ลางสังหรณ์ก่อนตาย

ลางสังหรณ์ก่อนตาย
ลางสังหรณ์ก่อนตาย

สวัสดีค่ะ นี่เป็นประสบการณ์ที่เราพบเจอมากับตัว เคยเล่าเรื่องราวพวกนี้ให้เพื่อนฟังอยู่บ้าง วันนี้จะรวบรวมเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมาให้ฟังกันนะคะ

เรื่องราวจุดเริ่มต้น น้าสาวเราเป็นสาวโสดหน้าตาดี อายุราวๆ 40 กว่าๆ แกอาศัยบ้านอยู่คนเดียวแถวบางนา เป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์ และแกยังเป็นโรคซึมเศร้าอีกด้วย แกบอกกับที่บ้านว่าเครียดเรื่องงานเพราะโดนคนที่ทำงานกลั้นแกล้ง จึงอยากลาออก แต่บางคนก็บอกว่าแกอกหัก

ตอนนั้นเราอยู่ประมาณ ม.5 ขณะที่เรานั่งรถเมล์กลับบ้าน อยู่ๆในสมองมันก็คิดไปเอง เหมือนเห็นภาพว่าน้านอนโรงพยาบาล พอสักพักแม่ก็โทรมาบอกว่ารีบกลับจะไปโรงพยาบาล น้าเข้าโรงพยาบาล เราก็เอะใจเห้ย!! เรื่องจริงหรอว่ะ??

เราถึงรู้ว่าน้าเป็นโรคซึมเศร้า แม่จึงให้น้ามาอยู่ด้วยที่บ้านเราที่ จ.นนท์ จากบ้านเราไปทำงานที่โรงพยาบาลแถวบีทีเอสสนามเป้า น้าก็ไม่อยากมาหรอก แต่ก็ต้องมาเพราะอยู่คนเดียวไม่ได้ จากที่ร่าเริง เป็นตัวเรียกเสียงฮาให้คนในครอบครัว กลับกลายเป็นคนบ้าในสายตาใครๆ นอนซึมมีเสียงกระซิกๆร้องฮือๆ ไม่พูดคุยกับใคร  นั่งซึม กินน้อย จนบางทีเรารำคาญมากๆ 

วันไหนน้ากลับบ้านที่บางนาเราจะสบายใจ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะน้ามาแย่งที่นอนเรา เราเลยต้องลงไปนอนพื้น (เรารู้ว่าคิดแบบนี้มันไม่ถูก เราแย่มากเลยใช่ไหม ย้อนมาตอนนี้โคตรรู้สึกผิดเลย อย่าทำตามนะ ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าควรได้รับการเอาใจใส่มากกว่านี้ เราอาจยังเด็กและไม่รู้ว่าคืออะไรสมัยนั้นโรคนี้ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก)

หลังจากนั้นญาติๆทุกคนพร้อมช่วยเหลือน้า ลุงป้ามาหาที่บ้านเรา พาไปทำบุญ แม่พาไปดูหมอ ร่างทรง พาไปหาพระ ใครว่าที่ไหนดีพาไปหมด แต่พอพาไปหาจิตแพทย์น้าก็จะไม่ยอมไป โกรธแม่เรายกใหญ่ เพราะไปหาว่าเค้าเป็นบ้า ซึ่งก็ไปหาที่โรงพยาบาลเค้าทำงานอยู่นั้นแหละ

มีครั้งนึงขณะเรานั่งดูทีวีอยู่… แกนั่งเขียนอะไรที่เก้าอี้ไม้ แล้วก็ร้องไห้ เราก็ไม่ได้สนใจ พอแม่เราไปดู ก็ร้องไห้ เพราะมันคือ “จดหมายลาตาย”

“ทำไม ทำไม ทำไมคิดอย่างงี้ หะ” 2 พี่น้องกอดคอกันร้องไห้ ตอนนั้นเราทำอะไรไม่ถูก ร้องไห้ไปด้วยเลย โทรบอกลุงป้าก่อนเลย แล้วพ่อกะแม่ก็พาไปหาหมอ หมอให้นอนโรงพยาบาลมาคืนนึงแล้วก็ให้กลับ

