วา(เจ้าของเรื่อง)ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเฉพาะทางแห่งหนึ่ง ในตำแหน่งช่างชำนาญการ ส่วนงานของวาจะมีเจ้าหน้าที่อยู่ทั้งหมด 4 คน มีวาเป็นผู้หญิงคนเดียว ส่วนอีก 3 คนเเป็นผู้ชาย ทั้ง 3 คน อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
เมื่อประมาณปี 51 วาลาคลอดหยุดงาน 3 เดือน พอดีพี่ทั้งสามคน มีธุระที่ต้องไปทำพร้อมกัน จึงทำให้ไม่มีคนทำงาน ส่วนวายังไม่ถึงกำหนดที่จะต้องกลับมาทำงาน เพราะยังเหลือวันลาอีกประมาณ 1 อาทิตย์ แต่พี่คนหนึ่งโทรมาบอกวาว่า “ไอ้เสือ เอ็งมาอยู่เวรแทนพี่หน่อยได้มั้ย?” วาตอบไปว่า “ได้เลยพี่…ไม่มีปัญหา” แล้ววาก็มาอยู่เวรในวันนั้น
โรงพยาบาลที่วาทำงาน จะเข้างานเวลา 8 โมงจนถึง 2 ทุ่ม ซึ่งวาต้องสแตนบายคนเดียวตั้งแต่เข้างานจนกระทั่งเลิกงาน วันนั้นวามาทำงานตั้งแต่เช้า จนช่วงเวลาประมาณ 10 โมงเช้า คนไข้เยอะมาก วากำลังทำงานในส่วนของวา อยู่ๆก็มีคนไข้คนหนึ่งเป็นภรรยาชาวต่างชาติเข้ามารับสินค้าที่แผนกซึ่งวาต้องเป็นคนส่งมอบ
พอภรรยาชาวต่างชาติเห็นหน้าวา เค้าก็ยิ้มให้ แต่วาไม่ได้ยิ้มตอบ เนื่องจากวาไม่รู้จักเค้าและรอยยิ้มของเค้าก็ดูแปลกๆ แต่วาก็ไม่ได้คิดอะไร วาพูดสคิปที่ต้องพูดกับคนไข้ทุกครั้งที่มารับสินค้าที่แผนกของเรา วาพูดๆไป คนไข้ก็เปิดดูสินค้าไปแล้วพูดโวยวายเสียงดังขึ้นมาว่า “สินค้าของเค้าซื้อมาจากเมืองนอก จากต่างประเทศ ทำไมสินค้า ถึงมีปัญหา” จนคนในแผนกต้องโทรเรียกอินชาร์จให้มาช่วยเคลียกับคนไข้
ตอนนั้นวารู้สึกตกใจมาก ไม่ได้มาทำงานนาน 3 เดือน พอกลับมาเริ่มงานแล้วมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน…
วาจึงไปหาหลักฐานว่าเจ้าหน้าที่คนไหนเป็นคนรับออเดอร์คนไข้คนนี้ แล้วสินค้ามีตำหนิมาตั้งแต่แรกหรือเปล่า อินชาร์จก็เข้ามาเชิญคนไข้ไปอยู่อีกมุมหนึ่ง เพื่อไม่ให้คนไข้คนอื่นๆ ตกใจ แต่เค้าก็ยังโวยวายไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้น พร้อมทั้งพูดเสียงดังอยู่ตลอด จนวาไปหาหลักฐานเจอว่าสามีชาวต่างชาติของเค้าเป็นผู้เซ็นรับรองไว้ก่อนแล้วว่าสินค้าของเค้ามีตำหนิมาอยู่แล้ว วาเลยนำหลักฐานมายื่นให้คนไข้และอินชาร์จตรวจสอบว่ามันมีตำหนิมาก่อนอยู่แล้วนะ…
หลังจากนั้นอินชาร์จมาแจ้งวาว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวเค้าจะเป็นคนแจ้งลูกค้าเอง เนื่องจากเค้ามีคำพูดที่สละสลวยเหมาะสมกว่าช่างอย่างวา วายืนมองดูอยู่ห่างๆ หลังจากอินชาร์จทำการแจ้งคนไข้เรียบร้อย คนไข้ก็เริ่มมีท่าทีที่อ่อนลง แต่มีจังหวะนึงที่เค้าหันกลับมามองหน้าวา มองป้ายชื่อวา พอหลังจากที่คนไข้โอเค พวกเราก็กำลังจะแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองต่อ
“เดี๋ยว!! คุณชื่อวาหรอ?” ภรรยาชาวต่างชาติพูดขึ้น
ชีวิตการทำงานบริการสิ่งที่ทุกคนจะกลัวมากที่สุดก็คือเรื่องการร้องเรียน เพราะมีผลต่อคะแนน KPI เรื่องการบริการ มีผลต่อโบนัสประจำปี มีผลต่อการขึ้นเงินเดือน วาไม่อยากมีปัญหา จึงตอบภรรยาชาวต่างชาติไปว่า “ค่ะ” แล้วภรรยาชาวต่างชาติคนนั้นก็พูดต่อขึ้นมาว่า “เธอเรียนอยู่มหาลัย XXX ใช่ไหม?” วาเริ่มงงและสงสัยว่าคนนี้เป็นใคร ไม่น่าจะใช่เรื่องร้องเรียนละ หรือว่าจะเป็นโจทย์เก่า!!!
