ผู้โดยสารปริศนา

ผู้โดยสารปริศนา
ผู้โดยสารปริศนา

เรื่องนี้ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี 2554 ช่วงที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ บางโซนน้ำก็ท่วมสูง บางโซนรถก็ยังพอวิ่งได้ พุทธมณฑลน้ำยังไม่ค่อยท่วมเท่าไหร่ รถยังพอวิ่งได้… คุณเต้คือหนึ่งในคนที่ขับรถแท็กซี่กะดึกแถวฝั่งจรัญ

มีอยู่วันหนึ่งคุณเต้ขับรถแท็กซี่ออกจากบ้านตอนสี่ตอนตามปกติ วิ่งออกหาผู้โดยสารไปเรื่อยๆ จนได้ผู้โดยสารให้ไปส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ คุณเต้ดีใจมากที่ออกจากบ้านมารอบแรกก็ได้ผู้โดยสารไปไกลเลย ถือว่าทุ่นเรื่องค่าเช่ารถไปได้อยู่พอสมควร 

หลังส่งผู้โดยสารเสร็จเรียบร้อย คุณเต้ก็ขับขึ้นทางด่วนเพื่อจะกลับมาวิ่งเส้นจรัญเหมือนเดิม กลับมาถึงแถวจรัญเวลาประมาณเกือบ ๆ จะตีห้า ซึ่งตอนนั้นรถแท็กซี่เริ่มออกมาวิ่งกันเยอะขึ้น คุณเต้เห็นว่ารถแท็กซี่วิ่งกันเต็มถนนไปหมด จึงเปิดไฟว่างเตรียมจะวิ่งออกไปนอกเมือง

ปรากฏว่าตอนที่คุณเต้กำลังจะขับรถออกไปนอกเมือง มีรถแท็กซี่อยู่ด้านหน้าสองคัน ส่วนรถของคุณเต้เป็นคันที่สาม ทั้งสองคันเปิดไฟว่างเหมือนกัน คุณเต้คิดในใจ ถ้ามีผู้โดยสารคงไม่ได้แน่ๆ จึงเตรียมตัวจะตบไฟเลี้ยวหักพวงมาลัยออกขวา 

แต่ระหว่างนั้นสายตาของคุณเต้ดันเหลือบไปเห็นผู้โดยสารผู้หญิงคนนึงอยู่ข้างหน้า กำลังยืนโบกเรียกรถอยู่ ก็คิดว่าคันหน้าต้องจอดรับแน่ เลยเตรียมตัวจะออกขวา แต่คันแรกดันขับเลยไปเฉย คุณเต้ก็คิดว่างั้นเดี๋ยวคันที่สองก็คงรับแหละ เพราะว่าอยู่ใกล้กว่า แต่คันที่สองก็ขับเลยไปอีก…

คุณต้ก็เลยคิดว่าตัวเองคงจะโชคดี รีบตบซ้ายเข้ามารับผู้โดยสารผู้หญิงคนนั้น แล้วเปิดกระจกถามว่า “จะไปไหนครับ??” ผู้หญิงคนนั้นตอบว่า “จรัญ…” สั้นๆง่ายๆ ได้ใจความ ผู้หญิงคนนั้นพูดจบก็เปิดประตูขึ้นมา

ระหว่างที่ขับรถจากแถว ๆ บรมราชชนนีไปจรัญ ด้วยนิสัยของคนขับรถแท็กซี่ก็ต้องมีการปรับกระจกมองหลัง เพื่อดูว่าผู้โดยสารเป็นยังไง ทำอะไรอยู่ เพื่อความปลอดภัยของตัวเองด้วย พอปรับกระจกมองไปข้างหลัง เห็นผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่ฝั่งซ้ายหลังเบาะคนนั่งข้างหน้า แล้วมองไปข้างหน้าอย่างเดียว

คุณเต้จึงลองชวนคุยว่า “ซอยที่จะไปเนี่ยลึกมั้ยครับ” แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับไม่ตอบ คุณเต้ก็พยายามชวนคุย แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ตอบอะไรเลย เอาแต่มองไปข้างหน้าอย่างเดียว คุณเต้คิดในใจว่างั้นไม่เป็นไร พอใกล้ๆจะถึงผู้โดยสารคงจะบอกเองแหละว่าจะให้ไปตรงไหน จะลงตรงไหน…