น้าเรามาอยู่กับที่บ้านเราได้ราวๆ 3-4 เดือน 2-3 อาทิตย์แกจะกลับบ้านที่บางนาซักครั้ง แต่พอกลับไปก็เกิดเรื่องขึ้น!! แกเก็บตัวอยู่ในบ้าน ไม่ยอมรับโทรศัพท์ ใครไปเคาะก็ไม่เปิดประตู แม่เราโทรจนโมโห พอน้ารับเท่านั้นแหละ แม่เราด่าเป็นชุด!!! “ทำไมทำอย่างงี้รู้ไหมเป็นห่วง” น้าสาวเราก็ได้แต่ร้องไห้และขอโทษ

บางอาทิตย์แม่ก็ไปด้วย บางทีก็ไม่ได้ไปเพราะแม่เราต้องทำสมุดพกเด็ก (แม่เป็นครู) ไม่รู้ทำไมตอนนั้นเรามั่นใจว่ายังไงน้าก็ต้องตาย รู้สึกว่าเค้าต้องตายอะ

มีครั้งนึง น้าเรากลับไปบ้านเค้าที่บางนา ทำแบบเดิม คือขังตัวเองไว้ในบ้าน ไม่รับโทรศัพท์ ไม่เปิดบ้าน แม่เราโทรหาข้างบ้าน ข้างบ้านบอกแอร์เปิดอยู่นะ จนแม่เราต้องให้พี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องเราไปดู (ขอเรียกว่าพี่เอ) พี่เอไปถึงบ้านน้า ก็ตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้าน แต่เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตอบ โทรเท่าไหร่ก็ไม่รับ แม่เลยบอกให้ทุบกระจกเลย

พบทุบกระจกเท่านั้นแหละ!!! เพล้ง!!! น้าเดินออกมาเลยจ้าา บ่นยาวเป็นชุดว่าทำบ้าอะไรบ้านตู คือพี่เอซวยไปเลย 555+  พี่เอเลยต้องให้ช่างมาซ่อมกระจกคืนโดยด่วน

แล้วน้าก็มาอยู่บ้านเราเหมือนเดิม ช่วยเราทำของชำร่วยงานศพย่า (ย่าเราเสียมา 1 ปีแต่เก็บศพไว้) น้าเราอาการขี้น ดีจนชนิดที่เรียกว่าน่าแปลกใจ (แม่เราบอกว่าคนป่วยถ้าดีขึ้นจนน่าใจหาย อีกไม่นานจะไป) ตอนนั้นเรากำลังนอนดูหนังเรื่องต้มยำกุ้งอยู่ แล้วน้าก็เดินมา ทำท่า”ช้างกูอยู่ไหน!!!” ส่งเสียงดังลั้น เรากับพี่มองหน้ากัน อึ้งๆ ขำเจื่อนๆ เดินไปบอกแม่ ตอนนั้นคือขำมากๆ ในใจก็เอ๊อแกหายแล้วแน่ๆเลย (ไม่คิดเลยว่านั้นจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่น้าทำให้เราหัวเราะ) ขนาดวันงานปลงศพย่า น้าเราไปช่วยเสริฟน้ำ ญาติฝั่งแม่เราก็มากันหมด ยังบอกว่าน้าดีขึ้นมากๆ

ผ่านไป1อาทิตย์

น้า : อยู่เป็นเพื่อนนะ

แม่ : ขึ้นไปนอนไป ทำคะแนนก่อนอีกนาน

น้า : ไม่เป็นไร อยู่เป็นเพื่อน

…จนรอไม่ไหว…

น้า : ไปนะ ไปแล้วนะ (แล้วน้าก็ขึ้นมานอน)

…รุ่งเช้า…

น้า : ไปนะ ไปแล้วนะ (น้าสกิดแม่ เราก็ได้ยินนะ เพราะน้าลุกขึ้นไปอาบน้ำ เราก็ตื่นแบบสะลึมสะลือ)

แม่ : เออ ไปเหอะ แล้วกลับบ้านอย่าเป็นอย่างที่เคยทำอีกละ

น้า : จ้ะ

…มันเป็นเสียงสุดท้ายของน้าที่เราได้ยิน …

หลังจากที่น้ากลับไปบ้านที่บางนา พอตกเย็น แม่เราโทรหาเท่าไหร่ก็ไม่รับ จนผิดปกติ แม่พูดกับเราว่าเอาอีกแล้วน้าเอาอีกแล้ว โทรฟ้องลุงฟ้องป้า จนที่บ้านวุ่นวาย พ่อเราก็ไม่อยู่ ไม่รู้จะไปหาน้าที่บางนายังไง จนแม่สั่งให้พี่เอไปดู แต่พี่เอดันติดเข้าเวร พี่เอบอกว่าออกเวรเช้าแล้วจะไปดูให้

