Home กระทู้ผีพันทิป ชั้นสามห้องสุดท้าย เอาหัวกูออกไปด้วย…..กูอยู่ใต้เตียงมานานแล้ว

ชั้นสามห้องสุดท้าย เอาหัวกูออกไปด้วย…..กูอยู่ใต้เตียงมานานแล้ว

ชั้นสามห้องสุดท้าย เอาหัวกูออกไปด้วย…..กูอยู่ใต้เตียงมานานแล้ว
ชั้นสามห้องสุดท้าย

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี่เอง ผมได้ฟังจากน้องที่ทำงานด้วยกันไปเจอมา ดีที่ว่าน้องคนนี้เป็นคนไม่กลัวผี

หลังจากที่น้องคนนี้ได้นำเรื่องมาเล่าในที่ทำงาน เพื่อนพี่น้องคนอื่นๆ ที่มีประสบการณ์เคยพักในสถานที่แห่งนี้ก็แบ่งปันประสบการณ์ของตนเองอีกหลายคน ผมมั่นใจว่าที่นี่มีประวัติจริงๆ ไม่งั้นไม่ “โดน” กันมาหลายคน 

ผมจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาจากเค้าโครงของเรื่องจริง !!!! โดยเขียนเป็นเรื่องสั้นตามสไตล์การเขียนของผม

หลังจากจบเรื่องนี้แล้ว ผมจะมาเล่าให้ฟังว่าที่น้องเค้าเจอมาจริงๆ นั้นเค้าเจออะไรบ้าง

ขอเชิญทุกท่าน หาความสำราญได้จาก เรื่องเล่า ไม่ควรเล่า ตอน ชั้น 3 ห้องสุดท้าย ได้   ณ  บัด นี้ 

‘คุณอย่าไปพักที่นี่นะ เชื่อผม’

‘ถ้าผมเลือกได้ผมไม่พักที่นี่หรอกพี่’

‘เคยมีคนพูดให้ฟังหลายคนแล้ว แค่นึกก็ขนลุก…’

คำพูดของเพื่อนร่วมงานที่พูดให้ฟังก่อนออกเดินทางดังแว่วเข้ามาในสมอง ในขณะที่ผมยืนถือกระเป๋าอยู่หน้าสถานที่แห่งนั้น มันเป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็น

ก็มันเลือกไม่ได้นี่หว่า ใครจะรู้ว่าวันนี้มันมีงานกีฬาแห่งชาติที่จังหวัดน่านเป็นเจ้าภาพ ทำให้ที่พักในตัวจังหวัดเต็มหมดทุกที่ แล้วงานของผมก็เลื่อนไม่ได้เสียด้วยต้องมาบรรยายช่วงนี้พอดี ความจริงผมเคยมาทำงานที่จังหวัดนี้หลายครั้งแต่ก็ยังไม่เคยเข้าพักที่นี่เลย

ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่เดินหิ้วกระเป๋าก้มหน้าเข้าโรงแรม ที่นี่เป็นโรงแรมใหญ่เก่าแก่ประจำจังหวัดตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ในตัวเมือง การเดินทางสะดวกสบาย หาของกินง่าย ดูแล้วก็โอ่โถงดีเหมือนกัน แต่ก็แปลกที่โรงแรมนี้ยังไม่เต็มตอนที่ผมติดต่อจองห้องพัก แต่ก็คงไม่แปลกที่ไม่เต็มถ้าเรื่องที่เขาเล่าๆต่อกันมาเป็นเรื่องจริง

‘เอาน่า…พักแค่คืนเดียวพรุ่งนี้ก็กลับแล้ว’ ผมให้กำลังใจตัวเอง หลังรับกุญแจห้องพักที่เคาท์เตอร์ มองที่พวงกุญแจเห็นเลขห้อง 313 

“น้อง มีห้องอื่นอีกหรือเปล่า”

“เหลือห้องนี้ห้องเดียวแล้วค่ะ แขกเข้าพักเต็มหมดแล้วค่ะ”

ผมไม่พูดอะไรต่อเดินขึ้นห้องพักทันที

‘ยังไงคืนนี้ก็มีเพื่อนพักกันเต็มโรงแรมหละวะ’ ผมนึกปลอบใจตัวเองระหว่างเดินเข้าลิฟท์ขึ้นห้องพัก

พวกเพื่อนๆ ที่บริษัทไม่น่าเล่าเรื่องเกี่ยวกับที่นี่ให้เราฟังเล๊ยยย ไม่รู้เรื่องที่พูดเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า หรือว่าหลอกให้เรากลัว ไอ้เรื่องที่พูดน่ะจริงไม่จริงไม่รู้ แต่ตอนนี้กลัวตามที่เค้าตั้งเป้าหมายไว้แล้วหละ ทั้งที่ปรกติผมก็ไม่ใช่คนกลัวอะไรมากมาย

