เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 47 ตอนนั้นผมทำงานอยู่ที่มูลนิธินึงในกรุงเทพ ได้รับแจ้งมีเหตุสึนามิเกิดขึ้น ช่วงตอนเกิดเหตุ 1 – 2 วันแรกผมยังไม่ได้เดินทางไป ณ พื้นที่ ที่เกิดเหตุในทันที ผมเดินทางไปหลังจากนั้นประมาณสามวัน ผมไปลงพื้นที่ จ.พังงา ใกล้กับเขาหลัก ทั่วทั้งบริเวณนั้นมีแต่กลิ่นศพที่เริ่มเน่า… แต่ช่วงระหว่างที่ผมลงไปเริ่มไม่ค่อยมีศพผู้เสียชีวิตอยู่ในพื้นที่แล้ว
วิธีการเก็บศพผมเริ่มจากการดมกลิ่น ไล่เดินตามกลิ่นไปว่ากลิ่นมาจากตรงไหน จนกระทั่งไปเจอเคสนึงที่ผมค่อนข้างรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมากมาจนถึงทุกวันนี้ คือ
มีกองหญ้า เศษของต้นไม้อะไรกองอยู่สูงเกือบประมาณเท่าตึกสองชั้น ผมได้กลิ่นเหม็นเน่าแรงมากๆมาจากตรงนั้น พวกเราต่างคาดการณ์กันว่าน่าจะมีศพอยู่ภายในกองต้นไม้นี้ จึงทำการรื้อจากข้างบนลงมาด้านล่าง เพื่อหาดูว่าศพอยู่ตรงบริเวณไหน
รื้อไปได้สักพักก็เจอขา ก็คิดว่าเราน่าจะเจอศพละ เลยทำการรื้อต่อเพื่อนำศพออกมา สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกสะเทือนใจมากเพราะว่า ศพนั้นเป็นศพของผู้หญิงคนนึงที่กำลังตั้งครรภ์อยู่… ผมค่อย ๆ ดึงศพออกมา พบว่าในปากของศพผู้เสียชีวิตนั้น อมพระเอาไว้…
มันทำให้ผมรู้สึกหดหู่ใจ เพราะช่วงนาทีสุดท้าย ที่พึ่งสุดท้ายของเค้าก็คงจะเหลือแค่พระเท่านั้น…
ผมนำศพออกมาใส่ไว้ในท้ายรถกระบะ เพราะการที่เราจะเข้าไปในพื้นที่บางพื้นที่ หากเอารถหกล้อที่เข้าไปขนศพออกมา บางทีมันไม่สามารถเข้าไปถึงได้ ก็จำเป็นที่จะต้องใช้รถเล็กขนออกมาก่อนแล้วค่อยถ่ายเทไปให้รถใหญ่อีกที่
ผมทำงานอยู่ที่นั่นประมาณ 3 วัน มีการสลับผลัดเวรกัน และบังเอิญว่าผมเหตุให้ต้องเดินทางกลับกรุงเทพก่อน…
ปรากฏว่าช่วงขากลับผมพร้อมกับทีมงานทั้งหมดแปดคน นั่งรถกระบะกลับมา ข้างหน้าเป็นแค๊ป นั่งทั้งหมด 4 คน หลังท้ายกระบะอีก 4 คน พอดีช่วงขากลับผมมาเกิดอุบัติเหตุตรงทางเข้าเขื่อนรัชประภา รถสไลด์ลงข้างทาง พลิกคว่ำ ค่อนข้างที่จะรุนแรง หลังจากที่ผมมุดออกมาจากรถ ก็คิดในใจว่าน่าจะต้องมีคนเสียชีวิตแน่เลย เพราะมีคนนั่งหลังกระบะ และหลังกระบะก็ไม่มีหลังคาหรือโครงเหล็กอะไรที่จะป้องกันได้เลย แต่…
…ทุกคนทั้งหมด 8 ชีวิต ไม่มีใครเป็นอะไรเลยสักคน ซึ่งสภาพรถคือ รถพลิกคว่ำล้อชี้ฟ้า หลังคายุบมาถึงประตู หลังจากเกิดอุบัติเหตุพวกเราก็มานั่งคิดกันว่า ในเมื่อคนไม่เป็นอะไรก็ดีละ แล้วจะเอายังไงกันต่อดี
