Home กระทู้ผีพันทิป จำไม่ลืม…เมื่อแม่ฉันโดนของเขมรแทบสิ้นใจ

จำไม่ลืม…เมื่อแม่ฉันโดนของเขมรแทบสิ้นใจ

จำไม่ลืม…เมื่อแม่ฉันโดนของเขมรแทบสิ้นใจ
จำไม่ลืม

เรื่องที่เราจะเล่าต่อไปนี้ คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในครอบครัวเรา เกิดกับคนที่เรารักและเปลี่ยนแปลงความเชื่อของครอบครัวเราไปตลอดกาล เนื่องจากเหตุการณ์สืบเนื่องหลายเหตุการณ์อาจเล่าสลับไปมานะคะ

บทที่1 ความเกลียดที่มาพร้อมกับผลประโยชน์และความอิจฉา

แม่ของเราทำงานที่บริษัทนี้มาจนเรียกได้ว่าอาวุโส แต่ด้วยความที่ความรู้น้อยตำแหน่งก็อยู่ได้ที่กรรมกรใช้แรงงานเท่านั้น แต่รายได้อีกทางคือเงินกู้ที่พ่อแม่เราปล่อยให้กับพนักงานในโรงงานนี้จนเลี้ยงเราโตได้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอะไร จนกระทั่งบริษัทได้รับหัวหน้างานคนหนึ่งเข้ามาและอยู่ในฐานะของหัวแผนกของแม่เรา หัวหน้างานคนนี้เป็นหญิงสาวมีครอบครัวแล้ว สามีและลูกสาวอีกหนึ่งคน ขอใช้ตัวย่อ ว่านางตอ) จำชื่อนี้ไว้นะคะ เพราะว่านางคนนี้คือคนที่ทำให้ทุกชีวิตในครอบครัวเรากลายเป็นหมากในกระดานของมัน…

เงินเดือนก็มากแล้วแต่คงไม่พอ นางตอเลยขอปล่อยเงินกู้นอกระบบอีกคนในบริษัท ซึ่งปกติแล้วแม่เราก็ไม่ใช่เจ้าเดียวที่ทำมาแต่เพียงว่าแม่เราทำมานานกว่าใคร บรรดาลูกค้าของแม่ก็เกือบค่อนโรงงาน ‘ฉันไม่ยอม ฉันจะเอาลูกค้าเธอมาเป็นของฉัน’ นางตอทำทุกวิถีทางเพื่อดึงลูกค้าไปจากแม่เรา แต่แม่เราไม่สนใจ แถมหนำซ้ำลูกค้าบางคนก็ไม่ยอมไป บางคนย้อนกลับมาหาแม่เรา ‘ฉันเกลียดเธอแล้วนะ’ นี้คือเสียงภายในใจของนางตอที่สะท้อนมาจนถึงแม่เรา การกลั่นแกล้งทุกประเภทกำลังเกิดขึ้น

มาดูฝ่ายพ่อเราบ้าง พ่อกับแม่เราทำงานที่เดียวกัน พ่อเราเป็นหัวหน้าแผนกหนึ่งในโรงงาน อาวุโสมากขนาดที่นายให้ความเชื่อถือ ไว้วางใจมาก ‘ ประชุมกันทีไร ทะเลาะกับไอ้ผู้ชายนี่ทุกที’ เอาล่ะ หัวหน้าใหม่เริ่มชักอยากจะโค่นไอ้หัวหน้าเก่าแก่นี้ล่ะ ทั้งใส่ไฟ สตอเบอรี่ สร้างความวุ่นวายต่างๆนานา แต่ไอ้หัวหน้าเก่านี้ก็เหมือนไม่สะทกสะท้านอะไร “อ่อ มันเป็นผัวของของลูกน้องอริฉันเหรอ ได้เลย ได้เห็นดีกันแน่”

บทที่2 สัมภเวสีในโรงงาน

ขณะที่พ่อทำงานในระหว่างวัน จู่ๆก็มีลูกน้องวิ่งมาตามตะโกนเสียงหลงว่า ” ลูกพี่ๆ ลูกน้องพี่xxเขาเป็นไรไม่รู้พี่ ช็อคหมดสติไป” พ่อเลยรีบวิ่งไปที่เกิดเหตุปรากฎว่า คนที่ประสบเหตุอยู่นั้นคือ ผู้ชายร่างใหญ่ ชื่อ น. นอนหมดสติอยู่กับพื้น ข้างกันมีสว่านสภาพไม่ดีนัก ตกอยู่ข้างกาย พ่อเลยพูดว่า “สว่านมันไฟช็อตนี้หว่า มันโดนไฟช็อต” หลังจากนั้นก็พาร่างนั้นขึ้นรถไปโรงพยาบาล แต่พอไปถึงโรงพยาบาลก็ไม่ทันเสียแล้ว ซึ่งคนที่เขานั่งไปด้วย บอกว่านาย น. สิ้นใจหลังจากพ้นโรงงานมาแถวสะพานข้ามคลองแห่งหนึ่งแล้วต่างหากล่ะ สุดท้ายเจ้านายแจ้งไปว่าหัวใจล้มเหลวเอง ถ้าบอกว่าโดนไฟช็อตตายก็คงไม่ดีสำหรับบริษัทเขาแน่

หลังจากนั้นข่าวลือแพร่กระจายไปทั่วโรงงาน พนักงานกลัวผีคนตายกันมาก เจ้านายเลยนิมนต์พระมาทำบุญประพรมน้ำมนต์ แต่ก็นั้นแหละ  ทำพอเป็นพิธีไป ซึ่งระหว่างที่ประพรมน้ำมนต์ แม่เราเกิดอาการสะดุ้งขึ้นมา ขนลุกชั่วแวบนึง แล้วก็หายไป แต่ใครจะไปรู้ว่ามันมากกว่านั้น มากกว่าที่จะคาดคิด

บทที่3 ผีเกาะกิน

ช่วงก่อนปี 2556 จนถึงกลางๆปี 2556 แม่เราเกิดอาการซูบซีด กินอะไรก็ไม่ลง อาหารว่าดีว่าอร่อยแค่ไหนก็ทานไม่ลง ทานข้าวได้แค่ถ้วยเล็กๆอย่างกับถ้วยข้าวเซ่นผีอย่างไงอย่างนั้นแหละ ตอนพระอาทิตย์แจ้งก็ไปทำงานมีเรี่ยวแรงดีปกติ แต่พอตกดึกเดี๋ยวปวดท้องไม่มีสาเหตุ เดี๋ยวก็หน้ามืดเป็นลมไปเองบ้างล่ะ ตัวแข็งเกร็งไปเองบ้างล่ะ พอซักพักก็หายเอง เป็นแบบนี้วนกันไปเป็นปี พาไปหาหมอหลวงเขาก็ว่าเป็นกรดไหลย้อน แต่พวกเราก็ได้แต่งง กรดไหลย้อนอะไรเป็นที่เหมือนคนปานจะขาดใจ บางคืนดึกดื่นแม่เราตื่นขึ้นมาไล่หมาบ้าง เพราะหมาบ้านเรามันเห่าใครไม่รู้ช่วงดึกสงัด ลงมาไล่มืดๆคนเดียว ปกติเคยทำซะที่ไหนกัน

“แม่ไม่ค่อยหิวลูก เหมือนเหนื่อยๆกินไม่ค่อยลง”  เป็นแบบนี้อยู่เป็นปี หายาบำรุงก็แล้วก็ไม่ดีขึ้น อาการไม่อยากอาหารแถมเหนื่อยๆช่วงเย็นไม่ทุเลาลงเลย หน้าตอบ ซูบ น้ำหนักลง แต่พวกเราก็ไม่เอะใจอะไร ปล่อยให้มันอยู่ต่อไปแบบนี้ จนกระทั่งวันหนึ่ง

บทที่ 4 วันดวงตก

เราลาออกงานมาช่วงเดือนสิงหาคม 2556 เพื่อมาอ่านหนังสือเตรียมสอบ วันนั้นขณะที่นั่งทบทวนตำรา พ่อเราโทรเข้ามาบอกว่า

” แม่อาการไม่ค่อยดี คนที่โรงงานบอกว่าแม่เหมือนโดนผีเข้า ให้ลูกไปจุดธูปอธิฐานให้แม่หายหน่อย เอ็งเป็นลูกนะ”