ลิฟท์เปิดที่ชั้น 3 เดินไปทางซ้ายของตัวตึก ห้องพักของผมอยู่ริมสุดทางเดินติดบันไดหนีไฟ ทั้งชั้นเงียบกริบ เหมือนไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ มีเพียงเสียงเท้าที่ก้าวเดินของผม และเสียงของกุญแจห้องพักที่แกว่งกระทบกับกระเป๋า notebook ตามจังหวะของการเดินเท่านั้น

เมื่อถึงหน้าห้อง ก่อนไขกุญแจเข้าไปผมมองสำรวจบริเวณประตูโดยรอบ ไม่มีผ้ายันต์ ไม่มีสายสิญจน์ ไม่มีรอยเจิมใดๆทั้งสิ้น ฮ่า..สบายใจไปเปราะนึงแล้ว…ผมไขกุญแจเข้าห้องพัก ทุกอย่างในห้องก็เหมือนห้องพักของโรงแรมทั่วๆไป ไม่มีอะไรผิดปรกติ ภายในห้องถูกทำความสะอาดไว้อย่างดีเพื่อรอต้อนรับผู้เข้าพัก ผมถอดรองรองเท้าไว้หน้าตู้เสื้อผ้า วางกระเป๋า เดินไปเปิดทีวี แล้วนั่งที่ปลายเตียง เมื่อสัญญาณภาพของทีวีติดขึ้นผมก็เอนหลังนอนแผ่บนเตียงโดยที่ขาทั้งสองข้างยังห้อยอยู่ที่ปลายเตียง 

ดูทีวีไปไม่ถึงห้านาที ก็เริ่มได้กลิ่นแปลกๆ เป็นกลิ่นเหม็นเหมือนซากหนูตาย ฉุนๆสาบสางปนอับทึบเหมือนตายมานาน จากกลิ่นที่ลอยมาจางๆ ในช่วงแรก เป็นแรงขึ้น แรงขึ้น จนผมทนไม่ไหวลุกขึ้นจากเตียง เปิดดูในตู้เสื้อผ้า ในห้องน้ำ ใต้เตียง หลังโต๊ะวางทีวี ไม่เจอต้นเหตุของกลิ่น กลิ่นนั้นยังไม่ทันหายไป และก่อนที่ผมจะตัดสินใจแจ้งเจ้าหน้าที่ของโรงแรม เรื่องที่มีคนเล่าให้ฟังก่อนเดินทางมาที่นี่ก็ผุดขึ้นมาในหัวทันที เขาเล่าให้ฟังว่า…..

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ส่วนงานอื่นของบริษัทเดินทางไปพักที่โรงแรมแห่งนี้ แล้วต้องถูกปลุกให้ตื่นมากลางดึกด้วยกลิ่นเหม็นของอะไรบางอย่างจนนอนไม่ได้ หาสาเหตุของกลิ่นเท่าไรก็หาไม่เจอ เมื่อเรียกเจ้าหน้าที่ของโรงแรมขึ้นมาดู ก็ปรากฏว่ากลิ่นเหม็นที่รุนแรงนั้นหายไป เมื่อนอนต่อได้สักพักก็ได้กลิ่นขึ้นมาอีก ให้เจ้าหน้าที่โรงแรมมาดูก็ไม่มีกลิ่นอีก เมื่อเป็นอย่างนี้พวกเขาจึงตัดสินใจย้ายห้อง ในวันถัดมาพวกเขาได้เล่าเหตุการณ์ที่เจอมาให้พนักงานในพื้นที่ฟัง จึงพอจะได้คำตอบที่เล่าต่อๆกันมาอีกทีหนึ่งว่า…

ที่โรงแรมแห่งนี้ เคยมีคนที่มาพักเป็นผู้หญิงถูกฆ่าหั่นศพ กว่าตำรวจจะสืบเรื่องราวจนรู้ว่าใช้ห้องในโรงแรมเป็นโรงเชือดชั่วคราวและเจอชิ้นส่วนของศพที่ถูกทิ้งไว้กระจายตามจุดต่างๆของเมืองเพื่อเป็นการทำลายหลักฐานของคนร้าย ทั้งถังขยะ ในป่า หรือคลองชลประทาน เวลาก็ผ่านไปร่วมสิบวันแล้ว คนร้ายที่ตำรวจจับได้ก็ให้การไม่รู้เรื่องเหมือนคนเสียสติ หวาดกลัวบางสิ่งอย่างรุนแรง ที่สำคัญคือชิ้นส่วนของศพที่ถูกชำแหละนั้น ตำรวจตามเจอทั้งหมด ยกเว้น “หัว” ที่ทุกวันนี้ยังหาไม่เจอแม้จะปิดคดีไปแล้วก็ตาม ใครไปพักที่นี่ก็จะเจอกลิ่นแปลกโดยหาสาเหตุไม่เจออยู่บ่อยครั้ง บางรายก็เจอหนักกว่านั้น

