เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 53 เป็นช่วงที่การเมืองกำลังร้อนแรง ตอนเดือนเมษาช่วงเทศกาลสงกรานต์ ถ้าใครอยู่ต่างจังหวัดจะรู้ว่ารถจะแน่นมาก ยิ่งจัวหวัดคนไปน้อยๆรถยิ่งจะแน่นเป็นพิเศษ จนบางทีขนส่งต้องเพิ่มเที่ยวรถ เพิ่มรถเสริม เพื่อรองรับจำนวนคนที่ต้องการเดินทาง
ปกติแล้วรถจะต้องซื้อตั๋วล่วงหน้า ซึ่งพี่เอจองไม่ทันและจะมีรถเสริมอยู่ประมาณเที่ยวสองเที่ยว แต่ต้องมารอซื้อตั๋วที่ขนส่ง พี่เอก็มาไม่ทันอีก เนื่องจากเลิกงานค่ำมาถึงขนส่งก็เกือบจะสาม-สี่ทุ่ม ซึ่งรถหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พี่เอก็เลยลองไปถามเจ้าหน้าที่ดูว่ารถจะมีอีกเมื่อไหร่ แล้วจะมีรถเสริมมาอีกไหม คำตอบคือ…ไม่มี…
พี่เอไม่รู้จะทำยังไงก็เลยต้องรออยู่ที่ขนส่ง จนถึง 7 โมงเช้า ระหว่างที่กำลังนั่งรออยู่นั้น ได้มีคนจังหวัดเดียวกันกับพี่เอมาทำธุระรับของที่ขนส่งพอดี เดินมาทักพี่เอ
“อ้าวน้องจะไปจังหวัด XXX หรอ!!”
“ครับพี่ กำลังรอรถ รถไม่มีเลย…”
“เออ พี่กำลังจะไปพอดี พอดีแวะมาเอาของก่อน ติดรถไปด้วยกันมั้ยละ???”
ตอนนั้นพี่เอคิดในใจ เหมือนสวรรค์มาโปรดดีเลย ไม่ต้องรอถึงเช้า ไม่ต้องนอนตากยุงแล้ว
ระหว่างการเดินทางที่ขับรถไปเรื่อยๆ ทั้งสองมีการถามไถ่พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องทั่วๆไปว่าบ้านอยู่ตรงไหนทำงานอะไรยังไง…
ได้มีการเปิดวิทยุฟัง ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมือง หลังจากที่คุยกันไปคุยกันมาอยู่สักพัก ปรากฏว่าทั้งสองคนมีความคิดเห็นเรื่องการเมืองไม่ตรงกัน พอเริ่มพูดไม่เข้าหูกัน เถียงกันไปเถียงกันมา จนพี่คนขับรถเริ่มจะออกอาการมีอารมณ์โมโห พี่เอเริ่มรู้สึกว่าท่าจะไม่ดีละ จึงสงบคำอยู่เงียบๆดีกว่า และพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
จังหวัดนี้ ตอนกลางคืนถนนจะไม่ค่อยมีไฟส่องสว่าง ทำให้ค่อนข้างมืดมาก ขับรถ 2-3 ชม. ถึงจะเจอจุดปั้มสักที่นึง และปั้มส่วนใหญ่จะเปิดถึงแค่ประมาณ 4 ทุ่ม แต่ยังดีที่เซเว่นเปิด 24 ชั่วโมงอยู่
ขับรถไปเรื่อย ๆ ประมาณ 2-3 ชม. จนมาถึงปั้มที่นึง พี่คนขับก็เลี้ยวเข้าจอดพักรถตามปกติ แล้วหันบอกมาบอกพี่เอว่า “ไอ้หนุ่ม…ลงไปเข้าห้องน้ำห้องท่า ล้างหน้าล้างตาก่อนไป” พี่เอก็ลงไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยแล้วกะว่าจะเดินไปเซเว่นซื้อกาแฟกิน แล้วค่อยนั่งรถไปต่อ…
แต่ปรากฏว่าพอกลับมา…แจ็คพอต!!…รถพี่คนนั้นไม่อยู่แล้ว แล้วก็มีสัมภาระของพี่เอวางกองรวมกันไว้อยู่ตรงม้านั่งหน้าเซเว่น พูดตรงๆก็คือ…โดนทิ้ง… สาเหตุน่าจะมาจากการพูดจาคุยกันไม่เข้าหูกันนั่นแหละ
พี่เอได้แต่เซง ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ จังหวะนั้นก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เลยตัดสินใจนั่งรออยู่สักพัก เผื่อจะมีรถแวะมาเข้าปั้มแล้วค่อยขอติดรถไปต่อ
พี่เอนั่งรอไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีใครมา เลยตัดสินใจจะออกไปรอที่ริมถนนดีกว่า อย่างน้อยก็ยังพอโบกเรียกรถที่ผ่านไปผ่านมาหน้าปั๊มได้บ้าง
จังหวะที่พี่เอกำลังเดินๆไป อารมณ์คนที่กำลังเซงนึกว่าจะได้ถึงบ้านแบบสบายๆ แต่ต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ เดินๆไปเจอกระป๋อง ด้วยความหงุดหงิดก็เลยง้างเท้าปั่นฟรีคิกไป ปัง…!!