ฉันงงมาก แต่ก็วิ่งขึ้นไปหยิบธูปมา ยายฉันถามว่าเกิดไรขึ้น ฉันบอกว่าเดี๋ยวเล่าแต่ตอนนี้จุดธูปให้ฉันก่อน

ฉันรีบออกไปหล้งบ้าน พ้นรั้วบ้าน พูดจาไม่ได้ศัพท์ รนรานมาก

” ขอให้สิ่งศักดิ์ทั้งหลายช่วยแม่หนูด้วย บุญที่ลูกทำมาขอยกให้แม่ทั้งหมด” แล้วฉันก็ปักธูปลงกับธรณีหลังบ้าน ปล่อยให้ควันธูปลอยไปในสายลม

ฉัน ยายและน้องชาย นั่งรอจนกระทั่งพ่อขี่รถมอเตอร์ไซค์มา มีแม่นั่งอยู่ข้างหน้า ตาแข็ง หน้าดำ เสื้อเลอะสีแดงทั้งตัว พร้อมด้วยห้อยพระมาอีก

น้องชายฉันเอาแม่ขึ้นขี่หลัง แม่ปวกเปียกเหมือนไม่มีแรง แต่กล้ามเนื้อกลับแข็งแรงผิดปกติ พอมานั่งในบ้านแม่ฉันตาขวาง ตัวแข็งทื่อ ฉันสัมผัสได้ว่าแม่ “ไม่ใช่แม่คนเดิม”  แม่เหมือนจะจำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ที่แน่ๆคือตาขวาง ตัวแข็งเกร็งตลอด

พ่อบอกว่า แม่ทำงานอยู่ก็บอกกับเพื่อนร่วมงานว่า จะเป็นลมช่วยพยุงออกไปข้างนอกหน่อย พอพยุงออกไป แม่ก็ออกลีลา แสดงท่าทางผิดธรรมชาติมนุษย์ ทั้งร้อง ทั้งเกร็งตัว ตาแข็ง แล้วก็ขอกินน้ำแดง กินเข้าไปเป็นลิตรชนิดว่าไม่ได้หายใจ แล้วก็บ้วนพรวดออกมาจนเลอะเสื้อ

บรรดาพนักงานด้วยกันก็ไปตามพ่อเรามา ซึ่งพ่อเราหงุดหงิดไม่เชื่อ แทบอายคนอื่นอีก กะจะเอามือทุบหลังแม่ แต่คนอื่นห้ามไว้ซะก่อน แล้วบอกว่า ” เมียพี่เหมือนโดนผีเข้าเลย” พ่อฉันได้แต่งงไม่รู้ต้องทำอย่างไร ได้แต่ทำตามคนอื่นบอก

ขณะเดียวกัน นางตอ หัวหน้าของแม่ยืนยิ้มและถ่ายคลิปคลิปอยู่ห่างๆๆ……

บทที่ 5 ร่างทรง

รอจนกระทั่ง 6 โมงเย็น น้าชายกลับมาจากที่ทำงานหลังจากทราบข่าวว่าแม่เราโดนผีเข้า พอมาเห็นสภาพพี่สาวตัวเองเข้ากับตา น้าบอกว่าปล่อยไว้ไม่ได้หรอก แล้วก็พูดขึ้นมาว่า “เป็นใคร ออกมาเดี๋ยวนี้นะ” และขอยืนกรานว่าอย่างไรเสียก็ต้องพาไปหาคนช่วยแก้ให้ 

น้าบอกเคยได้ยินคนพูดว่าแถวระแวกบ้านเรามีร่างทรงอยู่ แม่เราก็เอาแต่พูดว่า ” พี่ไม่ไป พี่ไม่เป็นไร พี่เหนื่อยอยากนอน”  พวกเราจึงขืนตัวแม่เราให้ขึ้นรถไปให้ได้ ตอนนั้นสัมผัสได้ว่าร่างกายเล็กๆของแม่เรา มันกลับหนักกว่าปกติ ขนาดที่ว่าพ่อ น้าชาย เรา ต้องออกแรงมหาศาลกว่าจะดันตัวแม่ขึ้นแคปรถกระบะไปได้ 

น้าชายเราจอดแวะที่ซอยเล็กๆแห่งหนึ่ง แล้วลงจากรถวิ่งไปถามร้านขายผักร้านหนึ่งว่ารู้จักร่างทรงท่านนี้บ้างไหม เขาบอกต้องขับรถไปอีก อยู่ซอยวัดXX น้าชายเรารีบบึ่งรถออกไป ในขณะที่ดวงตะวันกำลังจะลาลับขอบฟ้าแล้ว

พอไปถึงซอยวัดดังกล่าว พระจันทร์ก็ขึ้นมาแทนที่แล้ว บ้านร่างทรงอยู่ติดคลองเลยต้องจอดรถทิ้งไว้ เดินตามสะพานปูนเลียบคลองไป ตลอดทางที่เดินพวกเราต้องทั้งฉุด ทั้งลากแม่เรา ปรากฎว่าคนที่บ้านนั้นเหมือนเขารู้ว่าพวกเราจะมา ลูกๆหลานๆเขาออกมารอหน้าบ้าน ส่วนคนที่เป็นร่างทรงนั้น เป็นหญิงอายุประมาณ 50-60 ปี เขาบอกให้พวกเรานั่งรอก่อน เขาขอเตรียมตัวและของที่จำเป็นในการประกอบพิธี ” พูดคุย” กับแม่เราในค่ำคืนนี้ให้เรียบร้อยก่อน อีกไม่นานพวกเราจะได้รู้แล้ว ว่า ‘ ใคร ‘ อยู่ในตัวแม่เรา

บทที่ 6 ผีหลอกคน

หลังจากร่างทรงประทับทรงแล้ว เราจึงทราบว่าร่างทรงท่านนั้นชื่อ ‘ยายกรายทอง’ (ลูกขออนุญาตเอ่ยนามมิได้มีเจตนาลบหลู่แต่อย่างใดหากลูกทำอะไรผิดพลั้งจงอภัยให้ลูกด้วย) ก็ไต่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น 

แม่เล่าว่าช่วงพักกลางวัน มีเพื่อนที่ทำงานคนหนึ่งเอานางขวักมาให้แม่ดู แม่เอามือซ้ายหรือขวาเราจำไม่ได้นะคะ รับไว้แล้วพิจารณาดู เพื่อนคนนั้นบอกว่าเขาเก็บได้จากข้างถนนตอนมาทำงาน แม่เราก็ส่งคืนให้แล้วบอกว่า “ดีแล้วพี่ โชคดี” พอหลังจากนั้นก็กลับไปทำงาน แม่เล่าว่าจู่ๆ  ก็มีอะไรสีดำๆใหญ่ๆ ซึ่งไม่รู้ว่าคืออะไร ลอยมากระแทกเข้าเต็มๆหน้าแม่เรา แม่เรารู้สึกว่าหูตัวเองนั้นใหญ่ขึ้น หูอื้อไปหมด คล้ายจะเป็นลมแล้วหลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์อย่างที่เราเล่าไว้ในบทที่ 4 ค่ะ

ตอนนั้นเราทุกคนก็เข้าใจว่าในตัวแม่เราก็คงเป็นนางขวักที่แม่เรารับมานั้นแหละ แม่เราก็เอาแต่แบมือข้างที่ไปรับนางขวักไว้ตลอดการสนทนา แต่จู่ๆโทรศัพท์มือถือของพ่อก็ดังขึ้น ปลายสายเป็นเพื่อนที่โรงงานที่ช่วยเหลือแม่ไว้ตอนนั้น เขาบอกว่าในตัวแม่เรานะ ไม่ใช่นางขวักแต่เป็นผีตายโหง

วินาทีที่พ่อเราพูดคำว่า ผีตายโหง เรากรี๊ดออกมาเลย ที่เขาโทรมาบอกเพราะเขาไปดูร่างทรงที่เขานับถือ ‘ ฤาษีตาไฟ’ ว่ามันผู้นั้นคือผีตายโหง ที่ตายในโรงงาน พ่อเรานึกขึ้นได้เลย ” นาย น. ” เอาล่ะ ถ้างั้นที่เล่ามาทีแรกว่าเป็นนางวัก ผีก็หลอกพวกเราซินะ

