ อาบน้ำมนต์ กินน้ำมนต์ หลังจากที่เรากินน้ำมนต์เข้าไป ก็อ้วกออกมาทันที เราตกใจมาก เมื่อเห็นสิ่งที่ออกมากับอ้วก มันมีพวกเส้นผม เด็กสนิม มีลิ่มเลือด เต็มไปหมด

เราบวชชีพราหมณ์อยู่ปีครึ่งเต็ม ๆ  หลวงพ่อท่านก็บอกว่า “ไม่ต้องบวชชีพราหมณ์แล้วนะ ให้ปลงผมบวชชีเลย ไม่งั้นไม่รอดแน่”  

ระหว่างที่เราปลงผมบวชชีอยู่ หลวงพ่อท่านก็บอกว่า “ให้อยู่กรรม ให้ตัดวิบากกรรมไม่พูด ไม่คุยกับใครนะ” เราทำตามที่หลวงพ่อบอกทุกวันติดต่อกันเป็นระยะเวลา 8 เดือน  อาการถึงกลับมาเป็นปกติ 

แต่ก่อนวันสุดท้าย วันที่เรารู้ตัวว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติ คืนนั้นคุณกุ้งนั่งสวดมนต์ปกติ สักพักก็เริ่มเพลียจนนอนหลับไปได้ครู่นึง  อยู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนนึงมายืนที่ตรงเสาท้ายกุฏิ ยืนจ้องมองมาที่เราด้วยสายตาอาฆาต แล้วบอกว่า “เขาสั่งให้กูมาทำ ถ้ากูไม่ทำกูก็โดนทำร้าย แต่กูทำมึงไม่ได้ กูทำแล้วแต่มึงแข็ง” และคำสุดท้ายที่เขาพูดกับเราคือ “อโหสิกรรมให้กูด้วยนะ กูไปแล้ว มึงหมดกรรมแล้ว” 

เป็นระยะเวลา 3 ปีกับ 4 ปีที่เราอยู่ในวังวนนี้  ท้ายที่สุดเราก็ทราบว่าใครทำของใส่ เราคิดแต่แรกอยู่แล้วว่าต้องเป็นคคนนี้แน่ ๆ วันนั้นเราตั้งใจเลยว่าจะไปหาที่พี่นิดที่บ้าน เพื่ออยากให้พี่นิดรู้ว่าฉันยังอยู่นะ แต่พอไปถึงเรากลับเจอพ่อของพี่นิดแทน พอพ่อพี่นิดเห็นเราเขาก็ตกใจ แล้วก็วิ่งขึ้นมาหาเราแล้วบอกว่า 

“พ่อขอโทษ ขออโหสิกรรม ลูกของพ่อตายไปแล้ว ลูกพ่อรับกรรมไปแล้ว” 

เราถามพ่อพี่นิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่เขา พ่อพี่นิดบอกว่า พี่ประสบอุบัติเหตุโดนรถชนเสียชีวิต ส่วนสามีของพี่นิดก็ผูกคอตายในบ้าน และลูกของพี่นิดก็สติฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ จนทุกวันนี้น้องคนนี้ก็ยังมีอาการสติฟั่นเฟืองอยู่

ก่อนจากกันพ่อพี่นิดก็พูดขึ้นมาคำนึงว่า “จะไม่ทำใครอีกแล้ว พ่อขอโทษ อโหสิกรรมให้ครอบครัวพ่อทั้งหมดด้วย”  นั่นจึงทำให้เรารู้ว่าคนทำของใส่ตัวเองก็คือพ่อของพี่นิดนี่เอง สาเหตุก็คงมาจากการค้าขายที่เราทำยอดขายดีเกินหน้าเกินตาพี่นิด

และสิ่งที่เราโดนก็คือคุณไสยยาสั่ง ย้อนกลับไปในวันที่กินตำปูปลาร้า ขณะที่เรากำลังกินส้มตำอยู่ คงเป็นวันนั้นแหละที่พี่นิดเอาของมาใส่ในส้มตำให้เรากิน

หลังจากเหตุการณ์นี้ จากที่เราไม่เคยเชื่อเรื่องเวรกรรม จากที่ไม่เคยทำบุญ ไม่เคยเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ ณ จุดจุดนี้เราบอกเลยว่าเราเชื่อหมดทุกอย่างแล้วจริงๆ 

ขอบคุณเรื่องจาก อังคารคุมโปง | พี่กุ้ง

Previous articleเสียงปริศนา
Next articleยุติการเผยแพร่