คืนนั้นเราหงุดหงุดมาก ๆ แม่เราก็โมโหมากๆ บอกว่าน้าเรียกร้องความสนใจอีกละ เวลาเที่ยงคืนได้ เราล้มตัวลงนอนบนที่นอนเราที่น้ามานอนแทน “โธ่เว้ย!!!เราปัดหมอนที่น้าเรานอน” (เราเสียใจถึงทุกวันนี้เลยเราไม่น่าทำแบบนั้น)

เช้าวันนั้น แม่ก็ยังพยายามโทรหาน้า แต่ก็ยังไม่มีใครรับสายอยู่ดี วานข้างบ้านให้ไปดู ข้างบ้านก็บอกแอร์เปิดอยู่ ปีนไปเคาะกระจกห้องนอนก็ไม่เปิด จนพี่เอออกเวรมาตอน10โมงเช้า ก็รีบไปดูน้า แต่ครั้งนี้ไม่กล้าทุบกระจกเพราะกลัวโดนด่าอีก 555+

เรากับแม่จึงขึ้นแท็กซี่ไปหาที่บางนา ระหว่างอยู่บนทางด่วนแม่โทรคุยกับพี่เอตลอดเวลา สั่งให้พี่เอปีนจากข้างบ้านไปห้องนอนด้านหน้า

แม่ : ตัดเหล็กดัดเลย

พี่เอ : เข้ามาไม่เจอใคร แอร์เย็นเฉียบ

แม่ : ไปดูห้องน้ำสิ! จมน้ำตายในอ่างอาบน้ำไปแล้วมั่ง (พูดติดตลก)

พี่เอ : ไม่มีเลย

แม่ : ไปดูหลังห้องสิ๊

พี่เอ : ไม่มีเลยครับ

แม่ : มันไปไหนได้ หรือมันลืมปิดแอร์แล้วออกไปข้างนอก

พี่ : แต่บ้านล็อกจากข้างใน ไม่มีกุญแจล็อคข้างนอกนะ

แม่ : ..ใกล้ถึงแล้วอีกนิดเดียวจะลงทางด่วนแล้ว.. “แมร่งเอ๊ยยย จะตายก็ไม่ตาย สร้างความเดือดร้อน!!” แล้วแม่ก็วางสายไป  

สักพักมีโทรศัพท์เข้ามาเป็นเบอร์พี่เรา (ชื่อพี่บี)  “น้า…ตายแล้ว!!” แม่เรากรี๊ดลั้นแท็กซี่ แท็กซี่หน้าเด๋อไปเลย เราเข้าใจแม่นะ แม่เป็นคนปากร้ายแต่ว่าจริงๆรักน้องมาก พูดไปเพราะอารมณ์ล้วนๆ

แม่เราเอาแต่ร้องๆๆๆๆๆ เราก็อึ้งสิค่ะ ทำไรไม่ถูก จะร้องก็ต้องฮึบไว้ก่อน เราหน้าชาหูอื้อไปหมด พอถึงบ้านน้า เห็นพี่บียืนรออยู่หน้าบ้าน เราเข้าไปกอดพี่บี เรามองเข้าไปในบ้านภาพที่เราเห็นคือร่างน้าเหมือนคนยืนอยู่เฉยๆ เท้าห่างจากพื้นนิดเดียว กางเกงแทบติดพื้น 

ใช่ค่ะ…น้าเราผูกคอตาย เราไม่กล้าเข้าบ้านเลย ได้แค่แอบมองอยู่แค่ตรงรั้ว พี่บีก็ไม่ให้เราเข้าไป บอกเราว่าอย่ามองๆ เราอยู่จนเค้าขนศพออกมาผ่านหน้าเราไป เราได้แต่เข้าไปดูคราบเลือด 

สักพักพ่อเราก็มารับกลับบ้าน ส่วนแม่เราอยู่ทำเรื่องแจ้งตำรวจ ติดต่อโน้นนี่ ลุงกับป้าเราก็รีบขับมาจากต่างจังหวัดมาทำพิธีเอาต้นกล้วยผูกติดกับรั้วแล้วก็เอามีดฟัน (ไม่รู้ว่าคืออะไรเหมือนกัน)