บทที่ 7 ข้อต่อรอง

พอจับได้ว่ามันผู้นั้นคือ ผีตายโหงที่ตายในโรงงานเมื่อคราวนั้น แม่ก็มีอาการตกใจเหมือนโดนจับได้ แล้วพูดแทนตัวเองว่า’ผม’ 

ตลอดการสนทนาหลังจากนั้น (เราขอเรียกผีตัวนั้นว่า เขา นะคะ) เขาบอกว่า ตัวเขานะเป็นคู่ผัวเมียกับแม่เรามาตั้งแต่ชาติที่แล้ว (ตอนนี้พ่อเราโมโหมาก สงสัยจะหึง) ตอนที่แม่มีอาการเจ็บป่วยตอนกลางคืนนะ เขาเองแหละที่ไปรับไว้ครึ่งหนึ่ง มิเช่นนั้นแม่ก็คงสิ้นใจแล้ว ส่วนเขาเข้ามาอาศัยกับแม่นานแล้ว แม่เองนั้นแหละพาเขาเข้ามาในบ้านเอง เพราะแม่เป็นเจ้าของบ้าน และตัวแม่เรานะเวลาไปไหว้พระที่ไหนก็จะชอบอธิฐานว่า ถ้าจะตายก็ขอให้ตายหลังจากน้องชายน้องเราเรียนจบ เพราะแม่เขารักลูกชายมาก และลูกชายคนนี้จะเป็นพลังให้กับแม่ด้วย (พูดถึงตอนนี้เราแอบซึมๆ หนูก็รักแม่เหมือนกันน้า) 

ขณะนั้นก็เกิดเหตุอีก ฤาษีตาไฟ ท่านนั้นต้องการที่จะเอาเขาไปอยู่ด้วย โดยเพื่อนที่โรงงานโทรกลับมาหาอีกรอบ คราวนี้เขาโมโห เขาบอกเขาไม่ไป ถ้าเอาเขาไปเขาจะเอาชีวิตของแม่ไปด้วย เขาให้เหตุผลว่า ฤาษีตาไฟเอาเขาไปเป็นบริวารเป็นแน่ เขาไม่ยอม ถ้าเอาเขาไป แม่เราตายแน่ พ่อเราเลยตอบกลับปลายสายว่า ไม่เป็นไร เรื่องนี้ขอจัดการเอง

คุยกันมาถึงจุดที่ว่า แล้วเขาจะเอาอย่างไร จะมาเกาะแม่เราแบบนี้ไม่ได้นะ เขาบอกกับร่างทรงยายกรายทองว่า เขาขอ ‘ อยู่กับแม่เราอีก1อาทิตย์ โดยจะอาศัยอยู่ใต้ชายคาบ้าน ระหว่างที่อยู่นั้นขอให้เซ่นเขาด้วย ข้าวสวย กับข้าว เหล้าฝรั่งและบุหรี่’  ซึ่งตามสัญญาในคืนนั้น เขาขอมาอยู่กับบ้านยายกรายทอง โดยทางเราจะต้องซื้อตุ๊กตาผู้ชายมาเป็นที่สถิตของเขา เขาจะอยู่ที่นั่นกับบ้านร่างทรง หลังจากนั้น พวกเราก็พาแม่กลับบ้าน ซึ่งแม่เราเดินเองได้ เดินลิ่วๆไม่รอใครไปที่รถ น้าเราสตาร์ทรถ พารถทะยานฝ่าความมืดมิดออกไป พร้อมกับวิญญาณที่นั่งอยู่ในรถอีกตนหนึ่งกลับบ้านไปพร้อมกัน……

บทที่8 เลี้ยงผี

ก็คงไม่ต้องพูดถึงคืนนั้นเราระเห็จมานอนเบียดกับยายและน้องชาย เพราะว่าห้องนอนเราอยู่หน้าบ้านพอดี ส่วนพ่อก็เข้านอนพร้อมกับแม่ พอฟ้าแจ้งดูจากสภาพแม่ก็คงต้องโทรลางานยาวอย่างไม่มีกำหนดแน่นอน ปล่อยให้พ่อไปสู้กับคำถามมากมายที่โรงงานคนเดียว ซึ่งเอาล่ะ หน้าที่ที่เราไม่อยากจะทำแถมหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้ทำมาถึงล่ะ คือการหาข้าวให้ผีกิน 

เราคว่ำถังสีลงกับพื้นซีเมนต์หลังบ้านเรา คดข้าวใส่ถ้วย เทปลากระป๋อง รินเหล้า ซึ่งเช้าวันนั้นเราจุดบุหรี่ไม่ได้ แม่เราแย่งไฟแช็คกับบุหรี่ไป บอกแม่จุดเอง พร้อมกับคาบบุหรี่ไว้ที่ปากจะจุดดูดเอง เรากับยายแย่งกลับมา ยายบอกเดี๋ยวกูจุดเอง เสร็จก็เอาไปวางรวมกันที่ถัง จุดธูป1ดอก เราพูดในใจปนกับความโมโหว่า ” หาข้าวให้ล่ะ มากินด้วย” เราเหวี่ยงมากนะ เพราะใจหนึ่งเราไม่เชื่อ ผสมกับอารมณ์ว่า ฉันต้องมาทำบ้าอะไรแบบนี้ด้วย ซึ่งเราต้องทำแบบนี้ในช่วงเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกดินอีก 1 มื้อ จนกว่าจะครบอาทิตย์หนึ่ง

ก่อนที่เราจะเซ่นผี แม่เรายังลุกนั่งเดินเหิน พูดคุย แต่พอเราเซ่นเสร็จแม่จะนอนห่มผ้านิ่ง และไม่พูดไม่อะไรเลย มีครั้งหนึ่งเราไปกวนแม่ แม่ไล่ตะเพิดเราออกจากห้องว่า ” ออกไป ออกไปเลย” เราก็โมโหดิ นี่บ้านเรานะ เราเลยตอกกลับไปว่า ” มึงแหละไป ไม่ใช่กู นี้บ้านกู”  เสร็จแม่เราก็ล้มตัวลงนอนอีก นอนทั้งวัน นอนหลับบ้าง บางทีก็ลืมตาแข็งแต่นอนนิ่ง พอบ่ายคล้อยหน่อยจะลุกขึ้นมาคุยได้ล่ะ แต่พอเราเซ่นผีตอนเย็นเสร็จ แม่เราก็ไม่มีปากอีกล่ะ (เดี๋ยวจะมีคำตอบว่าทำไม) เป็นแบบนี้วนกันไปทุกวัน

บทที่ 9 ผีไม่มีญาติ

เย็นวันหนึ่งมีเพื่อนร่วมงานทั้งคนไทยและพม่ามาเยี่ยมแม่ที่บ้าน เอาขนม ผลไม้มาฝาก หลังจากที่เพื่อนสนิทของแม่ในที่ทำงานทราบกันแล้ว เขาคนนั้นในตัวแม่คือ ผีนาย น. แม่ของฉันลุกขึ้นมาพูดคุยกับเพื่อนได้ แต่! คนที่คุยจริงๆคือ นาย น. อาศัยพูดผ่านปากแม่ ซึ่งเราวันนั้นพูดเลยว่า อายค่ะ รับสภาพไม่ได้ นี้แม่กูเป็นอะไรไปเนี้ย แม่แกล้งหรือเปล่า แต่อีกใจหนึ่งตั้งแต่เกิดเป็นลูกแม่มา 20กว่าปี แม่ไม่เคยทำอะไรบ้าๆบอๆแบบนี้เลย ไม่เคยขี้เกียจทำงานด้วย เย็นนั้นเราลงไปดูแวบเดียว แล้วขึ้นห้องมานอนเลย รู้แค่ว่าแม่เราพูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็ร้องไห้ออกมา เหมือนกับว่าเพื่อนที่มาเยี่ยมจะเข้าใจกันดี

พอทุกคนกลับ เราก็เซ่นผีอีก1มื้อของวันด้วยโทสะล้วนๆ ขณะให้ข้าว แล้วแม่เราก็ปิดปากเงียบ หลับไปอีกแล้ว หลังจากนั้นมาทราบความจากพ่อว่า ผีนาย น. มาเล่าความลำบากและคับแค้นใจหลังจากตายผ่านปากของแม่ว่า “เขาโดนไฟช็อตตาย ขาดใจตายขณะไปโรงพยาบาล ดวงจิตเขาหลุดขณะข้ามสะพานข้ามคลองแห่งหนึ่ง กลายเป็นสัมภเวสีเพราะพ่อแม่ พี่น้อง ไม่ใส่ใจจะมาเรียกดวงวิญญาณกลับ ไม่ทำบุญให้เขา เขาไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ตายแล้วก็ตายไป ”  จริงๆเราควรจะสงสารเขานะ แต่เราไม่สงสารฉันสงสารแม่มากกว่า ซึ่งตอนนั้นไม่มีใครคิดว่า จริงๆแล้วทำไม เขาถึงเลือกแม่ เพราะอะไร บังเอิญ หรือ มีคนตั้งใจทำกันแน่ จนกระทั่งความน่ากลัวที่สุดของครอบครัวเรามาถึงอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา….