ปรากฏว่ามีอะไรไม่รู้อยู่ในกระป๋อง บาดเท้าพี่เอเต็ม ๆ จนได้แผล เพราะไม่ได้ใส่รองเท้าผ้าใบ เลยเดินกลับมาที่เซเว่น เพื่อหาซื้ออุปกรณ์ทำแผลเบื้องต้น แล้วก็กลับมายืนรอรถที่หน้าปั้มเหมือนเดิม
พี่เอยืนรออยู่สักพักนึงก็มีรถมา แถมยังเป็นรถเมล์อีกด้วย เป็นรถพัดลมธรรมดา แต่สภาพจะค่อนข้างเก่านิดนึง พี่เอก็โบกรถขึ้นไป แต่ก็เอะใจว่าทำไมรถมันเก่าและก็ยังเป็นพัดลมอีก แต่อีกมุมก็คิดว่า สงสัยเพราะเป็นรถเสริม เฉพาะช่วงเทศกาล มันก็คงวิ่งได้ปกติแหละมั้ง…
พี่เอขึ้นจากประตูทางด้านหน้า พอขึ้นมาบนก็เห็นมีคนนั่งอยู่บนรถประมาณ 6-7 คน ทุกคนหลับกันหมด พี่เอเดินเข้าไปด้านในจนเกือบจะหลังสุดหลังรถ ก็เห็นว่ามีพระภิกษุรูปหนึ่งนั่งอยู่ พี่เอเลยตัดสินใจไปนั่งเบาะแถวเดียวกับพระภิกษุ แต่อยู่คนละฝั่งข้ามกัน แล้วรถก็เคลื่อนตัวออก
ด้วยความที่พี่เอเจ็บเท้า จะให้นั่งท่าปกติมันก็ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ แล้วพอดีว่าเบาะฝั่งที่นั่ง มีพี่เออยู่แค่คนเดียว ก็เลยจะนอนเหยียดขาให้มันสบายหน่อย
ปกติแล้วอริยาบทของมนุษย์เราก็คือจะต้องเอาหลังพิงหน้าต่างแล้วเอาขาเหยียดไปทางฝั่งทางเดิน แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจะกลายเป็นว่าเท้าก็จะชี้ไปทางพระภิกษุ พี่เอก็เลยลองหันกลับมาพยายามเอาหลังพิงกับพนักพิงเก้าอี้ แล้วก็เอาขาเหยียดไปทางฝั่งหน้าต่าง พอนั่งอย่างนี้ก็จะกลายเป็นว่า ฝั่งลำตัวของพี่เอจะอยู่ติดทางเดิน
ตอนนั้นพระภิกษุท่านใส่หูฟังหลับอยู่ จังหวะที่พี่เอนั่งอยู่ ก็ได้แหล่มองไปทางหน้ารถ เห็นลุงแก่ๆคนนึง นั่งอยู่แถวหน้าถัดจากพี่เอไปประมาณ 3-4 แถว ชะโงกหน้าหันมามองพี่เอพร้อมกับยิ้มให้ พี่เอก็เลยยิ้มตอบ ลุงคนนั้นก็ผงกหัว พี่เอก็ผงกหัวตอบ แต่ลุงคนนั้นก็ยังจ้องมองพี่เออยู่ พี่เอก็คิดในใจ สงสัยลุงแกเพี้ยนๆหรือเปล่า จึงไม่ได้สนใจอะไร จัดการถอดเสื้อแขนยาวมาคลุมหัวไว้เพื่อนอนหลับ
พอรถขับไปสักพักด้วยความที่รถมันเก่าและโคลงเคลง ทำให้พี่เอรู้สึกคลื่นไส้ จึงตื่นขึ้นมาอาเจียนพุ่งออกมาเลอะพื้นรถเต็มไปหมด กลิ่นอ้วกนี่ฉุนขึ้นมาเลย พี่เอก็คิดว่าจะทำยังไงดี ตรงนั้นพระภิกษุท่านก็กำลังนั่งหลับอยู่ เลยคิดในใจว่าเดี๋ยวตอนลงค่อยจ่ายเงินเพิ่มเป็นค่าทำความสะอาดไปแล้วกัน