เมื่อไปถึงซอยจรัญ… คุณเต้เลี้ยวเข้าไป ซอยเป็นซอยไม่ใหญ่มากขนาดกำลังพอดีที่รถพอจะสามารถสวนทางกันได้ ผู้หญิงคนนั้นก็ยังคงไม่พูดอะไร ไม่บอกว่าต้องเลี้ยวตรงไหน ให้ไปตรงไหนยังไง คุณเต้ขับไปเรื่อย ๆ คิดว่าเดี๋ยวใกล้ถึงก็คงบอกให้เลี้ยวเองแหละมั้ง 

ขับไปได้นิดนึงก็มเจอซอยแยกทางขวามือ และอีกซอยนึงตรงไปข้างหน้า พอเลยกำลังจะขับผ่านซอยขวามือตรงนี้ไป อยู่ๆผู้หญิงคนนี้ก็พูดขึ้นมาว่า “เลี้ยวขวา” ห้วนๆ คุณเต้รีบเหยียบเบรคแล้วถามว่า “อะไรนะครับ” ผู้หญิงคนนั้นก็พูดอีกครั้งว่า “เลี้ยวขวา” คุณเต้ก็เลี้ยวเข้าซอยไป

ซอยที่เลี้ยวเข้าไปนั้นเป็นซอยที่เล็กมาก รถไม่สามารถขับสวนทางกันได้ คุณเต้คิดว่าบ้านของผู้หญิงคนนี้คงอยู่ในซอยนี้เนี่ยแหละ ระยะทางประมาณสัก 150 เมตร คุณเต้ขับเข้าไปเรื่อยๆ ในซอยมีบ้านคนนะ แต่มันดูเปลี่ยว ๆ ขวามือเป็นทาวเฮ้าส์เรียงกันอยู่ประมาณ 10 หลัง ซ้ายมือจะเป็นกำแพงเรียบไปกับถนนและข้างหน้าเป็นกำแพงหักศอกมาอีกทีนึง นั่นหมายความว่า ซอยนี้เป็นทางตัน 

ผู้โดยสารก็ยังคงไม่พูดว่าจะให้จอดตรงไหน คุณเต้จึงจอดรถและหันไปถามว่า “ตกลงจะให้ผมจอดตรงไหนดีครับ” ผู้หญิงคนนั้นตอบว่า “จอดตรงนี้แหละ” คุณเต้ก็งง จอดรถและปิดไฟหน้ารถ เนื่องจากเกรงว่าจะไปรบกวนบ้านอื่นที่อาจจะกำลังพักผ่อนกันอยู่ แล้วเปิดไฟในรถเพื่อจะเก็บเงิน ตอนนั้นมิเตอร์ค่าโดยสารประมาณ 49 บาท ผู้หญิงคนนั้นให้แบงค์ 100 มา คุณเต้ก็หยิบเงินทอนให้ไป

ด้วยความที่คุณเต้เห็นว่าผู้โดยสารต้องลงรถช่วงกลางค่ำกลางคืนในซอยเปลี่ยว ๆ คนเดียว จึงเกิดความเป็นห่วงเลยเปิดไฟหรี่หน้ารถให้ ผู้หญิงคนนั้นเปิดประตูลงรถจากทางซ้าย คุณเตก็คิดในใจเล่น ๆ ว่า 

“เอ๊ะ!! ด้านซ้ายเป็นกำแพง บ้านคนอยู่ด้านขวา แล้วทำไมไม่เปิดประตูลงทางขวาเลยละ ชั่งเถอะ เดี๋ยวเค้าคงเดินอ้อมรถมาทางขวา เพื่อเข้าบ้านมั้ง”

แต่มันไม่เป็นอย่างที่คิด ปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นลงรถเสร็จ หันมามองกระจกข้าง แล้วก็เดินหายเข้าไปตรงกำแพงด้านข้างเลย คุณเต้คิดในใจเอาแบบนี้เลยหรอ??  