“มีอะไรหรือเปล่า..?” วาถามออกไป
“เธอเป็นเพื่อนกับคนชื่อ กบ ที่เรียนเอกอิงค์ใช่ไหม?”
วามองหน้าภรรยาชาวต่างชาติอีกครั้ง คิดในใจ ใช่เพื่อนเราหรอ ทำไมวารู้สึกไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลย… วาไม่ตอบอะไรได้แต่ยืนเฉยๆ อยู่ๆ ภรรยาชาวต่างชาติคนนั้น ก็หัวเราะขึ้นมา แล้วพูดว่า “หนูชื่อไก่พี่ เป็นน้องสาวของกบเพื่อนพี่ไง…!!!”
วานึกขึ้นได้ว่าสมัยเรียนวามีเพื่อนอยู่คนนึงชื่อ กบ เรียนเอกอิงค์ แต่เนื่องจากคุณแม่ของกบไม่สบาย ทำให้กบต้องดร๊อปเรียนแล้วไปทำงานอยู่ที่นอร์เวย์ ตั้งแต่ช่วงยุคฟองสบู่แตก ทำให้ไม่ได้เจอกันอีกเลยเป็นเวลานานกว่า 10 ปี จนวาลืมไปแล้ว จนกระทั่งไก่น้องสาวของกบมาพูดถึงก็เลยนึกขึ้นมาได้
วาไม่รู้จักกับไก่เป็นการส่วนตัว แต่ไก่รู้จักวาว่าเป็นเพื่อนของกบ เรานั่งคุยกันอยู่สักพักไก่ก็ถามวาว่า “พี่วาเลิกงานกี่โมง เราไปแฮงค์เอ้าท์กัน หนูมีเรื่องอยากคุยกับพี่เยอะแยะเลย” ตอนนั้นวาพึ่งจะกลับมาเริ่มทำงานวันแรก ซึ่งที่ทำงานวาอยู่อโศก แต่บ้านวาอยู่คลอง4 ค่อนข้างไกลกันมาก วาจึงบอกไก่ไปว่า “ไปไม่ได้… พอดีต้องรีบกลับบ้านไปปั้มนมให้ลูก พึ่งจะคลอดน้องด้วย” ไก่มีสีหน้าที่ผิดหวัง จนวาบอกว่า “เอางี้ไหม เดี๋ยวพี่เบรคงานตอนบ่ายสอง เราไปทานข้าวกันแทนดีไหม?”
วากลับเข้าทำงานตามปกติจนเวลาบ่ายสองโมง วาเดินไปหาไก่ตรงแผนกตรวจที่อยู่ชั้น 2 เพื่อชวนไก่ออกไปทานข้าวด้วยกัน สมัยนั้นตรงข้ามตึก GMM ชั้นใต้ดินจะมีฟู้ดคอร์ท เราเดินไปทานข้าวด้วยกันที่นั่น นั่งพูดคุยกันตามปกติ
สักพักวาก็ถามถึงกบว่า “กบเป็นยังไงบ้าง? ไม่เจอมาเป็น 10ปี ” สมัยก่อนไม่มีเบอร์โทรที่จะติดต่อกันได้ง่าย ถึงมีเบอร์โทรไปก็ต้องติดต่อกันข้ามประเทศค่าโทรก็ค่อนข้างแพง จึงทำให้ไม่รู้ข่าวคราวเลยว่าเพื่อนเป็นอะไรยังไง ไก่นิ่งเงียบไปไม่ตอบ วาจึงทานข้าวต่อ อยู่ๆไก่ก็พูดขึ้นมาว่า “พี่วา พี่วาเชื่อเรื่องผีไหม?” วาคิดในใจว่าเดี๋ยวกินข้าวเสร็จต้องเดินไปทำงานละ บ่ายสองมาชวนคุยเรื่องผี มันใช่หรอ???