“เขาเล่าๆกันมานะ ผมก็ฟังเขามาอีกที ไม่รู้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงมันก็น่ากลัวมากนะพี่” น้องที่บริษัทเล่าให้ผมฟังก่อนเดินทาง

“รู้ป่าวว่าห้องไหน จะได้ไม่พัก” ผมถามเพื่อหาข้อมูลเผื่อไว้

“เคยได้ยินเหมือนกัน แต่ผมจำไม่ได้ แต่ที่รู้ๆ มันอยู่ชั้น 3 ”

ผมยังยืนเหงื่อผุดอยู่ในห้อง นึกเชื่อมโยงเหตุการณ์ที่เคยฟังกับสถานการณ์ตอนนี้แล้วขนลุกขึ้นมาอย่างประหลาด ผมกำลังจะโทรไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ของโรงแรม พลันกลิ่นนั้นก็หายไปสิ้น มันชักจะเข้าเค้าอย่างไรพิกล ผมตัดสินใจยังไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ของโรงแรม ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบๆสี่โมงครึ่ง ท้องเริ่มหิว

‘ลงไปหาอะไรกินก่อนดีกว่า ถ้าขึ้นมายังได้กลิ่นอีก ค่อยแจ้งโรงแรม’

ผ่านไปประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง หลังจากได้อาหารมื้อเย็นช่วยขจัดความหิว และของใช้เล็กๆน้อยๆในร้านสะดวกซื้อตรงข้ามโรงแรมที่บรรยากาศคึกคักในช่วงเย็น ผมกลับเข้ามาที่โรงแรมอีกครั้ง ระหว่างทางเดินที่เงียบวังเวงที่ชั้น 3 มันชวนขนลุกแปลก ๆ ระยะทางจากลิฟท์ถึงห้องพักสุดทางเดินไม่น่าจะเกิน 30 เมตร แต่มันมีความรู้สึกว่าไกลเหลือเกิน ผมเดินไปคนเดียวเงียบๆ เงียบจนผิดปรกติ  ทันใดนั้น มีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งแซงผมไปด้วยความรวดเร็ว ท่าทางตื่นตกใจ เหมือนวิ่งหนีอะไรบางอย่าง จนเฉียดไหล่ของผมไปแบบถากๆ  แล้วรีบเปิดประตูบันไดหนีไฟที่ติดกับห้องพักลงไปทันที

ผมยังยืนนิ่งอยู่กับที่ คราวนี้ไม่ใช่เพราะความกลัวหรือตื่นตกใจ หากแต่เป็นความสงสัยในเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น เป็นไปได้หรือที่ผมจะไม่ได้ยินเสียงคนวิ่งมาด้านหลัง ทั้งที่บริเวณหน้าห้องพักเงียบขนาดนี้ ผมไม่ได้ยินอะไรเลย เขาวิ่งหนีอะไรทั้งๆที่เมื่อผมหันไปมองข้างหลังซึ่งเป็นทางที่เขาวิ่งมามันไม่มีอะไรเลย ทุกอย่างยังเงียบนิ่ง ถ้าวิ่งออกมาจากห้องก็ต้องได้ยินเสียงเปิดประตู หรือว่า…เขาเพิ่งจะโผล่มาวิ่งที่ข้างหลังผมนี่เอง 

ขนแขนเริ่มลุกชัน ณ หน้าห้อง 313 เสียงของน้องผู้หญิงที่ทำงาน กับเรื่องที่เธอเล่าให้ฟังก่อนมาที่นี่ก็ดังกลับเข้ามาในมโนสำนึก 