บทที่ 10 หมายเอาชีวิต

แม่เข้าไปนอนได้ซักพัก พอช่วงกลางดึกประมาณ4ทุ่ม พ่อเปิดประตูออกมาบอกแม่เป็นอะไรไม่รู้ หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก ทุรนทุรายอีกแล้ว เรากับยายเข้าไปดูแม่ ปรากฎว่าแม่ได้สติแล้ว จำแม่จำลูก แต่แม่เรามีสภาพเหมือนคนที่กำลังจะขาดใจ หายใจถี่ เท้าจิกที่นอน มือเกร็ง ตัวเกร็ง เหงื่อออกท่อนบน แต่เท้ากลับเย็นเฉียบ แม่พูดว่า “XX แม่ไม่ไหวแล้วลูก เหมือนใครมานั่งทับหน้าอกแม่ ใจแม่เหลือนิดเดียวแล้ว ใจแม่จะขาดแล้วลูก เหมือนหัวใจจะหลุดออกจากขั้วแล้ว” 

สภาพแม่ตอนนั้นเหมือนคนกำลังจะตายจริงๆ เรากลัวมากแทบร้องไห้ แต่พยายามบอกว่า “แม่จ๋า พยายามสวดมนต์ตั้งนะโมไว้ แม่ นึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัยไว้แม่” ยายพยายามนวดเท้าแม่ให้คลายและพูดตลอดเวลากับแม่เราว่า ” ลูกเอ๋ย ตั้งสติอยู่กับแม่ก่อนลูก”

ซึ่งพ่อเราตอนนั้นสวดได้แค่นะโมเท่านั้น ไม่รู้บทสวด หรือมนต์พระอะไรทั้งสิ้น ขณะที่สวดแม่เราก็ทุรนทุรายตลอดเวลา พวกเราสวดนะโมวนไปไม่รู้กี่รอบ สุดท้ายแม่ตั้งอธิฐานในใจถึงหลวงพ่อปู่ทอง เกจิที่บ้านเรานับถือ จนพ้นเที่ยงคืน แม่บอกว่าเห็นรูปปั้นของหลวงพ่อปู่ทอง สว่างวาบเข้ามา บัดนั้นสิ่งที่คร่อมร่างแม่อยู่ ก็พลันหายไป แม่คลายตัว หายใจเริ่มปกติ ถึงค่อยหลับไป โดยที่มือเรากับแม่ไม่ปล่อยกันเลยจนฟ้าสร่าง

บทที่ 11 ครบสัญญา

พอตอนเช้าทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ เราก็เซ่นผีสองมื้อต่อวันเช่นเดิม แม่เราก็อาการเหมือนเดิมเช่นวันแรก และแน่นอนพอตกกลางคืนก็มีอาการเฉียดจะขาดใจเหมือนใครจะมาพรากลมหายไปแบบนี้ทุกคืนตลอด1สัปดาห์ ที่เรากับผีทำสัญญากันไว้ 

ก่อนใกล้ถึงวันจะครบกำหนด น้าชายพาแม่ไปเลือกตุ๊กตาผู้ชาย ที่จะนำไปเป็นที่สถิตของเขา แม่เลือกตุ๊กตาปูนปั้น เป็นเด็กผู้ชาย นุ่งชุดสีม่วงใบหน้ายิ้มแย้ม น้าเล่าว่าแม่กอดไม่ยอมปล่อยเลย จนวันเวลาผ่านมาจนถึงคืนสุดท้ายของสัญญา ซึ่งเป็นวันเสาร์เรากลับมาบ้านตอนค่ำ แม่เข้านอนแล้ว พ่อกับยายอยู่ในครัว เราจึงไปถามว่า พรุ่งนี้ไปกันกี่โมง พ่อเลยเอ่ยปากมาว่า เราไม่ต้องไป เรางงมาก ทำไมล่ะ 

พ่อเลยบอกว่าเมื่อเย็นคุยกับเขา โดยผ่านร่างแม่ตอนเราไม่อยู่ ” ผีไอ้น.มันไม่ให้เอ็งไป มันบอกว่าตลอดเวลาที่ให้ข้าวมัน มันสัมผัสถึงพลังจากฝ่ามือเราว่ารุนแรง เต็มไปด้วยโทสะ และไม่กลัวด้วย ” พ่อยืนกรานเสียงแข็งว่าไม่ได้ แล้วเขาก็บอกว่า ‘ที่ทุกครั้งหลังให้ข้าวแม่จะไม่พูดอะไร เป็นเพราะว่าพอผีกินอิ่มแล้ว ปากมันพูดไม่ได้ แล้วที่ผ่านมาแม่ผอมกินไม่ได้ เพราะแม่กินเท่ากับผี แค่ถ้วยข้าวเซ่นผี กินได้แค่นั้น’ สุดท้ายคืนนั้นฉันนอนโมโหผี ด่าผีที่ไม่ยอมให้ฉันไปดูแม่ในวันพรุ่งนี้ วันสำคัญของผีและแม่ฉัน….

บทที่ 12 ตุ๊กตาเด็กผู้ชาย

วันรุ่งขึ้นแม่เรา จัดการใส่ชุดขาวทั้งชุด เพื่อนสนิทสองคนจากที่ทำงานมาร่วมไปส่งผีด้วย ทุกคนในซอยโผล่ออกมาดูบ้านเราอย่างกับเป็นโรงลิเก มีแต่เราแหละ หน้าตาเหมือนไปโมโหใครมา ก็แน่ล่ะ เราอยากไปด้วยนิ วันนั้นสมาชิกที่ไปด้วยได้แก่ พ่อ น้าชาย น้าสะใภ้ ลูกพี่ลูกน้องฉันเด็กอยู่จำอายุไม่ได้ และเพื่อนแม่อีก 2 คนไปด้วยกัน แม่อุ้มตุ๊กตาไว้แน่น ก่อนออกจากรั้วบ้านแม่หันมาบอกว่า ให้ไปคว่ำกระถางธูปซึ่งปกติจะจุดไว้ให้เขาตลอด 1 อาทิตย์ที่ผ่านมา ให้เทและคว่ำไว้ แม่เดินตัวงอๆ ค่อยๆก้าวเท้า ราวกับคนไม่มีแรง หลังง้องุ้มไปขึ้นรถ…

หลังจากนี้เป็นเรื่องราวจากพ่อนะคะ อาจไม่ละเอียดนัก พ่อบอกว่า พอถึงบ้านร่างทรง ยายกรายทองก็ทำพิธีเบิกเนตรตุ๊กตาตัวนั้นและก็เอาวิญญาณของเขาใส่เขาไปแทน และนำตุ๊กตาตัวนั้นไปวางรวมกับรูปปั้นอื่นๆ แล้วก็มีการพูดคุยกันเล็กน้อย ซึ่งเขาบอกว่าจะอยู่ที่นี่ จะไม่ตามไปแน่นอน เป็นอันเสร็จพิธี แล้วพวกแม่เราก็ลากลับ โดยทุกคนคิดว่าแม่คงหายแล้ว แต่เปล่าเลย….

