“ผี มีจริงหรือไม่?” ใครที่ยังไม่เจอกับตัวเองก็ยากจะตอบว่ามีจริงหรือไม่ แต่ถ้าจะพิสูจน์ให้แน่ชัดแล้วต้องเจอกับ “ผี” แบบจะๆ ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีสักกี่คนที่อยากลอง เพราะในจำนวนคนที่อยากรู้ว่า “ผีมีจริงหรือเปล่า” บางก็เป็น “คนกลัวผี” ในเวลาเดียวกันด้วย
เรื่องกลัวผีนี้ เชื่อว่าผู้ใหญ่หลายท่านสอนลูกหลานไม่ให้กลัวเกินกว่าเหตุ แต่จะได้ผลเมื่อเด็กๆ กลัว หรือยำเกรง ผู้ใหญ่ท่านนั้นมากกว่าผี เหมือนกับ หม่อมเจ้าหญิงดวงจิตร จิตรพงศ์ ทรงเขียนไว้ใน “ป้าป้อนหลาน” ที่ใช้อ้างอิงครั้งนี้
เมื่อลูกหลานของท่านถามว่า “ป้าเคยเห็นผีไหมคะ” ท่านก็ทรงรับว่ากลัวมากเหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่ก็กลัวพระบิดา (สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์) มากกว่า ก่อนจะทรงเล่าให้หลานๆ ฟังว่า
“เสด็จปู่ (สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์) ไม่โปรดให้ลูกกลัวผี ถ้าท่านจับได้ว่ากลัวก็จะถูกดัดสันดานเสียงอมจนชินเข้าก็กล้าไปเอง…”
สถานที่ “ดัดสันดาน” ก็คือ ในวังท่าพระอยู่ที่ไหน ที่ใดมีชื่อเสียงเรื่อง “ผีดุ”
หม่อมเจ้าหญิงดวงจิตร ทรงเล่าว่า “พวกพี่ๆ ของป้าเคยเล่าว่าในสมัยเด็ก ที่ดัดสันดานของเด็กรุ่นท่าน คือ ตำหนักในสวนที่วังท่าพระ ปลูกอยู่ติดกําแพงข้างต้นจันทน์แถวต้นสาเก…เป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องผีดุ เสด็จปู่จึงทรงลืมของไว้ที่ตำหนักนั้นบ่อยที่สุด ไม่ซองบุหรี่ ก็ไม้ขีดไฟ และหนังสือที่ท่านอ่านค้างอยู่เป็นต้น ใครมีท่าว่ากลัวผีถูกใช้ให้ลงไปหยิบ และมักต้องไปบ่อยๆ จนกว่าจะหายหน้าซีด…
ที่เดือดร้อนมากที่สุดคือทรงใช้ให้ไปรินน้ำชามาถ้วยหนึ่ง ถ้ามีเสียงอะไรแกรกกรากก็วิ่งไม่ได้ ต้องเดินประคองไม่ให้กระฉอก กลัวสมเด็จมากกว่าผีก็ต้องแข็งใจทน แต่ก็ไม่เคยมีใครถูกผีหลอกสักที
ครั้นถึงสมัยเด็กรุ่นป้าตําหนักสวนนั้นรื้อแล้ว สถานฝึกหัดเปลี่ยนเป็นในห้องบรรทมซึ่งมีตู้พระอัฐิเป็นตู้ไม้ทึบบานเป็นกระจกเงา เวลา เข้าไปมืดๆ เห็นเงาตัวเองวูบวาบในกระจกนึกว่าใครเดินมาจากในตู้นั้น หัวใจจะหยุดเสียให้ได้
และที่ท้องพระโรง ซึ่งถ้าเป็นเวลาที่ว่างอยู่ เพียงแต่จะต้องเดินผ่านไปเฉย ๆ ก็ไม่สู้กระไร แต่ถ้าเป็นเวลาที่มีพระศพตั้งอยู่ด้วย พอลงบันไดหน้ามุขไปได้ 3-4 ขั้นก็ต้องนั่งลงร้องให้จนกว่าจะมีใครสงสารแอบเลี่ยงมาอาสาไปเป็นเพื่อน เสด็จปู่ท่านก็ทรงทราบ…แต่ท่านทรงเฉยเสีย ทําเหมือนไม่รู้เท่าเพราะไม่ได้ตั้งพระทัยจะเข้มงวดนัก หัดไปสอนไป โตขึ้นก็สามารถควบคุม จิตใจได้เอง”
หม่อมเจ้าหญิงดวงจิตรเองก็เคยทูลถามพระบิดาว่าเคยเห็นผีหรือไม่เช่นกัน
ท่านรับสั่งว่า “พ่อไม่เคยเห็นผี แต่เคยมีเหตุการณ์เกิดขึ้นบางครั้งที่อธิบายไม่ได้ว่า เกิดขึ้น ได้อย่างไร เช่นครั้งหนึ่ง พ่อลืมตาตื่นขึ้นกลางดึกรู้สึกหนาว มองดูหน้าต่างข้างเตียง เห็นเปิดอยู่ทั้งสองบาน แสงเดือนส่องทอดเข้ามาที่พื้นห้องสว่างเป็นลํา พ่อลุกขึ้นนั่งบนเตียง คิดจะเดินไปปิดหน้าต่าง…จึงลุกไปปิดหน้าต่างเอื้อมมือออกไปเจอะหน้าต่างปิดลงกลอนเรียบร้อยแล้วทั้งสองบาน ไม่เข้าใจเลยว่าฝันหรือละเมอ หรืออะไร ทําไมจึงเป็นไปได้เช่นนั้น อธิบายไม่ได้จนบัดนี้