ขอเล่าย้อนไปในระหว่างที่พี่เอกับลูกน้องเข้าไปในบ้าน ส่วนพี่บีก็ยืนรอหน้าบ้าน จังหวะนั้นได้ยินเสียงน้าตะโกนออกมาว่า “ออกไป!!! อย่ามายุ่งกับกู!!!” พี่บีก็ยืนขำอยู่หน้าบ้าน “นั่นไงไปตัดเหล็กดัดเค้า พี่เอโดนแล้วแน่ๆ โดนน้าด่า” สิ้นความคิดแค่วิเดียว พี่เอก็ตะโกนออกมา “บีบี เปิดบ้านๆ เปิดๆเปิดๆ น้าตายแล้ว” พี่บีอึ้ง!!! งงสิ!! แล้วมะกี้เสียงใคร??

พี่เอเล่าว่า ตอนที่เดินลงมาจากบันได หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ลูกน้องเปิดไฟก็ยังไม่เจอ พอหันหลังเท่านั้นแหละ เต็มๆเลย ร่างน้าห้อยอยู่ข้างหลัง เหมือนคนยืนมากๆอะ เลือดออกมาจากทางปากค่ะ ที่ศพบริเวณหัวยังพบบวมช้ำ เพราะตอนที่แขวนคอนั้น คาดว่าหัวน่าจะไปกระทบกับมุมของบันได ตอนนั้นคงกำลังดิ้นทุรนทุรายแล้วเชือกคงแกว่งไปแกว่งมา หัวเลยฟาดกับมุมขั้นบันได 

เย็นนั้นเพื่อนสนิทของน้าเรา โทรมาหาแม่เราแล้วเล่าให้ฟังว่า เค้ากับแม่เค้าเข้าไปหาน้าสาวที่บ้าน เห็นต้นกล้วยที่ผูกอยู่หน้าบ้าน ก็คิดว่าแม่กับญาติๆเรายังจัดการบ้านไม่เสร็จ (แต่ความจริงทุกคนกลับไปหมดแล้ว) แกเลยไปกลับรถในซอยแล้วขับออกไป จังหวะที่กำลังขับรถออกจากซอยคุณแม่เพื่อนสนิทน้าก็บอกว่า “อ้าว อี๊ด แกนี่ยังไง มาบ้านไอ้ม่อน ทำไมไม่ทักมันละ (ฉายาน้าเราเพื่อนๆเรียนม่อน) เพื่อนสนิทน้าก็บบอกว่า “ ม่อนมันไม่อยู่แล้วแม่” คุณแม่เพื่อนสนิทน้าก็บอกว่า “ไม่อยู่อะไรก็นี่ไง (พร้อมชี้ไปที่ประตูรั้ว)

คืนนั้นเราเหมือนคนสติแตก ร้องไห้อย่างเดียวกลัวมากๆ เรารีบอาบน้ำกลัวเพราะจะอาบไม่ได้ พออาบเสร็จเอาละสิแม่อาบต่อ ทำไงอะจะอยู่กะใคร หลับตาสิค่ะรออะไร หลับตาปี๋เลยนะ ไม่กล้าลืม กลัวมากๆ ทั้งที่เปิดไฟ พอแม่ออกจากห้องน้ำ แม่ก็ทาแป้งตรางู ตีแขนดัง เปรี๊ยะๆๆๆ เหมือนแม่ปลุกเราให้ตื่นมาอยู่เป็นเพื่อนอะ พยายามทำเสียงไอให้เราตื่นด้วย

เราไม่ได้หลับค่ะ อย่างที่บอก สติมันแตก กลัวไปหมด เราค่อยๆลืมตาขี้น แบบลืมไม่สุดตา หยี๋ตา สิ่งที่เราเห็นคือ!!! “มีคนยืนกอดแม่เราอยู่!!!!” OMG!มากๆ ที่เราเห็นคือแม่เราหันซ้ายให้เราหันหน้าไปทางกำแพง มือก็ทาแป้งตรางูอยู่ ตีดังเปรี๊ยะๆ แต่ข้างหลังแม่มีคนกอดอยู่ เสื้อสีส้มๆกางเกงดำ มั่นใจมากๆว่าเป็นน้า เพราะถ้าไม่ใช่น้าก็ไม่รู้แล้วว่าคืออะไร

