เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2559 ตอนที่ผมไปเป็นครูสอนศิลปะที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งห่างจากบ้านผมประมาณ 11 กม. เป็นหมู่บ้านที่มีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์ที่เรียกขานกันมาว่า หมู่บ้านไทดำ โดยน้าเป็นครูที่บรรจุและสอนอยู่ โรงเรียนแห่งนี้มาก่อนผมแล้วประมาณ 20 ปี
ก่อนจะเปิดเทอม 1 สัปดาห์ น้าให้ไปช่วยทำงานที่โรงเรียน เป็นงานวาดภาพเพ้นท์สี ผมจึงมาที่โรงเรียนกับหลานชาย วันแรกไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรื่องมันมาเกิดขึ้นวันที่ 2 ครับ
หลานชายอยากเข้าห้องน้ำ ผมเลยให้หลานเดินไปเข้าห้องน้ำเองคนเดียว ห้องน้ำเป็นห้องน้ำเก่าๆที่ปรับปรุงแล้ว สักพักอยู่ ๆ หลานก็วิ่งตกใจออกมาจากห้องน้ำ แล้วบอกว่าระหว่างที่เข้าห้องน้ำอยู่ได้ยินเสียงคล้ายๆคนเดินอยู่หน้าห้องน้ำ ถือไม้เรียวแล้วเอาปลายไม้ลากไปตามพื้น
ผมปลอบหลานบอกไปว่า หูฝาดไปหรือเปล่า เพื่อไม่ให้หลานกลัว จนวันต่อมาผมมาทำงานอีกครั้ง
วันนี้ผมมากับเพื่อนอีก 2 คน และมีลูกของเพื่อนมาด้วยหนึ่งคน รวมเป็น 4 คน ระหว่างที่รอผมทำงาน ลูกเพื่อนก็ไปเล่นที่สนามเด็กเล่นใกล้ๆกับที่ผมเขียนรูป อยู่ๆลูกเพื่อนก็วิ่งมาบอกเพื่อนและผมว่า “ครูจะตีมีคน ครูถือไม้เรียว” ทั้งๆที่ทั้งโรงเรียนมีผมและเพื่อนอีก 2 คน แค่นั้น
จนกระทั่งเปิดเทอมอาทิตย์แรก วันนั้นเป็นวันศุกร์ คาบก่อนเที่ยงประมาณ 11.00 น.ผมได้พานักเรียนชั้น ป.5 ไปขนดินเพื่อเตรียมดินปลูกผักที่แปลงเกษตรใกล้ๆหลังโรงเรียน จวนจะเสร็จและกำลังจะพักเที่ยง นักเรียนบางคนล้างมือเตรียมกินข้าวเที่ยง เหลือผมกับนักเรียนอีก 2 คนที่ยังทำงานต่อ
อยู่ ๆ ผมก็ได้ยินเสียงนักเรียนร้องตะโกนเสียงดังว่ามีนักเรียนตกต้นไม้ถัดจากแปลงเกษตรไม่กี่เมตร ผมจึงรีบวิ่งไปดูเห็นนักเรียนคนนั้นแขนหักผิดรูป แต่สิ่งที่ผมจำติดตาในวันนั้นคือ…
ร่างทมึนสีดำที่นั่งอยู่บนกิ่งไม้พร้อมส่งเสียงหัวเราะชวนสยองออกมา แต่ระหว่างความกลัวและความห่วงลูกศิษย์ ผมรีบอุ้มนักเรียนที่แขนหักมาวางลงบนโต๊ะโรงอาหาร หาไม้มาดามขา ตอนที่หาไปไม้ ผมหันกลับไปดูที่ต้นไม้ต้นนั้นอีกครั้ง ก็ยังเห็นเงาดำนั้นอยู่ที่เดิมพร้อมกับเสียงตะโกนกลับมาว่า
“มึงจะเป็นรายต่อไป…”
ในที่สุดรถกู้ภัยก็มารับนักเรียนคนที่แขนหัก ผมยังจำภาพนั้นได้ติดตาไม่เคยลืม จนผมอดที่จะอยากรู้ไม่ไหว จึงนำเรื่องที่เห็นไปเล่าให้น้าและแม่ครัวฟัง เลยได้ยินความจริงจากปากทั้ง 2 มาว่า…
สิ่งที่ปกปักรักษาชาวบ้านทั้งหมู่บ้านนั้นอยู่ในต้นไม้ใหญ่หลังโรงเรียนต้นนี้นี่เอง ดีนะที่ยังไม่เกิดอะไรกลับตัวผม ชาวบ้านบอกว่า ไอ้ดำเค้าจะเอาชีวิตเลยนะ แค่ได้ยินผมก็ขนลุกซู่ทั้งตัว
หลังวันนั้นน้าและแม่ครัวได้ให้ภารโรงเตรียมสำรับกับข้าวเหล้าไปทำพิธีไปไหว้เจ้าที่เจ้าทางขอขมาบอกกล่าวท่านว่าเป็นลูกหลานมาขออาศัย ขอให้ปกปักรักษา ไม่ได้มารบหลู่อะไร
ส่วนตัวผมแล้วก็ไม่ได้เป็นคนที่กลัวอะไรและไม่ได้ลบหลู่อะไร เชื่อในสิ่งตาเห็นและสิ่งที่มองไม่เห็น
ผมถามน้าภารโรงว่าแกอยู่โรงเรียนนี้มาตั้งนาน เคยเจอบ้างไหม ไม่กลัวเหรอ แกก็บอกว่า เจออะเจออยู่ กลัวด้วย ในบ้านพักแกมีพระองค์ใหญ่อยู่หัวที่นอนเลย
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นผมก็เจอประจำจนชิน คนเดินผ่านทะลุกระจกบ้าง เห็นใส่ชุดสีกากียืนอยู่อาคารไม้บ้าง น้าเล่าให้ฟังอีกบ้างว่าตรงไหนที่เราไม่ควรอยู่บ้าง เพราะชาวบ้านนับถือผีทั้งหมู่บ้าน มีพิธีเลี้ยงผี พอมีคนตายก็จะไม่เผา แต่จะนำร่างไปฝั่งที่ป่าช้าท้ายหมู่บ้าน ยามเช้าบางวันก็จะมีขบวนแห่ตรงกับช่วงที่ผมพานักเรียนเข้าแถวพอดี จนผมชินไปแล้ว
ส่วนที่ใส่ชุดกากีที่เห็นคือมีครูที่เคยเสียชีวิตในโรงเรียนนี้ แกชอบวาดรูปและสอนศิลปะเหมือนผม หลานคนที่เจอวันเเรกจับไข้หัวโกร๋นไปเลย พระครูประจำหมู่บ้านผมต้องมารดน้ำมนต์ให้และบอกว่าถ้ามาช้ากว่านี้มันคงเอาไปอยู่ด้วยแล้ว….
ส่วนนักเรียนคนที่ตกต้นไม้แขนหัก ก่อนหน้าที่ผมจะมาสอน เค้าได้เอาไม้ไปทุบแขนพระพุทธรูปที่กำลังก่อสร้างตรงหน้าโรงเรียนจนหัก สรุปคือทำลายของที่ไม่ควรทำ……
ปล.อยากไปพิสูจน์ความเป็นวัฒนธรรมพื้นบ้านโบราณได้นะครับ แต่ไม่เเนะนำให้พิสูจน์เรื่องอื่น ที่อยู่ หมู่บ้านไทดำ บ้านนาป่าหนาด ต.เขาแก้ว อ.เชียงคาน จ.เลย……..
เรื่องเล่าโดย…..ครูบ้านโพน