ทีนี้ก็มีพี่ ๆ มูลนิธิที่อยู่ในพื้นที่ มาช่วยพวกเราเอารถขึ้นมาข้างทางที่ตกลงไป บอกว่า “เดี๋ยวให้ไปนอนที่บ้านเค้าก่อน ส่วนรถก็ลากขึ้นมาเอาไปไว้ที่บ้านเค้า แล้วตอนเช้าค่อยว่ากันอีกทีว่าจะทำยังไงกันต่อ”
ด้วยความที่เรามีกันอยู่ 8 คน จึงแบ่งเป็น 4 คนกลับกรุงเทพกับขบวนมูลนิธิคันอื่นขึ้นไปก่อน ส่วนผมก็อยู่กับเพื่อนอีกชุดนึง 4 คนเพื่อเคลียเรื่องรถ พี่เค้าก็พาไปที่หมู่บ้านของเค้า ทุกคนทั้งหมู่บ้านออกมาต้อนรับ มาดูแลคอยหาที่หลับที่นอนให้เป็นอย่างดี ผมก็พากันขึ้นไปนอนพักผ่อนกันหลังจากที่พึ่งประสบอุบัติเหตุมา
รุ่งเช้า…ตื่นขึ้นมาทั้งหมู่บ้านต่างพากันมาถามผมว่า “มีผู้หญิงคนนึง ยังไม่ลงจากรถเลย”
ชาวบ้านบอกว่าเมื่อคืนพอเห็นว่ามีคนประสบอุบัติเหตุมา เค้าก็เลยมาช่วยกันทำกับข้าวเลี้ยง มาเฝ้ารถ มาช่วยดูแลให้ แต่สังเกตเห็นว่า ยังมีผู้หญิงคนนึงนั่งอยู่หลังรถไม่ไปไหน อีกทั้งเสียงเพลงในรถก็ยังคงเปิดอยู่ตลอด จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปดู เพราะว่าคนทั้งหมู่บ้านนั้นก็รู้ว่าผมพึ่งไปช่วยเก็บศพสึนามิมา…
ตอนนั้นผมอยู่กันแค่ 4 คน แต่ชาวบ้านจัดกับข้าวไว้ให้ผม 2 สำรับ ซึ่ง 4 คนสำรับเดียวก็น่าจะเพียงพอแล้ว จนมีคุณป้าคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผมแล้วพูดว่า “อ้าว เพื่อนยังไม่ลงจากรถมาอีกหรอ??? เห็นมากันเยอะแยะเลย…”
ผมไม่รู้จะตอบไปยังไง ได้แต่ตอบคุณป้าไปว่า “พวกผมมากันแค่ 4 คนเท่านั้นครับ” คุณป้าก็รีบเข้ามายกสำรับกับข้าวออกไปเลย…
จากอุบัติเหตุรถคว่ำในวันนั้น หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่า “คนที่นั่งอยู่หลังกระบะรอดมาได้ยังไง ซึ่งเพื่อนผมคนที่นั่งอยู่หลังกระบะเล่าให้ฟังว่า ตอนที่รถเกิดอุบัติเหตุทั้ง 4 คน ตกลงไปอยู่ในน้ำ ในขณะที่รถกระบะล้อชี้ฟ้า ส่วนของกระบะหลังได้ครอบทุกคนที่อยู่ในน้ำเอาไว้
เพราะตอนที่เดินทางออกมาคนที่อยู่หลังกระบะนอนหลับมาตลอดทาง ไม่รู้เรื่องอะไรเลยว่าเกิดอะไรขึ้น มารู้ตัวอีกทีตอนที่ตัวตกลงไปอยู่ในน้ำแล้ว และรถครอบหัวอยู่…
หลังจากนั้นผมเอารถกลับมากรุงเทพ และเอาไปเข้าอู่ซ่อม ช่างที่อู่บอกผมว่า “มีคนเห็นผู้หญิงท้อง นั่งอยู่ที่รถตลอด” จนช่างต้องรีบซ่อมรถให้เสร็จและโทรมาบอกให้ผมรีบกลับมาเอารถไป…
ซึ่ง ณ ตอนนี้ผมได้ขายรถคันนั้นไปแล้ว…
ขอบคุณเรื่องจาก สึนามิ…หลอน | อังคารคลุมโปง ถอดความโดย คลังหลอน
***ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปเผยแพร่ที่อื่น นอกจากการแชร์เท่านั้น หากนำไปดัดแปลงเป็นรูปแบบอื่น กรุณาแปะลิงก์ต้นฉบับไว้ด้วยนะครับ***