มรดกจากคุณย่า

มรดกจากคุณย่า
มรดกจากคุณย่า

เรื่องเป็นเรื่องของน้องคนหนึ่งชื่อว่า …ตา…  วันนั้นคุณพ่อของน้องตาได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งจากจังหวัดกาฬสินธุ์บอกว่า “คุณย่าเสียชีวิตแล้ว” เป็นอันว่าน้องตารับรู้ พร้อมกับเตรียมตัวเดินทางจะไปร่วมงานศพกับคุณพ่อคุณแม่ แต่ก่อนที่จะออกจากบ้านที่กรุงเทพ  คุณยายบอกน้องตาว่า “อย่า หยิบ อะ ไร กลับ มา นะ…”

น้องตารู้สึกเอะใจปนแปลกใจ ทำไมอยู่ ๆ คุณยายถึงพูดขึ้นมาแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรออกเดินทางไปจังหวัดกาฬสินธุ์ปกติ เมื่อไปถึงงานศพถูกจัดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่งแถวชนบท เป็นบ้านแบบสมัยก่อนที่มีห้องน้ำอยู่ด้านนอก 

ผ่านไปสองวันแรกไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งเข้าวันที่สาม หลังจากงานศพถูกจัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว น้องตากำลังจะอาบน้ำในห้องน้ำที่ถูกสร้างแยกออกมาจากตัวบ้าน ก็เดินเข้าห้องน้ำตามปกติ ไม่ได้คิดอะไร หรือเอะใจอะไร…

ห้องน้ำถูกสร้างด้วยอิฐบล็อกก็จะมีเป็นช่องเป็นรูอะไรบ้าง ระหว่างที่อาบน้ำอยู่นั้นน้องตาเริ่มได้ยินเสียง กึกกัก ๆ ๆ ซอบแซบ ๆ ๆ คล้าย ๆ กับเสียงคนเดินอยู่ด้านนอก น้องตาคิดในใจว่า มีใครมาแอบดูหรือเปล่า หรือมีใครจะมาทำอะไรหรือเปล่า จะได้ตะโกนเรียกให้คุณพ่อคุณแม่ที่นั่งอยู่ในบ้านออกมาช่วย 

น้องตานิ่งเงียบ ตั้งใจฟัง และคิดว่าเสียงอะไร จนกระทั่งเสียงนั้นวนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำ น้องตาตัดสินใจผลักประตูออกไป แต่ก็ไม่เจออะไร น้องตาเอะใจว่าใคร?? และเดินกลับเข้าในห้องน้ำเหมือนเดิม…

ปกติเวลาที่น้องตาอยู่ที่ไหนคนเดียว ถ้ามันมีอะไรรอบตัวผิดปกติน้องตาจะรู้สึกและสัมผัสได้ในทันที ตอนนั้นน้องตาเริ่มรู้สึกว่า บนศรีษะมีอะไรหรือเปล่า? จึงแหงนหน้าขึ้นไปมอง เห็นเป็นมือสอดเข้ามาในช่องอิฐบล๊อกทั้ง ๆ ที่ช่องนั้นค่อนข้างที่จะเล็กมาก ๆ  ลักษณะของมือที่ยื่นเข้ามานั้นเหี่ยวๆ แห้งๆ เหมือนมือคนแก่ ขยับไปมาคล้าย ๆ กับกวักมือเรียก พร้อมกับมีเสียงพูดขึ้นมาว่า “อย่า ลืม เอา ไป นะ”  พูดจบมือนั้นก็ค่อย ๆ ถอยกลับไป 

น้องตางงว่าใครมาแกล้งอะไร รีบออกจากห้องน้ำเพื่อมาดู แต่ก็ไม่เจอใคร จึงเดินขึ้นไปบนบ้าน ไปหาคุณแม่ แล้วเล่าให้คุณแม่ฟังว่า “เมื่อกี้มันมีมือเข้ามาแบบนี้นะ… พูดว่าอย่าลืมเอาไปนะ…”  คุณแม่ก็บอกว่า  “ไม่มีอะไรหรอกลูกก อาจจะตาฝาดไปหรือเปล่า อย่าไปคิดมากเลยนะ” ทุกอย่างก็ผ่านไป 

หลังจากนั้นคืนต่อมา น้องตานอนอยู่ในมุง ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาว่า “อย่า ลืม เอา ไป นะ” ประโยคเดิม…!!! น้องตาหันไปบอกคุณแม่ คุณแม่ก็ตะโกนสวนกลับมาว่า “ก็ให้ลูกมึงไปสิ” น้องตารู้สึกงง อ้าววว!!! แม่พูดกับใคร คือยังไง และเริ่มสงสัยมาตั้งแต่ตอนยายทักก่อนเดินทางมาแล้วว่า “อย่าเอาอะไรกลับมา” พอมาตอนนี้คุณแม่ก็มาพูดอะไรแปลก ๆ ขึ้นมาอีก น้องตาก็ได้แต่งง หาคำอธิบายอะไรไม่ได้…