บทที่13 ผิดตัว

หลังจากกลับมาจากการ ‘ส่งผี’  แม่เราก็กลับมานอนที่บ้าน สภาพหมดเรี่ยวหมดแรง ทุกคนก็นึกโล่งใจ คิดว่าแม่หายดีแล้ว เราเองก็กลับมานอนห้องตัวเองได้ล่ะ  ผีไปแล้วนิ  คืนนั้นกำลังจะเคลิ้มหลับ พ่อก็ตะโกนเรียกว่าแม่อาการกำเริบอีกล่ะ เหมือนกับตอนผียังอยู่แม่ 

อ้าวเห้ยย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หน่า แม่เรากำลังจะขาดใจอีกแล้ว ตั้งนะโมกันอีกแล้วเรา รอบนี้พ่อพูดขึ้นมาว่า จะพากลับบ้านต่างจังหวัดเลย เพราะที่นั้นมีวัดหลวงพ่อปู่ทองที่บ้านเรานับถืออยู่ จะไปกันคืนนั้นเลย แม่บอกว่ายังก่อน เสร็จแล้วแม่พนมมือขึ้นมา แล้วเอ่ยปากบนกับหลวงพ่อปู่ทอง ว่าขอให้ตนหายจะไปแก้บน พอพ้นเที่ยงคืน อาการของแม่ก็คลายลง  แล้วก็เผลอหลับไป พวกเราได้แต่งุนงงว่า แท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผีก็ไปแล้ว แล้วทำไมยังมีใครมากดหน้าอกแม่อยู่อีกคืนนี้ มันคือใครกัน

บทที่ 14 เช็คผลงาน

พระอาทิตย์ของวันจันทร์โผล่พ้นขอบฟ้า เช้านี้แม่ลุกขึ้นปฏิบัติหน้าที่ประจำวันได้ และขอยืนยันว่าตนจะไปทำงานเพราะหยุดยาวมาเป็นอาทิตย์แล้ว ใบหน้าแม่ยังคงหมองคล้ำ แต่เรี่ยวแรงพอจะมี สติก็มีพร้อม ทุกคนขอให้แม่ห้อยพระเข้าไปแอบใส่ไว้ในเสื้อขณะทำงาน (โรงงานไม่อนุญาตให้ใส่เครื่องประดับ) 

ซึ่งระหว่างที่แม่เราทำงานนั้น นางตอหัวหน้าก็พยายามจะเดินมาดู เดินมาใกล้ตลอดเวลา ซึ่งตอนนั้นแม่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันแน่ ตลอดทั้งวันมีคนแวะเวียนมาถาม พ่อกับแม่ รวมทั้งเพื่อนอีก2คนของแม่ เลี่ยงที่จะตอบคำถาม เพราะว่าถูกกำชับมาว่าห้ามเล่าให้ใครฟัง ใครถามตอบแค่ว่า สบายดีแล้ว แค่นั้น ซึ่งนางตอเอง ก็พยายามที่จะถาม แอบถามจากเพื่อนของแม่ ว่า”ตกลงเขาเป็นอะไร เขาหายแล้วเหรอ” ซึ่งก็ได้รับเพียงคำตอบเหมือนกับคนอื่นๆ เท่านั้น ส่วนคนที่เอานางกวักมาให้แม่ดูนั้น ทั้งวันไม่ได้สอบถามอะไร พูดแต่ว่าฉันไม่รู้ ไม่เกี่ยวกับฉันแค่นั้นเหมือนกัน

ทั้งวันไม่มีอาการกำเริบ สามารถทำงานได้เป็นปกติ กินข้าวกินปลาได้น้อยเหมือนเดิม ไม่ได้สดใส แต่ก็ไม่ได้ทุรนทุรายอะไรหรืออะไร ซึ่งทุกอย่างนั้นอยู่ในสายตาของใครบางคนตลอดเวลา

บทที่ 15 หญิงสาวปริศนาที่ไม่ได้รับเชิญ

เมื่อเหยียบธรณีประตูบ้านหลังจากเลิกงานตอนเย็น แม่มีอาการอิดโรยพร้อมกับอาการหอบแน่น หายใจไม่สะดวกอีกครั้ง ซึ่งพวกเราก็เริ่มสังเกตได้ว่า แม่มักจะมีอาการหลังจากตะวันโพล้เพล้และเริ่มหนักขึ้นในช่วงกลางดึก ซึ่งแม่ก็จะขออาบน้ำนอนแค่นั้น แต่พ่อบอกว่า ปล่อยแบบนี้ไว้ไม่ได้หรอก มันไม่หายขาด มันยังเป็นๆหายๆ ต้องกลับไปบ้านยายกรายทอง ไปให้เขาดูอีกที ตกลงเรื่องนี้มันอย่างไรกันแน่ หรือผีจะผิดสัญญา…

สุดท้ายก็อาบน้ำผลัดผ้า แล้วบึ่งรถออกไปยังจุดหมายเดิมอีกครั้ง คราวนี้พ่อแม่ไปกันแค่สองคน ไม่มีผู้ติดตาม พอไปถึงร่างทรงยายกรายทองก็ประทับทรงพูดคุยกับแม่อีกครั้ง ซึ่งมีพ่อเป็นผู้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยมีแม่นั่งตัวเกร็งแนบชิดอยู่ข้างพ่อมิได้ห่างเลย ซึ่งยายกรายทองก็ได้เล่าให้ฟังบ้างว่า “ผีนายน.นั้น สร้างความวุ่นวายมากขณะที่มาอาศัย ออกมาเพ่นพ่าน มาแกว่งเปลแกล้งเด็กอ่อนในบ้านเขา”

ในขณะที่สนทนากันอยู่นั้น มิใดมีใครล่วงรู้ถึงการมาของผู้หญิงคนหนึ่ง แขกที่ไม่ได้รับเชิญ บุคคลที่พวกเราไม่เคยได้รู้จักมาก่อน ไม่เคยได้ยินการเอ่ยนามของเขา ซึ่งเขาผู้นั้นมาพร้อมความโกรธเกี้ยวและพลังในตัว ชนิดที่ว่าผู้ชายอกสามศอกอย่างพ่อเรา ยังหวาดหวั่นในใจได้

บทที่ 16 พญานาค

ผู้หญิงที่ปรากฎตรงหน้า เป็นหญิงสาวร่างใหญ่ ใบหน้าดุดัน มีเสียงที่ก้องกังวานแฝงไปด้วยความหนักแน่น ถ้าจะพูดให้ถูกหน่อย ก็น่าจะมีแค่พ่อแม่เรานั้นแหละที่ไม่รู้จักผู้หญิงคนนั้น ส่วนคนในบ้านนั้นเขารู้จักกันดี หญิงอายุ40กว่าๆ เป็นครูสอนโรงเรียนวัดแห่งหนึ่งใกล้ๆกับสำนักทรง สถานะโสด มองเผินๆก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ จนกระทั่งเขาเข้ามานั่งกลางบ้าน พร้อมกับมีกิริยาท่าทางเยี่ยงชายฉกรรจ์ วาจาน้ำเสียงดุดันพิโรธ ประหนึ่งว่าไปโมโหใครมา พ่อเราถึงกับตกใจในน้ำเสียงของผู้หญิงคนนี้ แม่เรานะเหรอกลายเป็นลูกนกตกน้ำ สั่นสะท้านไปทั้งตัวเอาแต่กอดแขนพ่อเราไว้แน่น

ด้วยความสัจจริงของผู้เล่าที่ได้รับฟังจากพ่อมา ผู้หญิงท่านนั้นเป็นร่างทรงของพญานาค ซึ่งปกติแล้วจะมีอยู่ 3 องค์ที่ประทับลงในตัวเขาหมุนเวียนกันไป ซึ่งในวันนั้นองค์ที่มากับเขา คือ “ปู่พญาอนันตนาคราช” พญานาคที่ขดตัวเป็นแท่นบรรทมขององค์วิษณุกลางเกษียณสมุทร ตามคติความเชื่อของฮินดู (เราขอเรียกต่อไปว่า ร่างทรงปู่นะคะ)

ร่างทรงปู่แผดเสียงดังออกมาว่า “ไอ้ผีนี้มันเกเร เอาไว้ไม่ได้ มันโกหกพวกมึง มันไม่อยู่ในรูปปั้นนั้นหรอก ผีมันก็เหมือนคนตอนมีชีวิตอยู่ มีทั้งดีชั่วผสมกัน ทุบตุ๊กตานั้นทิ้งซะ แล้วกูจะบอกวิธีปลดปล่อยไอ้ผีตัวนี้” สิ้นคำพูดไม่นานนัก หัวตุ๊กตาเด็กผู้ชายที่ยิ้มร่า ก็แหลกเป็นจุณ