ตอนนั้น ทำอะไรไม่ถูก อยากจะกรี๊ดก็ทำไม่ได้ อึ้ง!! สติกระเจิง นอนไม่หลับ เครียด จิตตกมากๆ ไม่บอกใครไม่บอกแม่ เพราะกลัวแม่จะกลัวแล้วเดี๋ยวตกใจช็อค ตัดสินใจบอกลูกพี่ลูกน้อง(ขอเรียกว่าน้องซี) เพราะเก็บไว้คนเดียวไม่ได้จริงๆ 

(เราเก็บเรื่องนี้ไม่บอกแม่ ราวๆ2ปีได้ จนวันนึงนั่งซักผ้ากันอยู่ เราเลยตัดสินใจบอกแม่ อย่างที่บอกไม่อยากบอกตอนนั้นเพราะกลัวจะช็อค พอแม่รู้ก็ร้องไห้ รู้สึกเสียใจเวลาพูดถึงแม้กระทั้งตอนนี้ก็ตาม)

ศพของน้าถูกนำกลับไปอยุธยาค่ะ คิดดูว่าเราจิตตกขนาดไหน ต้องมาจัดงานศพย่ากับงานศพน้าห่างกัน1อาทิตย์ ตอนนี้สภาพจิตใจแย่มากๆ ญาติๆทุกคนมานอนกันที่วัด คืนก่อนเผา พี่สาวรุ่นพี่รุ่นน้องเรา(ขอเรียกพี่เอ็ม) พี่เอ็มกับน้องซีปวดท้องฉี่ จึงชวนกันเดินไปเข้าห้องน้ำกัน เข้าห้องเดียวกันเลย

น้องซี : พี่เอ็ม ได้ยินไหม

พี่เอ็ม : ตูอุตส่าห์ไม่พูด จะทักทำไม

ทั้งคู่ได้ยินเสียงพิณพาทย์ แต่ทุกคนในศาลายืนยันว่าไม่มีใครเปิดไม่มีใครได้ยิน พอตอนนอนมีเสียงอะไรไม่รู้ ดังมากๆ เหมือนของหล่นดังก้องศาลา โพล๊ะ!!! พี่เอ็ม กลัวมากๆร้องไห้ จิตตกเลย

ตอนเผา แม่เอาชุดที่น้าใส่วันผูกคอตาย ใส่ไปในกองเพลิงด้วย แม่บอก “ไม่รู้จะเอาไปทิ้งไหน ชอบใส่จังเสื้อสีโอรสตัวนี้” โอ้โหหหหกห ชัดเลย จำได้ไหมที่เราเคยบอกว่า เห็นคนยืนกอดแม่อยู่ ใส่เสื้อสีส้มกางเกงดำ

…ลางสังหรณ์ก่อนวันตาย…

จำงานศพย่าเราได้ไหม ศพย่าถูกเก็บมาราวๆ1ปี ก่อนวันเผาก็จัดพิธีสวด 1 คืน เราก็มากันที่อยุธยา แต่น้าไม่ได้มาด้วยเพราะต้องทำงาน แต่มาวันเผาพร้อมกับป้าที่มาจากตจว.ป้าไปรับขึ้นรถมา ระหว่างทางน้าก็เอาแต่พูดว่า “ตาย ตาย ตาย” แล้วชี้ไปที่นาฬิกาข้อมือตัวเอง “นาฬิกาตาย ตายแล้ว ตาย” วนอยู่แบบนี้ ป้าเลยบอก ก็เอาไปใส่ถ่านใหม่ก็ได้ 

หลังจากที่น้าเราเสียก็มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นมากมาย

ข้างบ้าน … ได้ยินเสียง เหมือนมีของล้มตอนเที่ยงคืน (ผลชันสูตรออกมาว่าเสียชีวิตราวๆเที่ยงคืน-ตีหนึ่งนับจากเวลาเจอศพอะนะ เค้าก็ดูว่ากี่ชม.แล้วก็นับเวลาย้อนเอา)

เรา … ปัดหมอนตกเตียง ตอนเทียงคืน (เรารู้สึกผิดมาตลอดจนถึงทุกวันนี้)

แม่เรา … เขียนบนกระดานดำ เตือนความจำตัวเอง พร้อมกับคำว่า ตาย!! ตัวใหญ่มาก เน้นด้วยวาดก้อนเมฆหยักๆล้อมรอบ (อันนี้เราเห็นเพราะหลังจากงานศพเราตัวติดแม่ตลอด ตอนปิดเทอมก็ไปโรงเรียนกับแม่ด้วย)