พอมาถึงวันที่เผาศพ ก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น เสียงที่ได้ยินในทุกๆคืนว่า “อย่าลืมเอามานะ” ก็เริ่มได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง ในฝันก็ไม่ได้ยินอะไร กระทั่งวันรุ่งขึ้นหลังจากเผาศพทางครอบครัวก็ต้องไปเก็บอัฐิของคนตาย 

แต่พอขึ้นไปบนเมรุก็เห็นว่า กระดูกถูกเอามาเรียงเป็นรูปร่างคนเรียบร้อยแล้ว น้องตามองไปที่ข้อมือด้านซ้ายของกระดูกย่า เห็นมีกำไลทองวางอยู่ น้องตาพูดว่า “โห…กำไลสวยจังเลย ทำไมมันสวยอย่างงี้ มีพลอยมีอะไรด้วย” จึงหันไปสะกิดคุณแม่ “คุณแม่… สวยอะ อยากได้” 

“หูย… มันดำ ทุเรศขนาดนั้น อย่าเอามาเลยช่างมันเถอะ” คุณแม่พูดสวนขึ้นมา น้องตาคิดในใจไม่เอาก็ได้ เดี๋ยวค่อยให้คุณแม่ซื้อให้ใหม่ก็ได้ และสักพักคุณแม่ก็หันไปหาคุณพ่อที่ยืนอยู่ข้างหลัง สักพักคุณพ่อก็พูดขึ้นมาว่า “กลับบ้าน กลับเดี๋ยวนี้เลย” ด้วยน้ำเสียงดุดันจริงจัง ทั้งหมดจึงเดินทางกลับกรุงเทพทันทีไม่อยู่รอทำพิธีอื่น ๆ ต่อ

เมื่อกลับมาถึงบ้านที่กรุงเทพน้องตากลับมานั่งประมวลผล สรุปว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ จึงไปถามญาติอีกคนที่ไปงานด้วยกันมาว่า “หนูถามจริงเถอะ ที่นั่นมันมีผี มีอะไรปะ?” ญาติตอบกลับมาว่า “ก็ไม่เห็นมีอะไรนะ ไม่เจออะไร ไม่ได้รู้สึกอะไรแปลกๆนี่” น้องตาได้ฟังก็ไม่ได้คิดอะไรใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านตามปกติ 

ทีนี้มาอีกละ… คราวนี้เสียงตามมาถึงที่บ้านเลย “เอา ไป สิ เอา ไป นะ”  น้องตาได้ยินเสียงแบบนี้อยู่เป็นสัปดาห์ คือไม่ได้เห็นอะไรนะ แต่เหมือนว่าพอนั่งๆอยู่แล้ว ใจนิ่ง ใจสงบ ก็จะได้ยินเสียงนี้ดังแว่วเข้ามาในหูตลอดเวลา  จนน้องตารู้สึกเหมือนว่า ตัวเองจะเป็นโรคจิต 

น้องตานำเรื่องนี้ไปบอกคุณแม่ ซึ่งตอนนั้นคุณแม่กำลังนั่งอยู่กับคุณยาย “แม่…เนี่ย หนูได้ยินเสียงนี้มันมาอีกแล้ว” คุณแม่ก็ตะโกนขึ้นมาว่า “ก็ให้ลูกมึงไปสิ จะมาจองเวรอะไรกันอีก” 

น้องตาตัดสินใจถามคุณแม่ตรงๆ หลังจากที่สงสัยมาตั้งแต่คราวก่อนที่คุณแม่ตะโกนขึ้นมา “แม่ หนูถามจริง ๆ เถอะ สรุปเรื่องนี้มันคือยังไง ช่วยคลี่คลายให้หน่อย” ซึ่งคนที่ตอบกลับกลายเป็นคุณยาย เล่าให้ฟังว่า

ก่อนที่น้องตาจะเกิด คุณย่าเกลียดคุณแม่หนูมาก ก่อนที่คุณแม่จะท้องหนู มีอยู่วันหนึ่งคุณแม่เกิดอาการท้องบวมเหมือนกับคนท้องขึ้นมา จึงไปตรวจที่โรงพยาบาลเพื่อฝากครรภ์ ปรากฏว่า พอตรวจแล้วกลับไม่เจอเด็ก ไม่เจออะไรในท้องเลย แต่ท้องมันโตขึ้นมาแบบหาสาเหตุไม่ได้ 

ไสยศาสตร์แน่นอน… คุณยายก็เลยพาคุณแม่ไปเช็คว่าที่ท้องโตขึ้นมาเนี่ย สรุปมันคืออะไร พอไปเจอหมอผี ร่างทรงทำพิ​ธีทุกอย่าง อยู่ ๆ ก็มีก้อนลิ่มเลือดก้อนนึงหลุดออกมา ดำๆ เน่าๆ หมอให้เหยียบแล้วบอกว่า ให้มันกลับไปหาคนที่ทำ ปรากฏว่าคุณแม่ก็เหยียบและเรื่องก็จบไป 