คุณเต้นั่งนิ่งๆ อยู่ในรถ คิดในใจว่ากูโดนแล้วใช่มั้ย?? กูเจอแล้วใช่มั้ย?? คิดไปคิดมาคุณเต้ก็ถามตัวเองว่าจะลงหรือไม่ลง คือจะลงเพื่อไปดูพิสูจน์ให้ชัดเจนไปเลยว่าผู้หญิงคนนั้นเดินหายเข้าไปในกำแพงจริงหรือเปล่า 

หลังจากที่คุณเต้ตัดสินใจได้ก็เดินลงจากรถ ไปดูตรงกำแพงที่ผู้หญิงคนนั้นหายเข้าไป ปรากฏว่าตรงกำแพงนั้นถูกเจาะเป็นช่องประตูที่สามารถเดินทะลุเข้าไปได้ แต่คุณเต้ก็สงสัยว่ามันยังไงกันแน่ เพราะบริเวณนั้นมันมืดมาก จากที่เห็นด้วยสายตาไม่น่าจะมีบ้านคนได้ 

คุณเต้เลยเดินผ่านกำแพงเข้าไป ปรากฏว่าเจอบ้าน เป็นบ้านสองชั้นที่มันไม่เหมือนกับบ้านทาวเฮ้าส์ ดูเป็นบ้านเดี่ยวที่อยู่ใจกลางทาวเฮ้าส์และมืดมาก คุณเต้เลยเดินเข้าไปในบ้านเพื่อดูว่ามันเป็นยังไง 

ระหว่างที่กำลังเดินเข้าไป อยู่ ๆ ก็มีมือหนึ่งมาจับที่ไหล่… คุณเต้หันกลับไปดูพร้อมอุทานว่า “อุ้ย!!” เป็นผู้โดยสารผู้หญิงคนเมื่อกี้ ถามคุณเต้ว่า “ตามมาทำไม มาทำอะไร” ด้วยความที่คุณเต้ก็ไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังไง จึงบอกว่า “ผมเป็นห่วง…เห็นว่าผู้โดยสารลงรถมามืดๆ เลยเดินมาดูว่าปลอดภัยหรือเปล่า” ผู้โดยสารก็ถามอีกครั้งว่า “ถามจริงๆ มาทำไม” คุณเต้ก็เลยพูดตอบว่า “เอาจริง ๆ ปะ ผมคิดว่าพี่อะ เป็นผี…” ผู้หญิงคนนี้ก็ตอบมาคำนึงว่า “ผี…หรอ ถ้าอยากรู้พรุ่งนี้ก็มาดูสิ” 

พอได้ยินแบบนั้นใครจะอยู่ละ คุณเต้ก็เลย “ครับ ครับ ครับ” และถอยออกมากลับมาขึ้นรถ ระหว่างนั้นคุณเต้ก็สังเกตเห็นว่า บ้านที่เป็นทาวเฮ้าส์เริ่มมีคนตื่น และเห็นว่ามีคุณป้าคนนึงยืนมองอยู่ คุณเต้คิดว่า ท่าไม่ดีละ จึงขึ้นรถและขับถอยยาวๆออกมาจากซอยทันที 

หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านไปได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์ คุณเต้ไม่ได้สนใจหรือติดใจอะไรกับเรื่องนี้อีกเลย จนกระทั่งวันนึงบังเอิญคุณเต้ขับรถแล้วมีผู้โดยสารเรียกให้ไปส่งแถวจรัญ และก็เข้าไปในซอย ซึ่งซอยนี้มันอยู่ใกล้ๆกับซอยที่จะเคยเลี้ยวเข้าไปส่งผู้หญิงคนนั้น คุณเต้เลยนึกถึงเหตุการณ์ที่เจอในวันนั้น  ก็เลยขับรถเลี้ยวเข้าไปดูอีกที

พอคุณเต้ขับรถเลี้ยวเข้าไป ตรงจุดที่คุณเต้มาจอดรถในคืนวันนั้น ปรากฏว่ามันเป็นทาวเฮ้าส์จริงๆ ฝั่งตรงข้ามมันเป็นกำแพงจริงๆ และกำแพงมันมีช่องเข้าไปจริงๆ คุณเต้ก็เลยจอดรถชะโงกหน้าเข้าไปดู กำลังจะเดินเข้าไป 