“พี่… อี กบ อะ มันตายแล้วนะ!!” ไก่เห็นว่าวาเงียบไปไม่พูดอะไรจึงพูดขึ้นมา
“ห๊ะ ตายเมื่อไหร่?” วาอึ้งไป
“ตายไปหลายปีแล้วพี่ หนูเนี่ยแหละ เป็นคนไปเจอศพมันเอง”
ไก่จึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้วาฟังว่า
ย้อนกลับไปตอนนั้นกบไปทำงานที่นอร์เวย์ได้ประมาณ 2 ปี คุณแม่กบก็เสีย กบเลยกลับมาจัดงานศพให้กับคุณแม่ ซึ่งตอนนั้นไก่มีแฟน แต่แฟนไก่ติดพนันบอลอย่างหนัก ไก่อยากจะเลิกเพื่อไปตั้งตัวใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่ ตอนนั้นกบเองก็มีครอบครัวแล้ว จึงพาไก่ไปอยู่ที่บ้านของแฟนซึ่งเป็นคนนอร์เวย์ด้วยกัน
หลังจากที่ไก่เข้าไปอยู่ แฟนของกบ ชื่อ เควิน เค้าไม่ค่อยชอบไก่ มักจะมีเรื่องกระทบกระทั่งกันอยู่ตลอดเวลา ไก่ก็ต้องอดทน เนื่องจากไปขออาศัยเค้าอยู่ อยู่ไปสักพักไก่ก็มีแฟน ไก่เล่าเรื่องราวของตัวเองว่าตัวเองนั้นอาศัยอยู่กับพี่สาว แต่ไม่ค่อยถูกกับแฟนของพี่สาวให้แฟนไก่ฟัง แฟนไก่เลยชวนไก่ไปอยู่ด้วยกันอีกเมืองนึง… ไก่ตอบตกลง และมาบอกกับกบว่าจะไปอยู่กับแฟนที่อีกเมืองนึงนะ กบก็โอเคไม่มีปัญหา จะได้ตัดเรื่องเควินไปด้วย…
หลังจากไก่ย้ายไปอยู่อีกเมือง ไก่กับกบก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน เพราะว่าทุกครั้งที่ไก่ติดต่อมา เควินจะเป็นคนรับสายตลอด และก็จะบอกว่า “พี่สาวเธอสบายดี มีอะไรก็ฝากฉันไปบอกก็ได้ เดี๋ยวฉันไปบอกพี่สาวเธอให้เอง” ไม่ค่อยให้กบรับโทรศัพท์ และกบก็ไม่เคยโทรกลับมาหาไก่ มันเลยยิ่งทำให้กบกับไก่เริ่มห่างเหินกันไปโดยปริยาย
จนกระทั่งวันหนึ่งไก่นอนหลับแล้วฝันว่า ตัวเองรู้สึกอึดอัดแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก พยายามฮึดฮัดตัวเองขึ้นมา เพื่อที่จะให้ตัวเองนั้นหายใจได้ พอตัวเองจะหายใจก็มีความรู้สึกว่า มันมีเศษหิน เศษดิน ออกมาจากปากจากจมูกเต็มไปหมด ไก่ตกใจพยายามที่จะหายใจ แต่มันก็หายใจเข้า หายใจออกไม่ได้เพราะเศษหินเศษดินมันอุดจมูกอุดปากอยู่ สุดท้ายไก่สะดุ้งตื่นขึ้นมา…
หลังจากที่สะดุ้งตื่น ไก่ได้แต่ตกใจอยู่กับตัวเองว่า ทำไมถึงฝันอะไรแบบนี้ สักพักนึงระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา ตอนนั้นเวลาประมาณตี1-2 ไก่เดินไปรับสายได้ยินแต่เสียงซ่าาาา…ไม่มีเสียงพูดอะไรเลย
ซึ่ง ณ ตอนนั้นไก่บอกว่าไม่รู้ว่าตัวเอง คิดไปเองหรือเปล่า แต่ไก่ได้ยินเสียงเหมือนคนพูดเบาๆว่า “กลับบ้าน…” ไก่เริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจว่ามันคืออะไร และสักพักสายก็ตัดไป ไก่รู้สึกไม่ดีและญาติเพียงคนเดียวที่มีก็คือกบ จึงตัดสินใจโทรหากบทันที โทรไปที่บ้านเท่าไหร่ก็ไม่มีคนรับสาย เลยตัดสินใจว่าเดี๋ยวเช้าค่อยโทรใหม่อีกครั้ง