เธอเล่าว่า “ที่โรงแรมแห่งนี้เคยมีเหตุยิงกันตาย เขาเล่ากันว่าแต่ก่อนชั้นล่างของโรงแรมมีผับใหญ่ แล้วเกิดเหตุคนที่มาเที่ยวทะเลาะวิวาทจนถึงขั้นยิงกันตายเลยนะพี่” ผมนั่งฟังด้วยท่าทีที่เรียบเฉยโดยไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะเหตุการณ์อย่างนี้ก็เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆในบ้านเรา แล้วเธอก็เล่าต่อด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “แล้วที่สำคัญมันไม่ได้ตายในผับ มันไล่ยิงกันจนมาตายหน้าห้องพักของโรงแรม ไอ้คนที่โดนไล่มันวิ่งหนีขึ้นมาถึงชั้น 3 สุดท้ายหนีไม่ทัน ถูกยิงตายตรงประตูทางหนีไฟ” ผมนั่งฟังนิ่งๆแล้วนึกภาพตาม

“แล้วคนที่ไปพักที่นั่น ก็มักจะเจอเรื่องแปลกๆ นะพี่ ได้ยินเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือ แต่พอเปิดประตูไปดูกลับไม่เจอใคร คนเค้าเล่าลือกันว่า น่าจะเป็นวิญญาณของคนที่ถูกยิงตายมาขอความช่วยเหลือ เพราะอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าตายไปแล้วก็ได้ อื๊ยยย นึกแล้วขนลุก เป็นหนูนะ ไม่พักที่นี่เด็ดขาด”

ตอนที่ผมฟังเรื่องนี้ บอกตามตรงผมไม่รู้สึกอะไรเลย แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ด้วยความที่ตอนนี้ยังไม่ค่ำมากนัก และความสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้นมันมากกว่าความกลัว ผมตัดสินใจเดินไปเปิดประตูทางหนีไฟที่ไม่ห่างจากประตูห้องพักมากนัก

แต่…มันเปิดไม่ออก เหมือนประตูถูกล็อคจากภายนอกอย่างแน่นหนา ทั้งดึงทั้งดัน ก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับ ความงุนงงสงสัยเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับความกลัว หรือว่าเรื่องที่เขาเล่ากันมาจะเป็นเรื่องจริง ผมรีบละจากประตูทางหนีไฟแล้วรีบไขกุญแจเข้าห้องพักทันที

นี่ขนานยังไม่ทันข้ามคืนผมเจอเรื่องแปลกๆ ถึงสองเรื่อง จะเปลี่ยนห้องก็ไม่มีห้องว่าง จะย้ายโรงแรมก็เต็มหมด หลวงพ่อที่แกะจากไม้พญางิ้วดำที่คล้องคอ ถูกอาราธนาขึ้นมาพนมไว้ด้วยสองมือที่สั่นเพราะความกลัว พุทธัง อาราธนานัง ธรรมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง ขอให้คืนนี้ผ่านพ้นไปด้วยดีด้วยเถอะส๊าธุ

ในห้องไม่มีกลิ่นเหม็นอีกแล้ว อาจเป็นไปได้ว่ามันเป็นกลิ่นที่ลอยมาจากภายนอก แล้วคงจะมีใครจัดการไปแล้ว หรือแขกที่เข้าพักคนอื่นก็ได้กลิ่นเหมือนกัน แล้วคงแจ้งให้ทางโรงแรมจัดการไปแล้วก็เป็นได้

ช่างมันเถอะ เดินทางมาก็เหนื่อยพออยู่แล้ว เอาเวลาไปพักผ่อนดีกว่า คิดมากปวดหัวเปล่าๆ

ผมนอนดูรายการช่วงเย็นอยู่สักพัก หลังจากนั้นอาบน้ำ และนั่งทำงานทบทวนเนื้อหาที่ต้องใช้สอนพรุ่งนี้อีกนิดหน่อยก็เตรียมตัวเข้านอน ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณสามทุ่มเศษๆ ซึ่งความจริงแล้วผมก็ยังไม่ง่วงนัก จึงนอนดูทีวีไปเพลินๆ กะว่าง่วงเมื่อไรก็ปิดไฟนอน ….ตลอดระยะเวลา 3 ชั่วโมงกว่าๆ ที่ผ่านมาไม่มีสิ่งผิดปรกติใดๆเกิดขึ้นอีกเลย อาจเป็นเพราะอำนาจพุทธคุณ หรืออาจจะไม่มีอะไรจริงๆก็ได้ จนผมจะลืมๆไปแล้วด้วยซ้ำ

ผมยังไม่ง่วง ระหว่างนอนดูทีวีอยู่นั้น โคมไฟที่ห้อยอยู่ตรงปลายเตียงใกล้กับหน้าทีวี ซึ่งแขวนด้วยลวดเส้นใหญ่ติดกับเพดานห้องห้อยยาวลงมาหนึ่งฟุตเห็นจะได้ เริ่มแกว่งช้าๆๆ จนผมสังเกตได้ เหมือนมีคนเอามือไปเขี่ยเล่น “เอาอีกแล้ว หลอกให้กูกลัวอีกแล้ว”… ผมนึกในใจ แต่คราวนี้ไม่สำเร็จ ผมไม่กลัว