ด้วยความที่อ้วกมันเลอะเบาะ พี่เอเลยสลับฝั่งนอน เอาหัวไปพิงหน้าต่างแล้วหันเท้าชี้ไปทางเดินตามปกติ แล้วพี่เอก็ได้ยกมือไหว้ขอขมาพระภิกษุท่าน “ขอโทษนะครับ แต่ผมต้องขออนุญาตเสียมารยาท” แล้วก็นอนเปลี่ยนท่า ฟังเพลงสบายๆจนหลับไป รถก็ขับไปเรื่อยๆ
ขณะที่พี่เอกำลังนอนหลับโทรศัพท์ดันไหลตก พี่เอสะดุ้งตื่นเพราะว่าหูฟังหลุด พยายามก้มลงไปเก็บโทรศัพท์ แต่พอก้มลงไปเก็บปุ๊บ พี่เอเห็นเหมือนเงาคนตะคุ้มๆกำลังก้มทำอะไรบางอย่างอยู่ พี่เอพยายามเพ่งมอง เห็นเป็นลุงคนเดิมกำลังก้มอยู่ พอแกเห็นพี่เอ แกก็เหงยหน้าขึ้นมาสบตาพี่เอผ่านช่องที่นั่งด้านล่าง พี่เอถึงกลับขนลุก สะดุ้งตกใจ คิดในใจ คุณลุงแกน่าจะเพี้ยนไม่เต็มจริงๆ
พี่เอพยายามทำเป็นไม่สนใจ รีบกลับขึ้นมานอนที่เบาะ เอาเสื้อคลุมหน้าไว้เหมือนเดิม
นอนไปได้สักพักก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ จั๊กกะจี้ที่เท้าก็เลยสะดุ้งตื่นขึ้นมาดู แต่ภาพที่เห็นคือ ลุงคนนั้นกำลังก้มเลียแผลที่เท้าพี่เออยู่
พี่เอตะโกนอุทานออกมา แล้วรีบดึงขากลับ ลุงคนนั้นก็เหงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกับยิ้มให้พี่เอ แล้ววิ่งกลับไปด้านหน้ารถ แต่ลักษณะการวิ่งของลุง เค้าไม่ได้วิ่งสองขาเหมือนคนปกติ แต่เค้าวิ่งเหมือนลิงกอลิล่า ที่เวลาวิ่งมันจะ กระโดดๆ ตะกุยๆ ไป
พี่เอตกใจงงว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพต่อมาที่พี่เอเห็นคือ พระภิกษุที่นั่งอยู่ตรงข้าม ท่านกำลังพนมมือ พร้อมกับสวดอะไรไม่รู้อยู่ชิดขอบหน้าต่าง พี่เอเริ่มรู้สึกว่ารถคันนี้มันไม่ปกติละ…
ขับไปได้อีกสักพักนึงก็มีเสียง เฮ้อออออออเฮ่ยยยยย… แต่ที่มันหลอนไปกว่านั้น เพราะไม่รู้ว่าเสียงนี้มันดังมาจากใคร พอคนนึง เฮ้ยยยยยย เสร็จปุ๊บ อีก4-5 คนที่นั่งข้างหน้ารถก็ขานรับ เฮ่ยยยยย… ขึ้นมาพร้อมๆกัน เสียงดังเป็นจังหวะๆแบบนี้ จนพี่เอทนไม่ไหว เลยตะโกนบอกว่า “จอดด้วยครับ… จอดด้วย… จอดด้วยโว้ย…” อยู่ๆรถก็เบรคกระแทก เอี๊ยดดดด…!!