เช้ามาไก่โทรหากบอีกครั้งก็ไม่มีคนรับสายเหมือนเดิม โทรอยู่แบบนั้นประมาณ 4-5 ครั้ง จนครั้งที่ 5 มีคนรับสาย คนที่รับสายก็คือ เควิน แต่เสียงเควินในวันนั้นเบาๆแผ่วๆ ไก่บอกเควินว่า “ขอคุยกับพี่สาวฉันหน่อย” เควินเงียบอยู่นานมาก และสักพักก็พูดขึ้นมาว่า “พี่สาวเธอสบายดี มีอะไรเธอฝากฉันไว้ เดี๋ยวฉันจะบอกพี่สาวเธอให้? ” และก็ตัดสายไป ไก่คิดในใจอะไรกันเนี้ย จึงโทรกลับไปอีกครั้ง แต่ไม่มีคนรับสายแล้ว ไก่เลยตัดสินใจว่าเดี๋ยววันเสาร์นี้จะให้แฟนขับรถพาไปหากบที่บ้าน
ผ่านไป 3-4 วันถึงวันเสาร์แฟนไก่กับไก่ก็ขับรถไปหากบ เมื่อไปถึงบ้านก็ยืนเรียกทั้งเควิน ทั้งกบ ก็ไม่มีใครมาเปิดประตู ทุกอย่างเงียบไปหมด จนกระทั่งมีผู้ชายคนหนึ่งจูงหมาออกมาเดินเล่น มองมาทางไก่กับแฟนไก่แล้วเดินผ่านไป สักพักเค้าก็เดินวนกลับมาแล้วถามว่า “มาทำอะไรกัน ที่บ้านหลังนี้” แฟนไก่ตอบไปว่า “มาหาเพื่อน เพื่อนเค้าอยู่ที่บ้านหลังนี้” หลังจากนั้นชายคนนั้นก็บอกว่า
“เจ้าของบ้านนี้เค้าเสียชีวิตไปแล้วนะ ผูกคอตายไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แต่ว่าฉันไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมากนักหรอก เห็นแต่ตำรวจมารับศพออกไป” ไก่จึงถามชายคนนั้นว่า “อ้าว แล้วแฟนเค้าละ” ชายคนนั้นบอกว่า ฉันก็ไม่ทราบรายละเอียด ถ้าเกิดว่าคุณอยากจะทราบรายละเอียดมากกว่านี้ พ่อของเจ้าของบ้านอยู่ห่างจากบ้านหลังนี้ไปอีกสองบล๊อค คุณลองไปถามพวกเค้าดู ซึ่งไก่รู้อยู่แล้วว่าพ่อของเควินอยู่แถวๆนี้ แต่ว่าไม่เคยไปมาหาสู่ เนื่องจากว่าเควินกับพ่อลึกๆแล้วก็ไม่ค่อยจะลงรอยกันสักเท่าไหร่
แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือกก็คงต้องไป พอไปถึงหน้าบ้านพ่อของเควิน แฟนไก่เดินเข้าไปเคาะประตูเรียก จนกระทั่งพ่อของเควินเปิดประตูออกมา แฟนไก่พูดขึ้นว่า “พอดีได้ข่าวมาว่าเควินฆ่าตัวตาย ขอแสดงความเสียใจด้วยนะ แล้ว…แฟนของเควินละ อยู่ที่ไหน เป็นอย่างไรบ้าง ” ซึ่งตอนแรก พ่อของเควินรู้สึกขอบคุณที่แฟนไก่มีน้ำใจ ปรารถนาดี เข้ามาแสดงความรู้สึกเสียอกเสียใจ แต่พอแฟนไก่พูดถึงกบว่าเป็นอย่างไงบ้าง พ่อเควินเปลี่ยนสีหน้าทันทีแล้วพูดว่า “อีนังเพศยาคนนี้นั่นแหละ เป็นเพราะมันหนีตามผู้ชายไป ลูกชายไอถึงได้ผูกคอตาย” หลังจากที่พูดจบปิดประตูใส่หน้าทันที ปึง!!!