บทที่ 17 เพชรพญานาค

” พวกมึงจงไปซื้อผ้าไตรใหม่ไปถวายพระที่วัดXX เมื่อตะวันโผล่ แต่อย่าให้ตะวันตรงหัวพวกมึง และที่สำคัญที่สุดมึง ต้องให้พระที่รับผ้าไตรเปลี่ยนครองผ้าไตรใหม่ ณ เพลานั้นเลย ผีไอ้ตัวนี้มันจะได้เกาะชายผ้าเหลืองไปผุดไปเกิด แล้วก็กรวดน้ำให้มันอีก ให้พระแม่ธรณีเป็นพยานด้วย”

นี่คือคำพูดจากปากของร่างทรงปู่ หลังจากตุ๊กตานั้นแตกละเอียดด้วยมือของพ่อไปแล้ว ดูเหมือนแม่ยังตระหนกและหวาดกลัวกับท่าทางของร่างทรงปู่เสียเหลือเกิน จนร่างทรงปู่ได้พูดออกมาว่า ” มึงมันขวัญอ่อน เขาเลยทำมึง” ซึ่งวันนั้นร่างทรงปู่ได้มอบแหวนวงหนึ่ง ตัวเรือนเป็นทองเหลืองเก่ามาก หัวเป็นวัตถุทรงกลมสีออกม่วงแก่ๆ ท่านบอกให้แม่ติดตัวไว้ตลอดเวลาที่ออกนอกบ้าน ถ้าจะถอดให้ใส่ภาชนะแล้วมีน้ำรอบภาชนะที่รองรับนั้น และให้ไปซื้อเบี้ยแก้ห้อยไว้ด้วย และเมื่อหายดี จงนำแหวนมาคืน เพื่อช่วยคนอื่นต่อไป  ก่อนที่พ่อแม่จะลากลับในคืนนั้น

ป.ล. ซึ่งพวกเรามาค้นดูกูเกิ้ลกันในภายหลัง จึงได้รู้ว่า น่าจะเป็นที่เขาเรียกว่า “เพชรพญานาค” และสีม่วงนั้นมีความหมายในเชิงแก้คุณไสย แก้อาถรรพ์ค่ะ

บทที่ 18  ตามมาขอร่าง

พ่อเราโทรมาเล่าให้ฟังคร่าวๆในขณะที่กำลังมุ่งหน้ากลับบ้าน รวมถึงเล่าอาการของแม่ ว่าตอนนี้ปกติดี ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนัก ซึ่งพวกเราก็ได้รอฟังเรื่องราวจากพ่อกันอยู่ที่บ้านอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อพ่อมาถึง เราก็เปิดประตูรับให้ท่านทั้งสองเข้ามา แต่พอขึ้นเรือนมาได้ไม่เท่าไร แม่ก็ลงไปนั่งกับเตียงมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออกอีกครั้ง พวกเรางงเป็นไก่ตาแตก อะไรกันเพิ่งพ้นมาได้ไม่ถึงชั่วโมงเป็นอีกแล้วหรือ 

คราวนี้แม่เรานอนหงายไปกับเตียง ปากพูดพร่ำๆว่า ” เหมือนมีใครมาบังคับ เขากดอยู่ เขามาแล้ว ” พวกเราทำได้แต่ยืนมองหน้ากันอยู่รอบเตียง ซักพักแม่เราก็ดีดตัวขึ้น เป็นท่านั่งห้อยขาข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งสอดพับไว้ข้างใต้ขาอีกข้าง ตัวตรง บ่าตั้ง “กูตามอีีร่างมันมา กูอยากได้มัน”  พวกเรามองหน้ากัน หรือว่าจะเป็นองค์ปู่พญาอนันตนาคราช แต่ยืนงงได้ไม่นานแม่เราก็สั่งให้เราไปเอาน้ำเปล่ามา ต้องเป็นน้ำเปล่าที่มาจากขวดใหม่ ไม่มีใครเปิดดื่มก่อน เราเลยไปซื้อจากร้านชำมาให้แม่ แถมขอบุหรี่พ่อมาจุดดูดเองอีก และออกคำสั่งให้เราปิดประตูหน้าต่างภายในบ้านให้หมดทุกบาน ณ เวลาของคืนนั้น พวกเรานั่งอยู่กับพื้น มีแม่ที่นั่งด้วยท่าทางสง่าผ่าเผยอยู่บนเตียงเพียงคนเดียว

ตอนนี้เหมือนไม่ใช่แม่ของเราอีกครั้งแล้ว ดูแปลกตาทั้งท่วงท่า วาจา สายตา แต่แตกต่างจากเมื่อ1อาทิตย์ที่เราเคยประสบมา คือ ดูมีพลัง สง่างาม ที่เราเองอธิบายไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร และคำพูดที่ทำให้พวกเราต้องเรียกสติกันอีกครั้งคือ ” กูชอบร่างนี้ กูอยากให้มันอยู่กับกู แล้วกูจะช่วยดูแลมันเอง”

บทที่ 19 คำขอ

งงกันไปเลยซิ ตกลงที่อยู่ในตัวแม่คือร่างทรงปู่ตามมาหรืออย่างไร แม่เริ่มดูดบุหรี่มวนต่อมวนโดยมีพ่อคอยถือที่เขี่ยบุหรี่ให้ พ่อเลยเอ่ยปากออกมาว่า “เห็นทีคงจะไม่สะดวกรับขันธ์หรือให้แม่มาเป็นร่างทรง เพราะแม่สุขภาพไม่ดี และยังอยากมีชีวิตปกติแบบผัวเมีย พ่อแม่ลูกอยู่ แต่รับปากว่าจะนับถือและจะถวายบุญให้เมื่อมีโอกาสทุกครั้งไป” 

แม่เราได้พูดออกมาว่า “เห็นแม่เราอยู่ในศีลมาตลอด ถ้าได้ร่างนี้ก็ถือว่าจะดีมาก แต่ไม่เป็นไร มาถึงเรือนแล้วอยากรู้อะไรก็ถามมา” หลังจากนั้นก็เป็นเหตุการณ์ทำนายทายทักของสมาชิกในบ้านเรา โดยถ้าใครอยากถามอะไรให้เข้าไปนั่งใกล้ๆแล้วแม่เราจะเอาเท้าเหยียบไปที่ขาของคนนั้น 

ตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง เป็นช่วงเวลาที่น่าพิศวงเกิดขึ้นกับสมาชิกในครอบครัวเรา ชนิดที่เล่าให้ใครฟัง เขาคงหาบ้าเป็นแน่ หลังจากบุหรี่มวนสุดท้ายหมดลง ท่านบอกจะไปแล้ว ขอน้ำดื่มหน่อยเอาน้ำดื่มจากขวดที่คนในบ้านเรากินไปแล้วนะ เอามา และก็ไปเปิดประตูหน้าบ้าน ประตูรั้วซะ อีกไม่ชั่วอึดใจ แม่เราก็หงายหลังไปนอนสลบบนเตียง ทิ้งให้พวกเรายืนมองพร้อมกับกลิ่นบุหรี่ที่คละคลุ้งไปทั่วบ้าน

บทที่ 20 ถึงวันปล่อยผี

ต้องรอจนถึงวันอาทิตย์พ่อกับแม่ถึงจะได้ไปทำตามคำแนะนำของร่างทรงปู่ หลังจากเตรียมผ้าไตรของชิ้นสำคัญในการปลดปล่อยผี รวมทั้งสังฆทานสดเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว น้าชายก็อาสาเป็นคนขับรถพาพ่อกับแม่ไปวัดดังกล่าว ซึ่งก่อนจะออกจากบ้านนั้นปรากฎว่า แม่มีอาการเหมือนร่างทรงปู่เข้าอีก โดยครั้งนี้ร่างทรงปู่ ยืนยันว่าแม่โดนของอย่างแน่ และคนทำนั้นเป็นผู้หญิงผิวขาว คนที่พ่อกับแม่เราทำงานอยู่ด้วย และของที่ทำนั้นเป็นของสายดำของเขมร ซึ่งความจริงแล้ว ผู้หญิงนี้อยากจะทำของใส่พ่อของเรามากกว่า แต่พ่อเราดวงแข็งทำมาสารพัดวิธีแล้วก็ไม่เข้า มันเลยเปลี่ยนมาเล่นแม่เราแทน เพราะขี้กลัว ขี้ตกใจและสามารถเอาสิ่งบางอย่างจากตัวแม่เราไปใช้ทำของสกปรกได้ง่ายกว่า…..