คุณยายก็ถามว่า จำได้ใช่ไหมว่าคุณย่าไม่มีนิ้วก้อยเท้าข้างขวา เพราะของที่ถูกทำมา มันถูกเหยียบแล้วก็ด่า แช่ง ให้มันกลับเข้าไปหาคนที่ทำ ก็คือ ตัวคุณย่า  แล้วของเนี่ยมันไปลงอยู่ที่ปลายนิ้วก้อย แล้วมันก็เน่าเฟะ จนคุณย่าต้องตัดนิ้วออก จึงเป็นต้นเหตุว่า น่าจะมาจากของที่จะทำใส่หนู พอหนูไม่รับของมันก็ย้อนกลับเข้าตัว… 

…4 ปีผ่านไป… 

คุณพ่อกับคุณแม่น้องตาแยกทางกัน มีอยู่วันนึงน้องตาได้รับโทรศัพท์มาจากทางฝั่งคุณพ่อบอกว่า “มาดูคุณพ่อหน่อย คุณพ่อโดนของ” น้องตาเดินทางไปกับพี่สาว อาการของคุณพ่อคืออยู่ดี ๆ ร่างกายก็ซูบผอมมาก ถ้าเรียกกันตามความเชื่อก็เหมือนกับคนที่โดนกระสือกินข้างในไปหมด เพราะซูบมาก และก็เหมือนมีใยแมงมุม ยักใยขึ้นตามมือ 

และด้วยความที่น้องตานั่งอยู่ใกล้กันกับพี่สาว บังเอิญมีแมงมุมอยู่ตัวนึงวิ่งอยู่บนมือพ่อ และก็กระโดด ฟึบ… ข้ามมาอยู่บนมือพี่สาว น้องตาเห็นดังนั้นก็เลย ปัดๆ จนแมงมุมหลุดไป หลังจากดูอาการคุณพ่อเสร็จก็เดินกลับมาบ้าน แล้วมาเล่าให้คุณแม่ฟัง

คุณแม่เห็นว่าไหน ๆ ก็ไหน ๆ ละ จึงบอกน้องตาว่า  “มานั่งตรงใกล้ ๆ แม่สิ แม่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดประติดประต่อเรื่องให้ฟัง ด้วยความที่คุณย่าไม่ชอบคุณแม่ และคุณย่าน่าจะเป็นคนที่เลี้ยงผี วันนึงพอคุณย่ารู้ตัวว่า ตัวเองกำลังจะตาย ซึ่งไม่สามารถจะเอาผีพวกนี้ไปด้วยได้

พอแก่ตัวลงคุณย่าก็เริ่มที่จะปฎิบัติน้อยลง พออะไร ๆ ไม่เหมือนเดิม ผีมันก็เริ่มกินจากข้างในตัว มันเหมือนต้นกำเนิดของการเกิดปอบที่ว่าเป็นคนผิดครูอะไรประมาณนั้น กินในตัวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสุดท้ายใกล้จะตาย…

พอจะตายอันนี้เรียกว่า ปอบเชื้อ เค้าเกลียดใครละ ทำแม่มันไม่ได้ก็จะทำลูกมันแทน ซึ่งก็คือหลานตัวเองนั่นแหละ เค้าไม่ชอบอยู่แล้ว ไม่เชื่อลองนึกย้อนกลับไปคิดดูสิว่า คุณย่าไม่เคยกอดหนู ไม่เคยบอกรักหนู และไม่เคยให้อะไรหนูเลยจริงไหม?” 

แต่น้องตาพูดขึ้นมาว่า “เค้าให้หนูนะ ก็กำไลวันนั้นแหนะ” คุณแม่พูดขึ้นมาว่า “หนูรู้มั้ย… แม่ไม่เห็นนะ มีแค่หนูคนเดียวที่เห็นเพราะเค้าตั้งใจที่จะให้”

พอของมันไปไหนไม่ได้ มันก็เหมือนย้อนกลับไป ตามคำที่คุณแม่เคยพูด “ก็ให้ลูกมึงสิ” ทุกอย่างจึงไปตกอยู่ที่ลูกชายเค้า ซึ่งนั่นก็คือคุณพ่อ… 

คุณแม่คิดว่าคุณพ่อน่าจะกำลังเสียชีวิต แมงมุมตัวนั้น มันน่าจะเป็นสิ่งที่กำลังจะส่งต่อไปหาพี่สาว แต่พอดีว่าน้องตาไปปัดออก 

ทุกอย่างก็เลยคลี่คลายและจบลงตรงที่ว่าน้องตาก็ไม่ได้ติดต่อกับคุณพ่ออีกเลย และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณพ่อเป็นยังไงหลังจากนั้น เพราะหลังจากที่คุณพ่อคุณแม่แยกทางกันไป เหมือนกับว่าทั้งสองคนจบไม่สวย จึงไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย…

ขอบคุณเรื่องจาก มรดก | อังคารคลุมโปง  ถอดความโดย คลังหลอน 

***ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปเผยแพร่ที่อื่น นอกจากการแชร์เท่านั้น หากนำไปดัดแปลงเป็นรูปแบบอื่น กรุณาแปะลิงก์ต้นฉบับไว้ด้วยนะครับ***

Previous articleจำไม่ลืม…เมื่อแม่ฉันโดนของเขมรแทบสิ้นใจ
Next articleยุติการเผยแพร่