ป้าคนที่1 … อยู่บ้านเก่าของยาย กระจกตู้เสื้อผ้าอยู่ๆก็แตก กระจกเงาที่ตู้อีกใบก็แตก ตอนเที่ยงคืน มีนกแสก บินอยู่บนหลังคาพร้อมส่งเสียงร้องน่ากลัว แสก แสก แสกกก

ป้าคนที่2 … อยู่ต่างจังหวัด เก็บดอกจำปีมาร้อยเป็นพวงมาลัยยาวๆแล้วพูดกับแฟนว่า น้าจะชอบไหมนะ

หลังจากงานศพผ่านไป เราเหมือนคนบ้า ร้องไห้บ่อยๆ กลัวผี กลัวไปหมด อาบน้ำก็อาบพร้อมแม่ ไปนอนกับพี่กับพ่อ นอนรวมกันหมดเลย 4 คน ไปไหนไปด้วย จนพ่อต้องเอาสร้อยทองถ้วยพระ 5 องค์ที่คอมาสวมให้เรา เพื่อนแม่เห็นว่าเดี๋ยวจะเกิดอันตรายใส่ทองขนาดนี้ เลยหาสร้อยเงินมาให้เรา ทุกคนรู้ว่าเราจิตตก เรากลัวผี พอเปิดเทอมมาหลังเลิกเรียนถ้ายังไม่มีใครกลับเราก็จะไม่เข้าบ้าน ข้าวของที่บ้านน้าก็แบ่งกันไปตามบ้านญาติๆเพราะน้าไม่มีทายาท (แฟนน้าก็ไม่มาแม้กระทั้งงานศพ ถ้ามาน้าผู้ชายเราบอกตูจะเอาเมิงให้ตาย เราเริ่มมั่นใจว่าที่น้าตายเพราะเรื่องความรัก)

วันเวลาผ่านไปจนทำบุญใหญ่ครบรอบ 100 วัน หรือ 1 ปีจำไม่ได้ แต่วันนั้นเราไปนอนบ้านลุงที่ในเมืองอยุธยา เป็นหมู่บ้านใหม่ รถ เตียงนอนของน้าก็อยู่ที่บ้านลุง วางไว้ข้างบ้าน เรานี่กลัวมากไม่กล้าเดินไปเลย แล้วเวลารวมญาติเราก็จะพูดถึงคนที่จากไปด้วยความอาลัย  ป้าพูดว่า “ทำไมนะ มันคิดอะไรอยู่อยากจะรู้ ทำไมมันทำอย่างงั้น” ..สิ้นเสียงป้า.. ไฟติดๆดับๆ ป้าเจ้าของบ้าน “ตั้งแต่มาอยู่ไม่เคยเป็นเลยนะ หรือว่า มันจะมา”

อีกเหตุการณ์เกิดที่บ้านยาย บ้านยายเป็นบ้านไม้บรรยากาศนี่ชวนขนลุกมาก ก็ไปนอนรวมกันเหมือนเดิม แล้วก็พูดถึงน้า อยู่ๆไฟก็ติดๆดับๆ เราก็รู้เลยว่าน้ามาแน่ๆ อาจจะมาบอกว่า”ชั้นรู้นะว่าแกเม้าท์ชั้น” วินาทีนั้นๆ เรานี่กรี๊ดลั่นบบ้านเลย เรากลัวมาก

แล้วเราก็แยกย้ายกันไปนอน พวกผู้ใหญ่ก็นอนมุ้งนึง เด็กๆก็มานอนกันมุ้งนึง เปิดไฟสลั่วๆ1ดวง ในมุ้งเหมือนว่าเราจะโตสุดละมั่ง เรานอนข้างๆน้องเรา น้าเรารักน้องคนนี้มากๆ หน้าตาแอบคล้ายกันด้วย 

แม่เราเล่าว่า ตอนตี1ได้ “แม่เห็นเงาคนนั่งอยู่นอกมุ้งเรา มองอยู่อย่างงั้นตรงหัวนอน” เราคิดว่า น้าคงมาหาน้องแหละ เพราะแกรักน้องมาก