พี่เอรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว จึงรีบหยิบกระเป๋าเป้เดินลงมาจากรถ จังหวะที่กำลังจะลง พี่เอเห็นพระภิกษุท่านกำลังนั่งสวดอยู่ คิดว่าท่านน่าจะเห็นเหมือนกัน ก็เลยบอกพระภิกษุว่า “นิมนต์นะครับหลวงพี่ มากับผมเถอะ” พระภิกษุรูปนั้นท่านก็เลยถือย่ามลงตามพี่เอทางประตูด้านหลังของรถ
พอทั้งสองเดินลงมา รถมันก็ค่อยๆขับออกไป สิ่งที่พี่เอเห็นคือมันไม่ใช่รถเมล์ธรรมดาปกติ เมื่อรอบ ๆ รถมีไฟที่เขาติดตามศาลพระภูมิ แล้วก็มีพวงรีดติดอยู่รอบรถ เหมือนโลงศพ แล้วพอรถเคลื่อนตัวออกไปได้สักพัก เสียง เฮ่ยยยยเฮ้ยยยย ก็ยังคงดังไล่หลังรถไปด้วย ซึ่งพี่เอไม่รู้ว่าสิ่งที่แกเจอมันเป็นเพราะเวรกรรมหรือเพราะเหตุผลอะไร ดีที่เรียกพระภิกษุท่านนี้ลงมาด้วยกัน
พี่เอถามพระภิกษุว่า “ ท่านโอเคไหม ท่านเห็นอะไรบ้าง” พระภิกษุก็ตอบว่า “เห็น”
ครั้งแรกที่พระภิกษุเห็นคือ ตอนที่ท่านตื่นขึ้นมา เห็นพี่เอกำลังอ้วก ท่านก็คิดว่าพี่เอเมารถ จึงไม่ได้คิดอะไร พยายามนอนหลับต่อ แล้วท่านก็สะดุ้งตื่นขุ้นมาอีกที ท่านเห็นตอนที่ลุงคนนั้นอยู่ๆก็ไปก้มเลียอ้วกของพี่เอที่อยู่ที่พื้น ซึ่งมันเป็นจังหวะพอดีที่พี่เอเค้าเผลอทำโทรศัพท์หล่นลงไป เลยทำให้พี่เอเห็นว่าลุงคนนี้เค้ากำลังก้มอยู่ ตอนแรกท่านก็คิดว่าเป็นคนบ้าเหมือนกัน
จนจังหวะที่สองที่พี่เอตื่น ท่านเห็นเลยว่า คุณลุงคนนี้เดินมาดมแผลที่เท้าของพี่เอ ดมๆ แล้วก็อ้าปาก แต่ตอนที่อ้าปากมันไม่เหมือนปากของมนุษย์ คางมันยาวลงไปเกือบถึงพื้นแล้วก็เอาลิ้นยาวๆออกมาเลียแผล นั้นคือทั้งหมดที่พระภิกษุท่านเห็น ท่านก็ไม่รู้จะทำยังไงนอกจากสวดมนต์ แผร่เมตตา จนพี่เอตื่นแล้วก็พากันลงมาจากรถ
ท่ามกลางความมืด มีเพียงพี่เอกับพระภิกษุยืนอยู่ข้างถนน พี่เอเลยคุยกับพระภิกษุว่า “ผมยังพอเดินไหวอยู่นะท่าน เราลองเดินไปเรื่อยๆกันดูดีมั้ย เผื่อเราจะเจอศาลาริมทาง จะได้พักกันก่อน รอจนเช้าค่อยว่ากันอีกที อย่างน้อยก็อยู่เป็นเพื่อนกัน” พระภิกษุท่านก็โอเค
แต่แล้วทั้งสองคนก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อจุดที่ลงรถมันเป็นจุดที่เค้าเอาศาลเพียงตามาทิ้งกัน ทั้งสองเดินไปประมาณ 3-4 กิโล จนไปเจอศาลาริมทาง ทั้งสองจึงเข้าไปนั่งพัก พี่เอพยายามคุยกับพระภิกษุว่ามาจากไหน จะไปที่ไหนต่อ ถามไถ่กันเรื่องทั่วๆไป
ขณะที่คุยกันอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังศาลา
“เฮ้ย!!! หนวกหู ลำคาน”
พอทั้งสองหันไปดูปรากฏว่าเป็นขี้เมาไร้บ้านคนนึงนอนอยู พี่เอจึงบอก “ขอโทษครับ” ทั้งสองอยู่กันเงียบๆ จนสุดท้ายต่างคนก็ต่างหลับไป มารู้ตัวอีกทีเพราะมีแสงแยงตาในตอนเช้า แต่พี่เอตื่นเพราะได้ยินเสียงสวด ที่แรกพี่เอนึกว่าพระภิกษุท่านคงจะตื่นมาสวดทำวัตรเช้า แต่พอตั้งใจฟังบทสวดดีๆ มันไม่ใช่นะสิ
พี่เอเลยรีบลืมตาตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าเจอพระภิกษุท่านกำลังนั่งและสวดอยู่จริงๆ แต่บทที่สวดเป็นบทที่ใช้สวดในงานศพ (กุศลาธรรมา) พี่เอก็เลยหันไปดูทางด้านที่พระภิกษุกำลังสวดอยู่ ปรากฏว่าตรงด้านหลังศาลามีผู้ชายขี้เมาคนเมื่อคืนนอนอยู่ แต่อยู่ในสภาพที่บวม อืด …. บริเวณรอบๆมีขวดเหล้ากระจัดกระจายเต็มไปหมด
ตอนแรกพี่เอก็ไม่มีกลิ่นหรอก แต่พอเห็นศพเท่านั้นแหละ กลิ่นมันตีจมูกขึ้นมาเลย จนพี่เออ้วกแตกอีกรอบ แล้วพี่เอก็ถามหลวงพี่ว่า “ทำไมไม่ปลุกผม” หลวงพี่ตอบว่า “ปลุกแล้ว ปลุกไม่รู้จะปลุกยังไงแล้ว แต่โยมไม่ตื่น อาตมาก็ไม่รู้จะทำยังไง จะทิ้งเอาไว้คนเดียวตรงนี้ก็คงไม่ได้ จึงทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ก็เลยสวดให้เค้า ระหว่างที่รอโยมตื่นแล้วเราค่อยไปกัน”
หลังจากเดินออกมาจากศาลา พี่เอกับพระภิกษุก็ยืนรอโบกรถ… จนมีรถผ่านมาทั้งสองก็แยกย้ายกัน
แต่เรื่องมันยังไม่จบเพียงเท่านั้น….