ผมลุกขึ้นเดินไปที่สวิสควบคุมเครื่องปรับอากาศในห้องที่ติดอยู่ที่ผนังหน้าห้องน้ำ แล้วปรับความแรงของพัดลมแอร์ลงมาเหลือต่ำสุด แต่โคมไฟเจ้าปัญหามันยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแกว่ง ยิ่งกว่านั้นมันเหมือนจะแกว่งแรงขึ้นกว่าเดิมอีก

ความกลัวเข้ามาเกาะกุมในใจอีกครั้ง ผมรู้สึกร้อนๆหนาวอยากไรพิกล พลัน เรื่องที่เพื่อนเล่าให้ฟังก่อนเดินทางก็เด่นชัดเข้ามาในความคิด มันเล่าให้ผมฟังว่า

“เฮ้ย กูมีอีกเรื่องนึงจะเล่าให้ฟัง ได้ยินคนอื่นเค้าล่ำลือเหมือนกัน” มันเล่าต่อจากสองเรื่องแรกด้วยภาษาที่เป็นกันเองของเพื่อนสนิท “โรงแรมเนี๊ยะ เคยมีคนผูกคอตายเว้ย” แว๊บแรกผมไม่นึกเชื่อเลยแม้แต่น้อย ด้วยความที่สนิทกันและมักมีเรื่องมาอำกันบ่อยๆ บวกกับมันคงอยากเพิ่มดีกรีความหลอนต่อจากสองเรื่องแรก ก็คงจะกุเรื่องเพิ่มขึ้นมาให้ครบรสเท่านั้นเอง

“เค้าว่ากันว่าเป็นผู้หญิงขายบริการแถวๆนั้นแหละ แล้วน่าจะเครียดเพราะเป็นเอดส์ วันนั้นแขกคงเรียกขึ้นมาบนห้อง หลังเสร็จงานก็คงจะลาโลกเลย ฮ่าๆๆๆ ละวังนะโว้ยอย่าเรียกใครขึ้นมาสุ่มสี่สุ่มห้าจะหาว่ากูไม่เตือน…”

“เฮ้ยๆ ยังไม่จบ บางคนก็ว่า คนที่ตายน่ะ ตั้งใจมาตายที่นี่โดยเฉพาะ”

ตอนนั้นผมยังนึกยิ้มอยู่ในใจ ว่าเพื่อนคนนี้มันจะอำอะไรต่ออีก

“ผู้หญิงตามมาหาแฟนที่น่าน แล้วมารู้ว่าผู้ชายมีเมียอยู่แล้ว ทำใจไม่ได้ ยังไม่ลืมความทรงจำที่ดี เลยตัดสินใจด้วยการผูกคอตายที่โรงแรมซะเลย” มันเล่าพร้อมกับทำเสียงให้น่ากลัว

“แขกที่ไปพักหลายคนจะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้บ้าง หนักกว่านั้นเห็นเป็นตัวจะจะเลยนะ ห้อยลงมาจากเพดานห้องเลย”

ผมถามสวนกลับไปทันที เพื่ออยากรู้ว่ามันจะคิดเรื่องทันหรือเปล่า “แล้วผู้หญิงแขวนคอกับอะไรวะ”

มันตอบมาทันทีเช่นกัน “โคมไฟ กลางห้อง”

ตอนนี้ทั้งสองมือของผมชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อทั้งที่อากาศในห้องเย็นฉ่ำ ทีวียังเปิดอยู่ แต่เหมือนผมจะไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นนอกจากเสียงเต้นถี่ๆของหัวใจเพราะความตื่นกลัว

โคมไฟที่แกว่งไปมาอยู่ตอนนี้ มันน่าจะเกิดจากแรงลมของพัดลมเครื่องปรับอากาศ แต่ก็น่าแปลกที่มันเพิ่งจะมาแกว่งเอาตอนนี้เอง ถ้าเกิดจากแรงลมมันน่าจะแกว่งมานานแล้วตั้งแต่ตอนเปิดแอร์ใหม่ๆ ผมค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้โคมไฟอย่างช้าๆ ดัวยท่าทีกลัวๆกล้า ค่อยๆยกมือที่สั่นและชื้นเหงื่อขึ้นช้าๆ  หวังจะจับให้มันนิ่งเหมือนเดิม และก่อนที่มือของผมจะเอื้อมถึงโคมไฟที่อยู่ไม่สูงเกินไปนัก สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ามันทำให้ผมขนลุกชัน เสียวสันหลังวาบขึ้นมาอีกครั้ง