มันก็มีเรื่องราวหยิบย่อยอีกมาก เราจำไม่ค่อยได้ ที่จำได้จะมีเรื่องคนทักเกี่ยวกับน้านี่แหละ

…คนแรกเลยคือ แม่เพื่อน… ครั้งนึงเราอยู่มหาลัย เราอกหัก เศร้าซึมไปพักใหญ่ ก็บ่นกับเพื่อนพูดแต่คำเดิมๆ เราเคยเล่าเรื่องน้าให้พวกมันฟัง พวกมันก็กลัวเราจะฆ่าตัวตาย เพื่อนตุ๊ดนางให้แม่นางมาคุยกับเรา แม่นางมีความสามารถดูหมอได้ เหมือนเห็นเป็นภาพงี้ ตอนค่ำๆแม่นางก็โทรมา

แม่ตุ๊ด : เมื่อกี้ตอนตุ๊ดโทรมาแม่อยู่ข้างนอก แต่อะไรดลใจให้แม่กลับบ้านไม่รู้ กลับเข้ามาที่ห้องมีแต่กลิ่นธูป แม่มั่นใจว่าเค้าอยากให้แม่สื่อสาร

เรา : ทำไมต้องมาสื่อกับหนูละคะ

แม่ตุ๊ด : ชื่อหนูใครตั้ง ใช่น้าไหม เหมือนว่าใช่นะ หนูจิตอ่อนด้วยแหละ

เรา : (เราจำได้คราวๆว่าเราเปลี่ยนชื่อจริงเพราะน้าให้เปลี่ยนบอกว่าชื่อเก่าไม่เพราะ)

แม่ตุ๊ด :  ตอนนี้เค้าอยู่กับแม่นะ

เรา : ห๊ะะะ (ไม่เชื่อค่ะ ตลกละ เป็นไปได้ไง)

แม่ตุ๊ด : ตัวเล็กๆ ไม่สูงมาก ผมสั้นไม่ยาว ประบ่า ใช่ไหม (บอกลักษณะครบซึ่งมันตรงกับน้าเรามากๆ) ตอนนี้ที่แม่เห็น มีผู้หญิงคนนี้แม่คิดว่าคือน้าเรานะ กับเด็กคนนึง เด็กไม่มีรองเท้าใส่

เรา : ค่ะๆๆๆ อย่างเดียว อึ้งอยู่ กลัวมาก รีบวิ่งลงมาหาแม่เลย

แม่ตุ๊ด : น้าหนูเป็นคนดีนะ เค้าอยากปฏิบัติธรรม เค้าขอชุดขาว หนังสือสวดมนต์ ไปถวายสังฆทานให้เค้าหน่อยนะ ใส่รองเท้าไปให้เด็กด้วยนะ

เรา : เด็กนั้นเป็นใครค่ะ ใช่ลูกน้าไหม (เรากะแม่คิดกันว่าน้าอาจจะท้องแล้วทำแท้ง เราเคยเห็นที่ตรวจครรถ์ในห้องนอนน้าแต่ไม่รู้ว่ากี่ขีดนะดูไม่เป็น ตอนพาไปหาพระ พระก็ทักว่าทำอะไรผิดมารู้อยู่แก่ใจนะ น้าก็เอาแต่ร้องๆแล้วพูดว่าทำผิดกับพี่น้อง ทำผิดๆแต่ไม่บอกใคร)

แม่ตุ๊ด : ไม่รู้เค้าไม่บอก ถ้าไม่ใช่ลูกแล้วจะเป็นอะไรอยู่ในบ้านนี้ แม่ไม่รู้นะ อาจเป็นกุมาร หรือผีเร่ร่อนรึป่าว เค้าอยากกินไก่ผัดขิงใส่เห็ดหูหนู แปะก๊วยน้ำมะพร้าวด้วยนะ

แล้วแม่ตุ๊ดก็แนะนำเราให้ไปถวายสังฑาน ตักบาตรทุกวันเป็นเวลา7วัน กรวดน้ำด้วยน้ำมะพร้าว

เราก็บอกแม่ น้ำตาแม่ไหลเลย เราเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งนะ แต่พอแม่บอกว่า ของโปรดมัน “ไก่ผัดขิง แปะก๊วยน้ำมะพร้าว” เรานี่อึ้งเลย เห้ยใช่หรอ หลังจากที่เราก็ทำตามที่แม่ตุ๊ดแนะนำ เราก็รู้สึกสบายใจขึ้น ทำบุญทุกครั้งก็อุทิศส่วนบุญไปให้น้า