แต่มีคุณป้าคนนึงออกมาจากทาวเฮ้าส์ถามว่า “ไอ้หนุ่มมาทำอะไร มาส่งผู้โดยสารหรอ” คุณเต้ตอบว่า “เปล่าครับ พอดีผมเคยมาส่งผู้โดยสารตรงนี้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วตอนกลางคืน เค้าหายเข้าไปตรงนี้ ผมก็เลยย้อนกลับมาดู” คุณป้าก็ถามอีกว่า “มาส่งบ้านหลังไหน” คุณเต้บอกว่า “เค้าไม่ได้อยู่ทาวเฮ้าส์นี้อะครับ ผมเห็นเค้าเดินเข้าไปในนี้” 

คุณป้าพูดขึ้นมาว่า “มึงแน่ใจนะ กูว่าแล้ววววว เรื่องนี้มีคนเคยเจอ!!!” คุณเต้รีบถามว่า “มีอะไรหรอครับ??” ป้าก็เลยเล่าให้ฟังพร้อมกับชี้ไปที่กำแพง ดูนั่นสิ ที่กำแพงมีหมายจากธนาคารติดเอาไว้เป็นหมายยึดทรัพย์สิน แสดงให้เห็นว่าบ้านหลังนี้มันร้างด้วยประการทั้งปวง มีหมายมาติดเพราะบ้านโดยยึด 

ป้าเล่าต่อว่า ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เอ็งรายแรกหรอกนะที่เจอ มีแท็กซี่เคยมาส่งหลายครั้ง แต่พอเค้าเปิดประตูลงจากรถ เค้าไม่ได้เดินให้มึงเห็นนะ เค้าหายไปต่อหน้าต่อตาแท็กซี่เลย แท็กซี่ก็เลยเดินมาชวนป้าเข้าไปข้างในว่าไอ้บ้านหลังนี้ตกลงมันร้างจริงหรือเปล่า แต่ป้าไม่กล้าเข้าไป… 

ตอนนั้นชาวบ้านแถวนั้นเห็นคุณเต้ยืนคุยกับคุณป้าจึงเริ่มเดินเข้ามามุงดูและมาถามป้าว่า “ป้ามีอะไรหรือเปล่า??” ทุกคนยืนรวมกลุ่มกันพร้อมกับเล่าให้คุณเต้ฟังว่า เจ้าของบ้านหลังนี้เป็นผู้หญิง ติดการพนันหนักมาก ไปกู้หนี้ยืมสินนอกระบบไม่พอยังไปกู้ธนาคารมาอีก แล้วหาเงินมาจ่ายไม่ทัน บ้านก็เลยถูกยึด ตัวเองไม่รู้จะทำยังไงจึงตัดสินใจขังตัวเองอยู่ในบ้าน 

ซึ่งชีวิตของผู้หญิงคนนั้นก็คือ ออกมืดกลับเช้า ชาวบ้านแถวนี้ก็ไม่ได้มีใครสนใจ รู้แต่ว่าติดการพนัน หายไป 2 – 3 วันบ้าง แล้ววันหนึ่งก็มีหมายจากธนาคารจะมาติด ยึดบ้าน มีเจ้าหน้าที่จากธนาคารต้องการจะเข้าไปในบ้าน พาตำรวจมาด้วย ทั้งหมดทำการงัดเข้าไป 

พอตำรวจงัดบ้านเข้าไปได้ กลิ่นนี่หึ่งมาเลย ผู้หญิงคนนี้ผูกคอตายกับโคมไฟระย้าตรงกลางบ้าน สันนิษฐานว่าน่าจะเสียชีวิตมาแล้วหลายวัน สภาพศพที่ไปเจอคือตัวหลุดออกจากหัวแล้ว เหลือแค่หัวห้อยอยู่ เจ้าหน้าที่ก็เลยเก็บศพจัดการอะไรเรียบร้อย ตั้งแต่นั้นมาบ้านหลังนี้ก็กลายเป็นร้างจนถึงทุกวันนี้…