โคมไฟหยุดแกว่งในทันทีเหมือนมีอีกมือที่มองไม่เห็นมาจับ พร้อมกันนั้น ทีวีที่เปิดอยู่ก็ดับลงทันทีเช่นกัน ทั้งห้องเงียบกริบ โคมไฟยังห้อยนิ่ง มันนิ่ง จนน่ากลัว แม้ในห้องจะเงียบสงัด แต่ความรู้สึกของผมเหมือนตอนนี้ผมจะไม่ได้อยู่ในห้องคนเดียวเสียแล้ว ผมอาจจะกำลังอยู่ ในที่ที่ไม่ควรมาอยู่ ก็เป็นได้

ไม่ทันที่ผมจะคิดอะไรต่อ ทีวีกลับมาติดอีกครั้ง ทุกอย่างกลับมาเป็นปรกติ เหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เว้นแต่ความรู้สึกตื่นกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็นเท่านั้นที่ยังคงคุกรุ่นวนเวียนอยู่ในสมอง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ในเมื่อย้ายไปนอนที่อื่นไม่ได้อยู่แล้ว ก็ต้องนอนที่นี่ล่ะวะ รีบนอนให้หลับจะได้เช้าไวๆ ผมตัดสินใจเข้านอนทันที โดยเปิดไฟสว่างทั่วทั้งห้อง และให้ทีวีทำหน้าที่ของมันต่อไปทั้งคืนโดยผมเลือกเปิดช่องที่มีรายการเพลงทิ้งไว้ นอนพลิกตัวไปมาอยู่หลายรอบด้วยความไม่เคยชินกับการนอนเปิดไฟและมีเสียงของทีวีรบกวน และอีกใจก็ยังนึกกลัวอยู่ว่าจะเกิดอะไรแปลกๆขึ้นอีกหรือเปล่า เรื่องที่เจอวันนี้ ทั้งกลิ่นที่เหม็นสาบสางโดยหาสาเหตุไม่เจอ คนที่วิ่งมาจากไหนไม่รู้แล้วลงบันไดหนีไฟทั้งที่ประตูเปิดไม่ได้ กับโคมไฟกลางห้องที่แกว่งไปมา และหยุดเอง ยังวนเวียนอยู่ในหัวสลับกับเรื่องเล่าจากเพื่อนร่วมงาน ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด สุดท้ายผมก็หลับ

ในกลางดึกเรื่องทั้งหมดมันก็วนกลับในหัวผมอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไรแล้ว ณ ตอนนี้ สิ่งที่ทำให้ผมตื่นคือเสียงเคาะประตูรัวๆพร้อมกับลูกบิดประตูถูกบิดและเขย่าอย่างแรง เหมือนว่าผู้ที่อยู่ภายนอกห้องต้องการเข้ามาในนี้ให้ได้ ก่อนนอนผมจำได้ว่าผมล็อคประตูลงกลอนและคล้องโซ่ไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าเป็นโจรคงไม่ทำเสียงดัง หรือจะเป็นใคร หรืออะไร ก็แล้วแต่ผมไม่เปิดประตูให้เข้าเด็ดขาด 

แต่ตอนนี้ ในห้องมืดสนิท ไฟถูกปิด ทีวีไม่ได้เปิดไว้เหมือนเดิม ช่างมัน สิ่งที่ควรรู้ตอนนี้มากกว่าคือ อะไรกำลังเกิดขึ้นที่หลังประตูห้องที่ยังดังไม่หยุดมากกว่า อาศัยแสงไฟจากหน้าห้องที่ลอดมาจากขอบประดูด้านล่าง และจุดตรงตาแมว ผมเดินตรงไปมองที่ตาแมวทันที ภาพที่ผมเห็นคือชายคนหนึ่งอายุไม่น่าจะเกินสามสิบปี เคาะประตูด้วยท่าทีที่ร้อนรนและหวาดกลัวเหมือนต้องการจะเข้ามาในห้องให้ได้ พร้อมกันลูกปิดยังถูกเขย่าด้วยความแรงอยู่เช่นนั้น

“ช่วยด้วย ช่วยผมด้วยครับ เปิดประตูให้ผมหน่อย มีคนจะฆ่าผม ช่วยด้วย ช่วยเปิดประตูด้วย” คำพูดสุดท้ายที่ตะโกนก้องผ่านประตูเข้ามามันเจือปนไปด้วยเสียงแห่งความสิ้นหวัง สายตาของผมยังมองลอดอยู่ที่ตาแมว แสงไฟที่สลัวรางที่อยู่หน้าห้องแม้จะไม่สว่างมากนักแต่ก็ยังเห็นภาพต่างๆได้อย่างชัดเจน

