“บ้านยายจันทร์” สมบัติกูใครห้ามยุ่ง!

บ้านยายจันทร์
บ้านยายจันทร์

เรื่องน่าสยดสยองต่อไปนี้ โพสต์โดย สมาชิกพันทิป ท่านหนึ่ง เล่าให้ฟัง ถึงตำนานในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งคนเก่าคนแก่ ในหมู่บ้านเล่าต่อ ๆ กันมา

ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งตอนนี้ได้พัฒนาไปตามยุคสมัยแสงไฟสว่างจ้า มีถนนกว้างขวางมีรถวิ่งเข้าออกทั้งวัน แต่สมัยก่อนนั้นหมู่บ้านแห่งนี้ ทุรกันดานไฟฟ้าไม่มี ถนนคับแคบ บ้านผู้คนมีอยู่ไม่กี่หลัง ส่วนมากก็ทำอาชีพขายปลาขายไก่ 

มีบ้านหลังนึงใหญ่โตพื้นที่กว้างขวาง บ้านนั้นตั้งเด่นสูงอยู่ต้นชอย มีผลไม้ปลูกไว้เต็มบ้านเจ้าของนั้นเป็นยายแก่ ชื่อยายจันทร์ แกอยู่คนเดียวไม่มีลูกหลานดูแล

ทุกๆ วันยายจะตื่นแต่เช้ามาลดน้ำตันไม้และสำรวจข้าวของ และผลไม้ว่าหายไปจากต้นมากแค่ไหน สิ่งที่ยายชอบทำคือ นั่งอยู่บนบ้านมองลงมาที่สวนผลไม้ ใครผ่านไปผ่านมา ต้องเห็นแกนั่งแบบนั้นจนพลบค่ำจึงเข้านอน

ช่วงเวลาที่แกเข้านอนนั้นจะมีคนปีนกำแพงขโมยผลไม้ทุกวัน ยายรู้ดีว่าพวกนั้นมาขโมยผลไม้ แต่แกก็ปล่อยให้พวกนั้นขโมยไป จนวันที่ยายจันทร์ตายก็ไม่มีลูกหลานมาทำงานศพ คนที่เข้าไปเก็บศพเล่าว่า แกนอนบนกองเลือด ข้างๆศพมีข้อความว่า

“สมบัติของกูห้ามใครแตะต้อง

ลูกหลานห้ามมอง มือไม้ห้ามจับ

แม้ตอนกูตาย เป็นผีอีเฒ่า

กูจะคอยเฝ้าสมบัติของกู

ไอ้อีตนใด เข้ามายุ้มย่าม

กูจะตามฆ่า หลอกหลอนทั้งโคตร”

ตอนมีชีวิตอยู่ยายจันทร์อยู่อย่างโดดเดี่ยวลูกหลานหายหมด จะกลับมาเยี่ยม เมื่อได้ข่าวว่าแกไม่สบาย ใกล้ตายเท่านั้น สมบัติยายจันทร์ไม่ถูกยกให้ใคร มีเพียงพินัยกรรมหรือกระดาษเก่าๆข้อความว่า “กูยายจันทร์เจ้าของทุกอย่างในที่ดินนี้ มีลูกหลานเป็น 10 กว่าคน แต่ไม่สามารถพึ่งพาใครได้ ตอนมีชีวิตอยู่ไม่เคยเข้ามาเยี่ยมเยียน เมื่อใดที่กูตายอย่าเหยียบเข้าบ้านกู สมบัติก็จะไม่มีใครได้ทั้งนั้น กูจะอยู่ดูแลเอง”

บ้านถูกปิดตายล็อคกุญแจแน่นหนา การตายของยายจันทร์สร้างความน่ากลัวแก่คนในหมู่บ้าน เพราะทุกคนในหมู่บ้านต้องเดินผ่านบ้านแก เวรกรรมตกอยู่กับพวกทำงานนอกบ้าน แล้วต้องกลับบ้านดึกๆ เวลากลับบ้านวิ่งหน้าตั้งกันทุกคน บางคนอยากลองดีเดินช้าๆ มองเข้าไปในบ้านเห็นยายจันทร์นั่งอยู่บนต้นมะม่วง ชี้หน้าด่าตวาด “มาขโมยของกูใช่ไหม ไปไกลๆบ้านกูเลยนะ” จนไม่มีใครกล้ากลับบ้านค่ำๆ 

ผ่านมาสักระยะเริ่มมีรถรับจ้างเป็นรถซาเล้งเก่าๆ 4-5 คน มาจอดรถเรียงแถวคอยรับส่งคนในหมู่บ้านและคนนอกหมู่บ้าน คนรับจ้างทุกคนเป็นคนนอกหมู่บ้านจึงไม่รู้เรื่องผียายจันทร์ คนในหมู่บ้านเวลากลับบ้านดึกๆ ก็จะจ้างรถซาเล้งเข้าไปส่งถึงหน้าบ้านตัวเอง