แฟนไก่กับไก่เริ่มงงว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้น สรุปกบหนีตามผู้ชายไปจริงๆหรอ แล้วไก่ทำไมไม่ได้ข่าวอะไรเลย กบทำไมไม่ติดต่อมาเลยว่าหนีไปอยู่ที่ไหน แฟนไก่ก็เลยบอกว่า “เราคงไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรมากไปกว่านี้หรอก นอกจากว่าเราจะรอให้กบติดต่อมา” แล้วแฟนไก่ก็บอกให้กลับบ้านกันก่อน
เมืองที่กบอยู่จะมีทางเข้า-ออกสองทาง ทางหนึ่งจะเป็นทางที่คนทั่วไปนิยมใช้กัน ส่วนอีกทางจะเป็นทางที่ต้องเลาะเขาไป มันจะไกลกว่าทางปกติประมาณ 20-30 ไมล์ ไก่บอกแฟนว่าอยากกลับทางนี้เพราะเครียดเลยอยากซึมซับบรรยากาศ แฟนไก่จึงพาไก่ขับเลาะเขาไปอีกทาง ไก่นั่งรถไปสักพักด้วยความที่วิวมันสวยและอากาศก็ดี ไก่ก็เลยเผลอหลับไป มารู้สึกตัวอีกทีคือนั่งอยู่กลางป่าคนเดียว และมีคนเดินไปเดินมาอยู่รอบๆตัว เต็มไปหมด
ตอนนั้นไก่รู้สึกเจ็บที่มือมาก เล็บก็หัก งงๆกับตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น ไก่ร้องเรียกหาแฟน แฟนไก่ก็รีบวิ่งเข้ามากอดแล้วถามว่า “ยู โอเคแล้วใช่มั้ย? ยู จำเค้าได้แล้วใช่มั้ย?” ไก่ถามแฟนว่า “มันเกิดอะไรขึ้น” บริเวณนั้นตำรวจอยู่เต็มไปหมด แฟนไก่จึงพาไก่ไปที่สงบๆ แล้วเล่าให้ฟังว่า “ยู นอนอยู่ดีๆ อยู่ๆ ยูก็ยันตัวขึ้นมานั่ง แล้วบังคับให้ไอขับรถไปอีกทาง ซึ่งเป็นทางปิด และเป็นทางเข้าป่า”
ตอนนั้นแฟนไก่เริ่มกลัวไก่ และงงว่าไก่เป็นอะไรกันแน่ ทำไมอยู่ๆ ถึงดูเกรี้ยวกราดและดุดัน จึงทำอะไรไม่ถูก ก็เลยโทรแจ้งตำรวจให้มาช่วย
หลังจากแจ้งตำรวจเสร็จ แฟนไก่ก็ขับรถเข้าไปตามทางที่ไก่บอก และสักพักไก่ก็บอกให้เค้าจอดรถ หลังจากที่รถจอดไก่ก็เปิดประตูแล้ววิ่งเข้าไปในป่า แฟนไก่ก็วิ่งตามไก่ไปพร้อมกับคอยโทรรายงานตำรวจ แจ้งพิกัดตลอด พอเข้าไปถึงในป่าอยู่ๆ ไก่ก็ลงไปนั่งกับพื้น ซึ่งตรงนั้นมันเหม็นมาก เหม็นไปหมดเหมือนมีสัตว์อะไรสักอย่างตายอยู่บริเวณนั้น ไก่นั่งลงเอามือขุดคุ้ยดิน คุ้ยๆๆๆไม่หยุดจนเนื้อตัวมีแต่ดินเต็มไปหมด ไม่รู้สึกตัวอะไรเลย
พอไก่เริ่มรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร คนที่ไก่เห็นว่าเดินไปมาก็คือตำรวจที่แฟนไก่โทรแจ้งให้มา และบริเวณนั้นมันก็เหม็นคละคลุ้งทั่วไปหมด สุนัขตำรวจมาถึงก็เริ่มขุดคุ้ยต่อจากที่ไก่คุ้ยเอาไว้ จนกระทั่งเจอศพผู้หญิงคนหนึ่ง สภาพขึ้นอืดเสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่า 1 สัปดาห์แล้ว