ต่อมามีเจ้าหน้าที่ธนาคารจะเข้ามาประเมินทรัพย์สินว่าบ้านหลังนี้มีอะไรบ้างที่ขายถอดตลาดได้ ระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังสำรวจทรัพย์สินอยู่นั้น ได้จ้างแม่บ้านให้เข้ามาช่วยกันทำความสะอาดด้วย ป้าแม่บ้านขึ้นไปทำความสะอาดห้องนอนของผู้หญิงคนนี้ 

ระหว่างที่กำลังทำความสะอาดอยู่นั้น ป้าแม่บ้านได้กลิ่นเหมือนหนูตายออกมาจากหัวเตียงตรงซอกเล็กๆระหว่างหัวเตียงกับผนัง เลยเอาไม้กวาดแยง ๆ แหย่เข้าไป แล้วก็ส่องดู เห็นมีลูกตาสีขาวมองย้อนออกมา  ป้าแม่บ้านก็ตกใจ พยายามตั้งสติ แล้วหันกลับมาอีกที เห็นผู้หญิงคนนี้ยืนตาถลนอยู่ข้างหลัง เท่านั้นแหละป้าแม่บ้านเป็นลมสลบไปทันที

พอแม่บ้านอีกคนที่มาทำความสะอาดบ้านด้วยกัน เห็นว่าป้าแม่บ้านหายไปนานก็เลยมาตาม ถึงมาเห็นว่าป้าแม่บ้านนอนสลบอยู่บนห้อง ก็ปลุกป้าจนตื่น ป้าแม่บ้านเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้ฟัง  แล้วไม่ขอทำงานต่อ สรุปป้าแม่บ้านคนนั้นจับไข้หัวโกร๋นไปเลย….

หลังจากนั้นมาบ้านหลังนี้ก็เลยร้าง และมักจะมีเหล่าบรรดานักล่าผีต่างพากันล่าท้าผี มีอยู่วันหนึ่ง ได้มีทั้งกลุ่มวัยรุ่นผู้ชายและผู้หญิงที่อยู่แถวนั้น รวมตัวกันประมาณ 7 – 8 คนพากันมาลองของ แต่ระหว่างนั้นผู้หญิงในกลุ่มวัยรุ่นเกิดปวดท้องต้องการเข้าห้องน้ำ ผู้ชายในกลุ่มวัยรุ่นก็เลยบอกว่าให้ไปเข้าห้องน้ำสิ แต่ด้วยความที่บ้านหลังนี้เป็นบ้านร้างน้ำกับไฟโดนตัดไปหมดแล้ว 

พอผู้ชายวัยรุ่นพูดว่าให้ไปเข้าห้องน้ำสิ…จบ สักพักก็มีเสียงกดชักโครกในห้องน้ำดังขึ้น 1 ครั้ง คร่อกกกก…ตอนแรกกลุ่มวัยรุ่นชายหญิงคิดว่าเป็นน้ำค้างท่อ ก็เลยรวมตัวกันเปิดประตูเข้าไปดูในห้องน้ำ แต่กลับพบว่าในห้องน้ำนั้นแห้งสนิท ไม่มีน้ำ ไม่มีเสียงอะไรเลย จึงพากันปิดประตูห้องน้ำ แต่เดินหันหลังคล้อยมาหน่อยเดียว เสียงกดชักโครกดังขึ้นมาอีกครั้ง  คร่อกกกก… เท่านั้นแหละ ทั้งหมดก็พากันวิ่งหนีออกมาทันที บ้านร้างหลังนั้นจึงเป็นที่โจทย์จันจนถึงทุกวันนี้ว่า …ผีดุ…

ขอบคุณเรื่องจาก ตกลงแล้วพี่เป็นคน…หรือว่าเป็นผี?!! | อังคารคลุมโปง  ถอดความโดย คลังหลอน 

***ไม่อนุญาติให้คัดลอกบทความไปเผื่อแพร่ที่อื่น นอกจากการแชร์เท่านั้น หากนำไปดัดแปลงเป็นรูปแบบอื่น กรุณาแปะลิงก์ต้นฉบับไว้ด้วยนะครับ***

Previous article2433/4 เตียงที่ใครก็อยู่ไม่ได้
Next articleจำไม่ลืม…เมื่อแม่ฉันโดนของเขมรแทบสิ้นใจ