หลังจากที่พี่เอกลับไปถึงบ้าน อยู่บ้านได้ประมาณอาทิตย์สองอาทิตย์ ก็รู้สึกคิดถึงพระภิกษุรูปนี้ขึ้นมา และก็จำได้ว่าวันนั้นท่านบอกว่าจะไปจำวัดที่วัดนี้นะ เพื่อไปแสวงบุญ พี่เอก็คิดว่าไปทำบุญดีกว่า จึงซื้อข้าวชื้อของเพื่อเตรียมไปวัด
พอไปถึงที่วัดก็ถวายสังฑทานนั่งพูดคุยกับท่านเจ้าอาวาส และถามท่านว่า “เจ้าอาวาสครับ พอดีวันนั้นผมติดรถมากับหลวงพี่ท่านนึง ท่านชื่อหลวงพี่…. จำวัดอยู่ที่วัดนี้แหละ ไม่ทราบว่าหลวงพี่ท่านจำวัดอยู่ที่กุฎิไหนครับ” เจ้าอาวาสท่านพูดขึ้นมาว่า
“เดี๋ยว!! ท่านนั่งมากับพระ…รูปนี้หรอ”
“ใช่ครับ นั่งมาวัน…”
“นั่งมาวันไหน!!” เจ้าอาวาสถาม
“วันนี้….ไงครับ”
“โยม พระท่านมาไม่ถึงนะ”
ทีแรกที่ได้ยินพี่เอคิดว่า หลังจากที่แยกกันที่ศาลา ท่านไปทำธุระที่ไหนหรือเปล่า แต่เจ้าอาวาสบอกว่า “พระท่านประสบอุบัติเหตุตั้งแต่ออกมาจากจังหวัดต้นทาง และก็นอนอยู่ห้อง ICU จนมรณะภาพ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น พี่เอได้แต่ช๊อคว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาพระท่านไม่ได้อยู่ด้วยเลยสักเหตุการณ์ ถ้าทุกคนสงสัยว่าทำไมพี่เอไม่โทรศัพท์ติดต่อใครให้มารับ เพราะสัญญาณโทรศัพท์แถวนั้นมันไม่ได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ จะมีสัญญาณเป็นบางช่วงเท่านั้น จึงไม่สามารถติดต่อใครได้เลย… จบ…
เรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดจาก น้ำผึ้งหยดเดียว แค่พูดไม่เข้าหูเพื่อนร่วมทาง จำไว้ว่า เรื่องศาสนา การเมือง ฟุตบอล ไม่ควรเอามาสนทนากับคนที่เราไม่รู้จัก แม้แต่คนในบ้านเดียวกัน แค่ความเห็นไม่ตรงกันยังทะเลาะกันเลย นั่นคือสาเหตุที่ทำให้พี่เอถูกทิ้งไว้กลางทาง จนนำไปสู่จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
ขอบคุณเรื่องจาก คืนกลับบ้าน | คุณอุ้ม | 20 ก.พ. 2564 | ***เจอดีเพราะโดนทิ้ง
ถอดความโดย คลังหลอน
***ไม่อนุญาติให้คัดลอกบทความไปเผื่อแพร่ที่อื่น นอกจากการแชร์เท่านั้น หากนำไปดัดแปลงเป็นรูปแบบอื่น กรุณาแปะลิงค์ต้นฉบับไว้ด้วยนะครับ***