ทุกอย่างในขั้นตอน ” ปลดปล่อยผี” เกิดขึ้นและเสร็จสิ้นตามคำแนะนำของร่างทรงปู่ ซึ่งในวันนี้อยู่ในร่างของแม่ และท่านได้บอกผ่านปากของแม่ว่า “กูแค่มาช่วยพวกมึง ไม่ได้มาเอาเมียมึงมาเป็นร่างกู” แต่ยังไม่เสร็จแค่นี้ เรื่องของผีจบแล้ว แต่เรื่องคุณไสยในตัวแม่เรายังไม่จบ ถึงเวลาไปถอนของออกจากตัวแม่เราซักที

บทที่21 ความจริงปรากฎ

หลังจากออกจากวัด จู่ๆแม่เราก็ถามมาว่า “นี้มันกี่โมงแล้วว่ะ มึงดูเวลาหน่อยซิ ไอ้เครื่องที่เอาแนบหูกันนะ” พ่อเราเลยตอบไปว่า10โมงกว่าๆแล้ว แม่ก็พูดขึ้นมาว่า “ตะวันยังไม่พ้นหัว วันนี้แหละพวกมึงจะต้องทำให้สำเร็จ ทำตามที่กูบอกแล้วเมียจะหาย” ขณะนั้นน้าเราได้หยุดจอดรถหน้าซุ้มประตูวัด แล้วพวกเขาทั้งสองคนก็ได้สดับรับฟังที่มาทั้งหมด ทุกเหตุการณ์ในอดีต ผ่านจากปากแม่เรา คนที่โดนคุณไสยเขมรปางตาย…..(จากนี้จะเป็นบทเล่าธรรมดานะคะ)

“ เพราะความเกลียดชังที่มีต่อพ่อแม่เราอย่างรุนแรง นางตอหัวหน้างานแม่เรา ได้พยายามทำคุณไสยเขมรใส่พ่อเราแล้วหลายครั้งแต่ไม่สามารถทำอะไรพ่อเราได้เลย เหตุที่ทำใส่พ่อเรานั้น เพราะหมั่นไส้ที่พ่อเราได้รับความเชื่อถือจากเจ้านายมากกว่ามัน พ่อเราดวงแข็งกว่า ไม่ใช่คนขี้กลัวหรือตกใจอะไรง่าย แม้วันดวงตกก็ไม่สามารถทำให้พ่อเราต้องของสกปรกของมันได้ งั้นเปลี่ยนเล่นเมียน่าจะง่ายกว่า แล้วมันก็คิดถูกจริงๆ โดยมันมีที่ปรึกษาเป็นหมอผีท้องถิ่น หมอผีประจำบ้านมัน เขาบอกให้มันเป็นเอาของใช้ หรือเส้นผมแม่เรามา ใช้ในการประกอบพิธี (แม่เราทำงานที่ต้องเปลี่ยนชุด ใส่หมวกคลุมผมเข้าฝ่ายผลิต จึงมีล็อกเกอร์ประจำตัวพนักงาน ในขณะที่แม่เราเผลอ มันแอบไปเอาเส้นผมแม่เราที่ติดตามตาข่ายคลุมผมไป)

และที่ผีนายนอ.เข้ามาอยู่กับแม่เรานั้น เป็นเพราะอีหมอผีมันเอาดวงจิตของผีตนนั้นมาใส่ไว้กับตุ๊กตา แล้วทำเป็นตุ๊กตาชายหญิง คือแม่เรากับผีนั้นมาผูกติดกัน แล้วจับถ่วงลงลำน้ำโขงไป พร้อมกับสร้างเรื่องให้ผีนั้นเชื่อว่า มันกับแม่เราคือคู่กันแต่ชาติปางก่อน เหตุนี้มันจึงเข้ามาอยู่ในตัวแม่เรา มาอาศัย มาเกาะกินอยู่ร่วมปี’

บทที่ 22  ยาสั่ง

“แต่แค่นั้นมันไม่สาแก่ใจ คราวนี้มันกะเอาตาย มันเลยทำยาสั่ง”  สิ้นคำพูดจากแม่ พ่อกับน้าชายถึงกับอึ้งหันมาสบตากัน แล้วจะต้องทำอย่างไร คำพูดเสียงแผ่วๆออกจากปากพ่อ ” มันทำของใส่ปลาตัวเล็กๆที่เมียมึงกินกับไอ้เด็กหน้าขาวพูดคนละภาษากับพวกมึงนะ เมียมึงไปกินเข้า อีร่างซวยคนเดียว เขาไม่ซวยด้วย”  พ่อเรานึกขึ้นได้ว่าแม่เราชอบนั่งกินข้าวกลางวันที่โรงอาหารกับเด็กพม่าและมักแบ่งอาหารกินกันเป็นประจำ และปลาตัวเล็กๆที่ว่า เป็นปลาตัวเล็กทอดกรอบขายเป็นกิโล และแน่นอนคนที่เอามาขาย คือหัวหน้าที่แสนดีคนนั้นๆเอง ….

“พากูไปหามันที ถามมันด้วยว่าของยังอยู่ไหม กูจะเอามาแก้ของให้อีร่าง”  สิ้นคำน้าชายเรารีบบึ่งรถไปยังห้องเช่าแห่งหนึ่งในระแวกบ้านเรา ซึ่งเรียกกันว่าตึกร้อยห้อง  ในขณะที่พ่อเราโทรติดต่อลูกน้องชาวพม่าที่เป็นสามีของเจ้าของปลากรอบนี้ ให้ช่วยออกมาตอนพักกลางวันได้ไหม เพราะเนื่องจากเข้ากะในวันอาทิตย์ และ’ของ’ยังอยู่ไหม ถ้าอยู่พ่อเราขอซื้อต่อทั้งหมดจะกี่บาทก็จ่าย และที่สำคัญขอให้ออกมาให้ไว้ที่สุด ถ้าตะวันคล้อยจากหัว วันนี้ถือว่าทำไม่สำเร็จ

ระหว่างที่นั่งรอหน้าตึก แม่เรานั่งบนเก้าอี้ม้าหินหันหน้าออกคลองเล็กๆ ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ โดยมีพ่อและน้าชายเรานั่งยองๆกับพื้นขณะนั้นร่างทรงปู่ในตัวแม่เราก็ดูดบุหรี่ พร้อมพูดออกมาว่า ” มันก็แค่งูดิน หรือจะมาสู้พญางูอย่างกู เล่นแต่ของสกปรกเอาขวัญเมียมึงกับไอ้ผีนั้นถ่วงลงบาดาลชั้น14  กูต้องลงไปเอาขึ้นมา” 

และแล้วประมาณ11โมง มีสายเข้าจากลูกน้องพม่าคนเดิมบอกว่ากำลังมาพร้อมกับภรรยา ‘ของ’ ยังมีแต่เหลือน้อยแล้ว พ่อบอกไม่เป็นไรเอามา เมื่อมาถึง หญิงสาวพม่ารีบขึ้นห้องไปเอาถุงปลากรอบเจ้าปัญหาลงมาให้ สภาพคือเหลือติดก้นถุงไม่กี่ตัวนัก แม่เราได้พูดออกมาเบาๆว่า “ก็ยังดี แค่นี้กูก็ทำได้”  ซึ่งพ่อเราได้ตอบแทนน้ำใจด้วยเงินจำนวนหนึ่งให้แก่เขาทั้งสองไป

กลับมาเหลือสามคนอีกครั้ง เวลาล่วงเลยไปพอสมควรอีกไม่นาน พระอาทิตย์จะเคลื่อนมาตรงหัวแล้ว แม่เราหยิบถุงปลากรอบขึ้นมา เปิดปากถุงออกมาพร้อมกับบริกรรมคาถาอะไรซักอย่าง ที่พ่อและน้าชายไม่อาจเข้าใจได้ ขณะที่คนพักอาศัยคนอื่นเริ่มหันมามองกลุ่มของแม่เราบ้างแล้ว แต่แม่ก็ยังนั่งเหยียดตัว หลับตา มีสมาธิในการ’บริกรรมคาถา’ ต่อไปอย่างไม่ไหวติง  ชั่วอึดใจหนึ่ง แม่ลืมตาขึ้นมา พร้อมบอกให้เอาปลากรอบเททิ้งคลองตรงหน้าทั้งถุง พร้อมบอกว่า “เมียมึงหายแล้ว และกูก็จะไปแล้ว  แต่จงอย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้นะ”