อีกครั้งหนึ่งพ่อกําลังนั่งกินข้าวอยู่ข้างบน ได้ยินเสียงใครเคาะโลหะอะไรอย่างหนึ่งที่ในห้องใต้ชั้นต่ำ ดังรัวกังวานได้ยินถนัดหมดทุกคน (ห้องใต้ชั้นต่ำนี้อยู่ชั้นล่างตรงกับห้องเสวย เป็นที่ทรงเก็บศิลปวัตถุและเครื่องดนตรี มักจะปิดใส่กุญแจไว้ เปิดเป็นเวลาเช่น ลูกๆ ลงไปเล่นปิงปองกัน หรือครูมาสอนหนังสือ ในเวลามีงาน มีแขกเป็นต้น)
จึงต่างก็โจษ กันแซ่ว่าเสียงใครเคาะอะไรในห้องนั้น จะมีใครเข้าไปเคาะได้อย่างไร ในเมื่อห้องก็ปิดใส่กุญแจไว้ พ่อออกความเห็นว่าอาจจะเป็นหนูขึ้นไปไต่บนฆ้องวง เหยียบไม้ตีฆ้องซึ่งวางพาดอยู่กระดกไปถูกลูกฆ้องเข้า จึงให้เด็กลองลงไปเปิดห้องเคาะพิสูจน์ดูก็ไม่ใช่ ทั้งไม่มีเครื่องดนตรีใด ๆ เกิดเสียงเหมือนเช่นนั้นเลย ครั้นลองเคาะเครื่องโลหะอื่นๆ ดูต่อไปอีกก็ปรากฏว่าดัง เหมือนเสียงที่เคาะพระพุทธรูปทรงเครื่อง ต่างพูดเถียงกันว่าทําไมดังขึ้นเองได้
พ่อก็เอ่ยขึ้นว่า ‘ครูแรงรึ ถ้าครูแรงจะได้ไหว้ครู’ พอพูดขาดคําก็มีเสียงเคาะขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ดังรัวกังวานได้ยินชัดทุกคน
นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ว่าทําไมจึงเป็นเช่นนั้น จึงคิดไปเสียในทางดีว่าครูมาเตือนสติมิให้เป็นคนประมาทขาดความเคารพครูบาอาจารย์ พ่อก็เลยไหว้ครูตั้งแต่นั้นมาทุกปีจนบัดนี้”
หม่อมเจ้าหญิงดวงจิตร ทรงเล่าถึงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับองค์เองว่า
“เรื่องหนึ่งที่จะเล่าให้ฟัง เกิดขึ้นที่วังท่าพระในระหว่างที่มีงานศพคุณย่า… คืนวันหนึ่งเมื่อพระสวดเสร็จแล้วก็ขึ้นไปอยู่กันบนตําหนักในห้องโถงที่เคยเป็นห้องเสวยของเสด็จปู่ นั่งคุยกัน อยู่หลายต่อหลายเรื่องและในที่สุด ก็วกมาเรื่องผี ที่ใครเคยได้ยินได้พบมาอย่างไรก็เล่าสู่กันฟัง
ป้าเล่าขึ้นมาว่า ‘ที่นี่มีผีที่ชอบกระเซ้าเด็กด้วยปิดไฟ พี่ๆ เคยโดน เห็นไฟเปิดทิ้งอยู่ ก็เดินไปปิดสวิทช์ ยังไม่ทันถึงไฟก็ดับพึ่บลงเสียก่อน มีทํานองนี้บ่อยๆ’
วันหนึ่งคุยกันอยู่ ถึงเรื่องนี้ที่ตรงหน้ามุข มีคนพูดว่าไม่เชื่อว่าดับเองได้ เข้าใจว่า คงจะเป็นเพราะสวิทช์หลวมหรือมีใครแอบมาปิดเพื่อล้อเล่น หรือจิ้งจกไต่ไปโดนเข้า คนขี้กลัวก็เลยซัดว่าผีหลอก
เขาอยากจะมีโอกาสได้พิสูจน์นัก พอพูดจบไฟที่หน้ามุขช่อนั้นก็ดับให้ดูทันที เดี๋ยวปิดดวงนั้น เปิดดวงนี้กลับไปกลับมาเหมือนมีคนมาปิดเปิดสวิทช์ไฟเล่นทั้งๆ ที่มองเห็นสวิทซ์ซึ่ง อยู่ห่างจากที่นั่งกันอยู่สัก 3 เมตรเท่านั้น คนอยากพิสูจน์นั่งตัวแข็งจ้องสวิทช์ไฟตาไม่กระพริบทีเดียว แม้จนเมื่อไฟกลับเปิดเป็นปกติแล้ว ก็ไม่กล้าลุกไปตรวจสอบดูสวิทช์ไฟตามลำพังดังที่โอ้อวดไว้”
แล้วท่านผู้อ่านล่ะ เคยมีใครมาถามท่านบ้างไหมว่า “เคยเห็นผีไหม” แล้วท่านมีประสบการณ์เรื่องนี้อย่างไร
ข้อมูลจาก หม่อมเจ้าหญิง ดวงจิตร จิตรพงศ์. ป้าป้อนหลาน, สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กันยายน 2541
ขอขอบคุณ silpa-mag.com