ทันใดนั้น สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ปัง! เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด เพียงนัดเดียว แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ร่างของชายที่ยืนอยู่ต่อหน้าผมเพียงประตูกั้นล้มลงทันที เลือดจากสมองสาดกระเด็นมาที่ช่องตาแมว ผมหลับตาผงะถอยหลังตามสัญชาตญาณ หัวใจเต้นถี่ด้วยความตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ความกลัวทำให้ผมเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว ความง่วงงัวเงียหายไปสิ้น ด้วยความอยากรู้ว่าสถานการณ์ที่หน้าห้องจะเป็นเช่นไร ผมค่อยๆแนบหน้าไปที่ประตูอย่างช้าๆ เพื่อไม่ต้องการให้ใครก็ตามที่อยู่ข้างนอกห้องนั้นรู้ว่ามีคนอยู่ในห้อง ดวงตาค่อยๆประกบไปที่ตาแมวอีกครั้ง

ทุกอย่างเงียบสนิทเหมือนเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ไม่ได้เกิดขึ้น ทันใดนั้นร่างของชายที่ถูกยิงล้มลงไม่เมื่อสักครู่ ทะลึ่งลุกขึ้นมายืนอยู่ตรงหน้า หน้าตาชุ่มโชกไปด้วยเลือดสีแดงสด ตาข้างซ้ายโปนเพราะถูกยิงจนเกือบจะหลุดออกมาจากเบ้า 

ณ ตอนนี้ ผมขยับตัวไม่ได้ เหมือนเรี่ยวแรงจะหายไปสิ้น ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า บัดนี้มันยกมือขึ้นชี้ตรงมาที่ประตูห้องพร้อมตะโกนก้องด้วยความเกรี้ยวกราด

“ไม่ช่วยกู ไม่มีใครช่วยกูเลย” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธแค้นอาฆาต สิ้นหวัง ปนความเศร้า พร้อมกัน ร่างนั้นค่อยๆขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เรื่อยๆ หน้าชิดประตูจนประตูห้องสะเทือนจนผมรู้สึกได้ ดวงตาที่เบิกโพลงชิดที่ช่องตาแมวด้านนอกห้อง ตา ประกบ ตา ร่างของผมเหมือนถูกตรึงอยู่ที่ประตูจนขยับไม่ได้

“กูต้องตาย……. เพราะไม่มีใครช่วยกู”

ร่างนั้นเหมือนจะแทรกประตูเข้ามาให้ได้ อาการตอนนี้เหมือนผมหายใจไม่ออก มันอึดอัดไปหมด ผมพยายามสูดหายใจเข้าเต็มปอดออกแรกผลักตัวเองออกมาจากประตู มันได้ผล ทันทีที่ผมถอยหลังมาจากแรงผลัก แล้วขาก็ไปสะดุดกับบางอย่างที่อยู่ข้างหลังล้มลงทันทีในลักษณะก้นกระแทกพื้น สิ่งที่ทำให้ล้มยังอยู่ที่ปลายเท้า ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนมีอะไรบางอย่างพันที่อยู่ขาข้างหนึ่ง ประตูยังถูกเขย่าทุบอยู่โครมๆ พร้อมกับเสียงสบถด่าด้วยความแค้นจากคนที่เคยตาย ผมรีบลุกขึ้นยืน ควานมืออย่างสะเปะสะปะ และรนได้ด้วยความกลัว หาสวิสไฟที่อยู่หน้าห้องน้ำซึ่งหาเจอโดยไม่ยากเย็น ความมืดมิดในห้องถูกแทนที่ด้วยแสงสว่าง หากแต่ความสว่างนั้นไม่ได้ทำให้ความกลัวลดลง แต่มันกลับเพิ่มขึ้นเพราะทำให้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า 

หัว! นั่นมันหัวคนชัดๆ  หนังซีดสีขาวคล้ำติดกระดูก ปากอ้าค้างกว้างสีดำสนิทจนมองไม่เห็นฟันที่อยู่ข้างใน ตาเบิกโพลงสีแดงสด ที่สำคัญมันจ้องมาที่ตัวผม เส้นผมยาวสีดำสนิทพันอยู่ที่ขาข้างหนึ่งของผม เหมือนตั้งใจ 