บทที่23  แม่คนเดิมของลูก

ก่อนที่จะลุกออกจากที่แห่งนั้น ร่างทรงปู่ได้เตือนไว้ว่า “ห้ามไปกินของคนอื่นซี้ซั้วอีก และห้ามไปบอกวันเดือนปีเกิดใครถ้าไม่จำเป็น และท้ายที่สุดอย่าเอาความเลวชนะความเลว มันล้างกันไม่ได้  คนเรามีวันดวงตกทุกคน ขอให้จงพึงระวังตัวไว้เสมอ บุญกุศลที่ทำมาจะเป็นอีกหนึ่งเกราะให้รอดจากภยันตรายจากเดรัจฉานวิชาได้”  ก่อนที่แม่เราจะก้าวเท้าขึ้นรถแล้วหลับไป 

เมื่อถึงบ้านแม่เราแค่รู้สึกเหนื่อย แต่เหมือนว่าจะจำไม่ได้ว่าตนเองไปทำอะไรมา หรือว่ามี ‘ใคร’ ไปพร้อมกับตนมา เย็นวันนั้นแม่มีใบหน้าที่ดีขึ้น แม้จะซ่อนความอิดโรยไว้บ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเราสบายใจคือ แม่เราเริ่มหิว และทานข้าวได้เยอะเหมือนเมื่อก่อนแล้ว  พวกเราได้แต่ภาวนาในใจขอให้ทุกสิ่งกลับมาเป็นเช่นเดิม  ขอให้หัวใจของลูกอยู่กับลูกอีกนานแสนนานด้วยเถิด  คืนนั้นพวกเราหลับสนิท ปราศจากเสียงร้องของแม่  เมื่อรุ่งอรุณมาถึงแม่เราก็ลุกขึ้นไปทำงานอย่างกระปี้กระเปร่าอีกครั้ง  แม่คนเดิมของเรากลับมาแล้ว หลังจากทรมานมานานนับปี  

บทที่24  รู้ตัว

แม่เราก็ยังแอบห้อยพระและเบี้ยแก้มาในที่ทำงาน เพราะยังมิอาจไว้ใจใครได้ทั้งนั้น พ่อเล่าเรื่องเกี่ยวกับร่างทรงปู่คร่าวๆให้แม่ฟังแล้ว และขอให้แม่จงระวังตัวจากนางตอให้ดี  ว่านางผู้นี้แหละเป็นผู้หมายเอาชีวิตแม่  หากว่ามันเข้าใกล้หรือพยายามเข้าใกล้ จึงหลีกหนีหรือมีสติเสมอ  เพราะไฟริษยาที่สุมทรวงนั้น คงจะยังไม่ดับมอดไปเป็นแน่ หากใครถามก็ตอบเช่นเดิมว่า “ฉันสบายดี”  ซึ่งเช้าวันนั้นพ่อเราตัดสินใจว่าจะทำอะไรบางอย่างให้หัวหน้าคนละแผนกได้รู้ตัวกันซักหน่อย…

พ่อสังเกตอยู่นานจนเห็นว่าไม่มีใครเข้าออกห้องนั้นแล้ว และแน่ใจว่าในห้องนั้นมีคนที่ต้องการพบเป็นพิเศษอยู่ในนั้น  พ่อผลักประตูโผล่พรวดเข้าไป กว่าคนอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะจะรู้ตัว พ่อก็มายืนอยู่ข้างหน้าแล้ว พ่อโน้มตัวเอามือทั้งสองข้างยันโต๊ะ ก่อนจะพูดเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “มึงอย่ามายุ่งกับเมียกูอีก ”  

นางตอตกใจไม่ทันตั้งตัว พูดเสียงสั่นออกมาว่า พ่อเราพูดอะไร ไม่เข้าใจ ก่อนที่พ่อเราจะยืดตัวขึ้นแล้วชี้หน้านาง จ้องตานางกลับไป แล้วผลักประตูออกโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย  ซึ่งพ่อเราก็คอยฟังอยู่ว่า แม่นางตอจะไปโพนทะนาต่อหรือไม่ ปรากฎว่าจนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีคนอื่นรู้ว่าพ่อพูดอะไรกับนาง

เป็นไปตามคาด วันนี้คุณหัวหน้าของแม่ก็เข้ามาตรวจงานบ่อยมากกว่าปกติ ซึ่งแม่สัมผัสได้ว่านางตั้งใจมองหรือแอบมองแม่อยู่บ่อยๆ ซึ่งแม่เราก็มีสติระวังตัวอยู่เสมอ ไม่เปิดโอกาสให้นางแม้แต่เดินเฉียดหลังก็ตาม

บทที่25 ปัจฉิมบท

แม่เราก็ยังห้อยพระไปทำงานอยู่อีกซักพักหนึ่ง ส่วนแหวนที่ได้รับมาจากปู่เมื่อคราวนั้น แม่เราไม่ได้พกติดตัวแล้ว ประกอบกับอาการดีขึ้นตามลำดับ จึงเห็นว่าควรจะนำแหวนไปคืนที่บ้านยายกรายทองเสียที  เมื่อถึงวันอาทิตย์ของสัปดาห์หนึ่ง พ่อกับแม่ได้ขับรถเพื่อนำแหวนไปคืน ซึ่งวันนั้นปรากฎว่าเป็นวันไหว้ครูของที่บ้านนั้นพอดี  พ่อกับแม่เราได้ถวายเงินใส่พานทำบุญร่วมด้วย ก่อนที่พ่อกับแม่เราจะลากลับ อยู่นานไม่ได้เพราะแม่เราใจคอไม่ค่อยดี

ยังจำสัญญากันได้ไหม? ว่าพ่อเรารับปากจะเคารพนับถือองค์อนันตนาคราชแทนการให้แม่รับขันธ์หรือเป็นร่างทรงปู่  ซึ่งพ่อเราได้จัดการหาซื้อปูนปั้นพญานาคมาไว้ในบ้านซึ่งตอนแรกเราบอกให้ไปเบิกเนตรเสีย แต่พ่อบอกว่าแค่เอาเป็นสัญลักษณ์ในการเคารพเท่านั้น จะไม่ขอรับเข้ามาในบ้านอย่างเต็มตัว และพวกเราจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับผีเจ้า เข้าทรงอีกเลย และหลังจากนั้นครอบครัวเราได้เดินทางกลับไปแก้บนหลวงพ่อปู่ทอง ที่วัดบ้านเกิดพ่อเราค่ะ

และสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปสำหรับครอบครัวเราคือ พ่อเราจากคนที่สวดได้แค่บทนะโม กลายเป็นคนที่สามารถสวดมนต์พระ มนต์พิธีต่างๆได้จนคล่องแคล่ว ชำนาญ  พ่อจากคนที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญในวันพระ กลายเป็นคนบูชาพระด้วยตนเองในทุกวันพระตลอด และพวกเราจากนอนอยู่บ้านในวันพระ กลายเป็นครอบครัวที่พากันเข้าวัด ทำบุญ รู้จักให้มากขึ้น  สะสมบุญตอนที่ยังมีชีวิตเพื่อเป็นเสบียงบุญต่อไป  

ที่สุดแล้วการไม่จองเวรกันนั้น ย่อมนำความสุขแก่ผู้ที่ไม่จองเวร สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมเสมอ  และการพบเจอใครคนหนึ่งอาจเปลี่ยนแปลงชีวิตเราไปตลอดกาลจริงๆ 4ปีที่ผ่านมาของครอบครัวไม่มีเรื่องไหนทุกข์แสนทุกข์ มาถึง ณ ปัจจุบันนี้ ซึ่งตรงข้ามกับครอบครัวนางตออย่างสิ้นเชิง ….

ขอบคุณเรื่องจากผู้ใช้พันทิปนาม supergirl1991

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here