ตำรวจนำศพกลับไปที่โรงพยาบาล สักพักตำรวจก็เรียกไก่ไปสอบสวนว่า รู้ได้อย่างไงว่าตรงนั้นมีศพอยู่ และบอกไก่ว่า ผู้หญิงที่คุณเจอศพ เป็นหญิงสาวชาวเอเชียนะ ไก่รู้สึกเอะใจ จึงขอไปดูศพ ซึ่งตอนที่ตำรวจเอาศพขึ้นมาไก่ไม่ได้เข้าไปดูเพราะรู้สึกกลัว
เมื่อไก่เข้าไปดู สภาพศพดูอืดไปหมด จนไม่รู้เลยว่าเป็นใคร แต่มีสิ่งหนึ่งที่มันทำให้ไก่เห็นแล้วรู้ได้ทันทีว่าศพนี้เป็นคนใกล้ตัวก็คือ กบ! เพราะว่ากบจะสักรูปกบเอาไว้ที่ข้อเท้า
พอไก่เห็นรอยสักเลยมั่นใจว่าศพนี้ก็คือ กบนั่นเอง ไก่จึงยืนยันกับตำรวจว่าศพที่เจอนี้ก็คือศพของพี่สาวตัวเอง และพี่สาวก็ไม่น่าจะหนีตามใครไป แต่น่าจะถูกฆ่า ตำรวจทำการสืบสวนสอบสวนอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ ก็จับกุมพ่อของเควินได้
พ่อเควินรับสารภาพว่า เควินเป็นคนฆาตกรรมกบ ทั้งสองคนทะเลาะกัน กบจะเลิกกับเควินเพราะเควินเป็นคนขี้หึง กบจะไปอยู่กับแฟนใหม่แต่เควินไม่ยอม เลยบันดาลโทสะเอามีดแทงกบ จนกบล้มลงไปนอนจมกองเลือด ซึ่งเวลานั้นพ่อเควินมาหาเควินพอดี จึงเข้ามาเห็นเหตุการณ์และคิดว่ากบเสียชีวิตแล้ว จึงร่วมมือกันกับเควินเอาศพของกบ ไปที่ป่าตรงบริเวณนั้น แล้วขุดดินฝังอำพรางศพไว้ หลังจากกลับมาถึงบ้านเควินคงรู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองทำกับกบ จึงผูกคอตายตามกบไป…
เท่ากับว่าคนที่กลุมความลับทั้งหมดไว้คือพ่อของเควิน เค้าจึงโกรธแค้นแทนลูกตัวเอง เมื่อพูดถึงกบ และที่สำคัญคือตัวของกบเองเค้าสื่อกับใครไม่ได้ จึงพยายามสื่อกับไก่ เพื่อให้รับรู้ว่าเค้าโดนฝั่งอยู่ ณ ที่ตรงนั้น จากความฝัน แต่ไก่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองฝันนั้นมันสื่อถึงอะไร จนกระทั่งมีบางสิ่งบางอย่าง นำพาให้ไก่ไปเจอที่ฝังศพของกบพอดี …
หลังจากเรื่องราวทุกอย่างคลี่คลาย ไก่นำเถ้ากระดูกของกบกลับมาลอยอังคารที่ทะเลน้อย จ.พัทลุง ซึ่งเป็นบ้านเกิดของพวกเค้านั่นเอง…นี่คือเรื่องราวทั้งหมด
ขอบคุณเรื่องจาก THE GHOST RADIO | ข่าวคราวจากเพื่อนเก่า | คุณวา
ถอดความโดย คลังหลอน
***ไม่อนุญาติให้คัดลอกบทความไปเผื่อแพร่ที่อื่น นอกจากการแชร์เท่านั้น หากนำไปดัดแปลงเป็นรูปแบบอื่น กรุณาแปะลิงค์ต้นฉบับไว้ด้วย***