ผมร้องลั่นห้อง ยกขาสลัดด้วยความกลัวสุดขีด มันกลิ้งไปมาแต่ไม่หลุด ขาอีกข้างที่ว่างอยู่รีบเตะกระเด็นออกไปทันที หัวนั้นกลิ้งไปนิ่งอยู่ที่ปลายเตียงนอน ในลักษณะตะแคงข้างหันหน้าไปอีกด้านหนึ่ง ผมยังมองตามไปด้วยความหวาดกลัว มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือนี่จะเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น ผมต้องตื่น ตื่นให้เร็วที่สุดในตอนนี้ ก่อนที่ผมจะช็อคไปมากกว่านี้ หากแต่มันเป็นเรื่องจริง

ผมยังยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก เหงื่อชุ่มไปทั้งตัว แต่ความรู้สึกในตอนนี้มันสุดจะหนาวไปถึงขั้วหัวใจ ข้างหลังคือประตูห้องที่เสียงดังอยู่โครมๆ จากคนหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ถูกยิงหัวจนเลือดกระจาย ข้างหน้าคือชิ้นส่วนศพที่เหลือแต่หัว  

หัวที่พลิกตะแคงอยู่นั้นค่อยๆ พลิกกลับมาอย่างช้าๆ ช้าๆ ดวงตานิ่งจ้องมาที่ผม แต่ที่สยองที่สุดคือ ปากที่เคยอ้าค้างในตอนแรก กลับกลายเป็นแสยะยิ้มเยาะเย้ยอย่างสะใจ พร้อมกับส่งเสียงอันแหบแห้งแต่ได้ยินชัดเจนเข้าไปถึงก้นบึ้งแห่งความกลัว

“เอาหัวกูออกไปด้วย…..กูอยู่ใต้เตียงมานานแล้ว กูอึดอัด  เอาหัวกูออกไปด้วย ”  

สูงจากหัวนั้นขึ้นไปไม่ถึงเมตร ร่างของใครคนหนึ่งกำลังแกว่งไปมาอย่างช้าๆ ผมค่อยๆเงยหน้ามองไล่จากปลายเท่าที่คล้ำซีด ไปถึงเพดาน ร่างนั้นถูกแขวนคอไว้กับโคมไฟกลางห้องที่มันเคยแกว่งอย่างไม่รู้สาเหตุในตอนค่ำ ผู้หญิงในสุดสีดำผิวคล้ำซีดทั้งกาย มือและเท้าเหยียดเกร็งแข็ง แลบลิ้นออกมาจุกปากจนถึงปลายคาง ตาเบิกโพลง ก้มหน้านิ่ง มีเพียงเสียงสะอื้นไห้เท่านั้นที่ดังมาจากร่าง มันยังแกว่งอยู่ช้าๆ

มันยังไม่เพียงพออีกหรือกับสิ่งที่เจออยู่ตรงหน้า แค่นี้ผมก็แทบจะสิ้นสติแล้ว ทั้งคนที่เคยตายอยู่หน้าห้อง หัวที่ขาดและพูดได้ กับร่างของหญิงที่ผูกคอตายกับโคมไฟที่กลางห้อง ตอนนี้ผมทนอยู่ในนี้ไม่ได้แน่นอน ไม่ว่าอะไรจะอยู่ที่หน้าห้องก็แล้วแต่ผมตัดสินใจดึงกลอนและสายยู ด้วยมือที่สั่นอย่างแรง พยายามดึงสติสุดท้ายให้อยู่กับตัว เปิดประตูห้องได้วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต พร้อมกับปากที่ตะโกนร้องลั่นเพราะความกลัว ในใจยังคิดต่อว่าเพื่อนที่เล่าเรื่องต่างๆให้ฟังก่อนออกเดินทาง ‘ทำไมพวกไม่บอกกู๊ ว่าเรื่องที่เล่าน่ะ มันเกิดขึ้นในห้องเดียวกัน….ฮือๆๆๆ”

สำหรับคนที่ได้เจอมาจริงๆ นะครับ ที่เค้าเจอคือกลิ่นที่เหม็น โคมไฟในห้องแกว่งเอง ตอนนอนเหมือนมีคนมาเดินอยู่บนเตียง  แล้วก็โดนดึงผ้าห่มจนหล่นไปที่ปลายเตียงครับ ส่วนเรื่องที่มีคนยิงกันตายคือ ตำรวจตามยิงผู้ร้ายครับ ตายที่ รร. นั่นแหละ ที่นี่คนเจอกันบ่อยครับ ผมและคนที่ทำงานไม่มีใครกล้าไปพักแล้วครับ

ที่มาพันทิปวิทยากร ร่อนเร่

ติดตามอ่านเรื่องเล่าผีต่อได้ที่ คลังหลอน

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here