ครั้งนึงแฟนเก่าเราเจอในรถ  วันนั้นเพื่อนที่ม. แต่เราไม่รู้จักหรอกนะ แต่เป็นข่าวออกมาว่า เด็กคณะเราผูกคอตาย เราก็ไปหอเพื่อนคุยกันเรื่องนี้ เรารอแฟนซ้อมกีฬาเสร็จเกือบๆ2ทุ่ม ก็เข้าไปรับแล้วกลับพร้อมกัน แล้วก็แวะไปส่งบ้าน ระหว่างทางรถติดเราก็เล่าเรื่องเด็กที่คณะผูกคอตายให้ฟัง แล้วเราก็เลยเราเรื่องน้าเราให้ฟัง แฟนเราก็หันไปเบาะหลัง

เรา : ทำไร อะไรหรอ

แฟน : ป่าวไม่มีไร (ทำหน้าเด๋อๆใส่)

เรา : กวนทีน!!

พอถึงบ้านมัน เราก็นั่งคุยกันในรถ กำลังจะจู๋จี๋กัน ก็หยอกล้อกันไป  แฟนเรามันก็ทำหน้าแปลกๆ หันไปเบาะหลังบ่อยมาก

เรา : อะไร กวนทีน มีอะไร

แฟน : ป่าวๆ

เรา : อย่าแกล้งก็รู้ว่ากลัว ไม่ชอบนะ

แฟน : สวดมนต์บ้างนะ (แล้วมันก็เดินลงไป เราก็ไม่ยอมกลับ ไม่ยอมขึ้นรถ ถามว่ามีอะไร มันก็บอกไม่มีๆ ล้อเล่น อยากแกล้งเฉยๆ)

ระหว่างทางกลับ ปกติมันจะไม่ให้เรารับโทรศัพท์ไม่ให้คุย แต่นี่มันโทรมาบอกว่าจะคุยเป็นเพื่อนจนถึงบ้าน นางสวดมนต์จ้ะ ให้เราสวดตาม ในใจก็กลัว เราก็งงๆขำๆ แกล้งตูชัวร์!! พอถึงบ้านเราก็วางไป แล้วนางก็โทรมาใหม่

แฟน : เธอ….เราเห็นผู้หญิง ผมสั้นๆประบ่า ผมบ๊อบๆอะ ตัวเล็กๆนั่งอยู่เบาะหลังรถเธอ หรือว่าจะเป็นน้าเธอวะ

เรา : ใช่แน่ๆ จะเป็นใครไปไม่ได้ เค้ามาเพราะเราพูดถึงเค้าแน่เลย

แฟน : เค้ามาเพราะดูแลเธอกลัวชั้นทำอะไรเธอรึป่าววะ วันหลังอย่าอยู่ด้วยกันดึกๆอีกเลย ชั้นกลัวนะเนี๊ย (แมนมากจ้า)

เรา : อ่อเมิงคิดไม่ดีกะตูละสิ หึหึ (เราก็พูดติดตลกไป แต่ในใจนี่กลัวสุดขีด)

เรื่องราวของน้าสาวเราที่ตายไปก็เป็นประมาณนี้แหละ อาจจะเล่าแล้วงงๆต้องขออภัยด้วย เรื่องก็นานมาแล้ว แต่อยากจะบอกให้เป็นอุทาหรณ์ว่า มีคนใกล้ตัวที่เป็นโรคซึมเศร้า ดูแลเค้าดีดีเอาใจใส่ อย่าทำแบบเราที่ไปรำคาญเค้า พาไปหาหมอไหว้พระทำบุญ พาไปเที่ยวที่ใหม่ๆเปิดหูเปิดตา

เรื่องแปลกๆที่เกิดขึ้น มันอาจเป็นความบังเอิญต่างๆ นานาจิตตังกันไปค่ะ สำหรับเราประสบพบเจอก็ประมาณนี้ หากผู้ใดอ่านแล้วไม่ชอบใจยังไงเราต้องขออภัยด้วย จบแล้วนะคะ ขอบคุณค่ะ

ขอบคุณที่มา สมาชิกพันทิปหมายเลข 3291724 

Previous article‘นัทสึมิ’ ฆาตกรที่น่ารักที่สุดในประวัติศาสตร์
Next articleยุติการเผยแพร่