คนขับซาเล้งสังเกตุว่า บ้านยายจันทร์ไม่มีคนอยู่ แต่บ้านกลับไม่ทรุดโทรม แถมยังมีผลไม้เต็มไปหมด จึงวางแผนขโมยผลไม้ พอส่งลูกค้าในหมู่บ้านเสร็จ เลยแวะขโมยผลไม้ ขณะที่กำลังปืนกำแพงจะถึงยอดต้นม่วง ก็เห็นยายจันทร์นั่งยองๆบนต้นไม้ ดวงตาสีขาวโพน อ้าปากกว้าง ส่งเสียงกรีดร้อง 

คนขับซาเล้งเห็นก็ตกใจพลัดตกกำแพง วิ่งตีนแตกจนลืมรถ เสียงยายจันทร์ดังก้องอยู่ในหู ทำให้หูบอดไม่สามารถได้ยินเสียงภายนอกแต่กลับได้ยินเสียงยายจันทร์ตลอดเวลา ที่น่าแปลกใจคือรถซาเล้งที่คนขับลืมไว้ มันเข้าไปอยู่ในบ้ายยายจันทร์ ทั้งๆที่บ้านถูกปิดตายไม่มีใครเข้าไปได้ แต่รถกลับเข้าไปจอดอยู่ในบ้านยายจันทร์ได้อย่างไร

ยายจันทร์กลายป็นปริศนาที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ ผู้ที่ล็อคกุญแจบ้านให้ยายจันทร์บอกว่า “ผมเผากุญแจไปพร้อมศพยายจันทร์แล้วครับ” ซาเล้งที่ไม่กลัวยังคงรับจ้างต่อไป 

วันหนึ่งมีคนขับซาเล้งอยากไปลองดีที่บ้านผียายจันทร์ ส่งเสียงดังด่าทอ “อีแก่ อีจันไร ตายแล้วจะหวงสมบัติไปทำไม หลอกเพื่อนกูจนหูบอดแล้วยังหลอกคนในหมู่บ้านอีก วันนี้กูมาท้า! แน่จริงออกมาสู้กับกู กูจะตบให้คว่ำเลย กูจะเอาของไปขายให้หมด” ซาเล้งคนนี้ปีนรั้วบ้านยายจันทร์ขึ้นไปเก็บมะม่วงแล้วขว้างลงมาบนถนนเต็มไปหมด เก็บไปบ่นไป “ไหนล่ะผี อีแก่ ออกมาสิโว้ย” เมื่อเห็นว่าไม่มีผีจึงหันหลังกำลังจะกระโดดลงจากกำแพง ทันใดนั้นเอง เสียงคนรดน้ำต้นไม้พร้อมด้วยเสียงร้องเพลงก็ดังมาจากด้านหลัง

“วัดเอ่ยวัดโบสถ์ มีตาลตะโนดอยู่เจ็ดต้น เอย..

พ่อขุนทองก็ไปปล้น..เออ..ป่านฉะนี้ไม่เห็นมา

เมียคดข้าวใส่ห่อ..เอย..ถ่อเรือไปตามหา

เขาก็เล่าลือมา ว่าพ่อขุนทองตายแล้ว

เอ่อเออเอ๊อเออเอย เอ่อเอ้ยเอ้ยเอย..”

คนขับซาเล้งหันกลับไปดู เห็นผียายจันทร์ยืนอยู่ใต้ต้นมะม่วง ตะเกียดตะกายปืนขึ้นมาหาคนขับซาเล้ง  วินาทีนั้นคนขับซาเล้งช็อคจนตกลงมาจากกำแพง รีบขี่รถออกไป ปากก็ร้องโวยวาย “ผะๆๆผี ช่วยกูด้วยๆ” ตาเหลือบมองกระจกข้างเห็นผียายจันทร์นั่งอยู่ข้างหลัง หน้าตาเยาะเย้ย หัวเราะเสียงแหลมๆ “จะตบกูหรอ ตบกูสิ ตบกูสิ ตบกู” ชาวบ้านไม่ไหวกับสิ่งที่เกิดขึ้น จึงร้องเรียนกับทางผู้ใหญ่บ้านให้รื้อบ้านยายจันทร์ทิ้ง

ด้วยความที่ผู้ใหญ่บ้านอยากได้ที่ดินของยายจันทร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อรู้ที่ชาวบ้านเดือดร้อนจึงเข้าแผนของเขา ผู้ใหญ่บ้านจึงวางแผนทุบทิ้ง และจะซื้อต่อ แต่ไม่เป็นไปตามที่วางแผน เมื่ออยู่ๆผู้ใหญ่บ้านก็หายตัวไปเฉยๆ ชาวบ้านช่วยกันตามหาแต่ก็ไม่เจอ จึงพากันไปดูที่บ้านยายจันทร์ แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปได้ ตามหาอยู่เกือบ 3 สัปดาห์ จนกระทั่งมีคนมาพบว่าผู้ใหญ่บ้านเป็นศพถูกแขวนคออยู่หน้ารั้วบ้านยายจันทร์ สภาพศพอืดจนเต็มที่ ตาถลน ลิ้นจุกปาก แต่ก่อนหน้านี้กลับไม่มีใครเห็นศพ

ชาวบ้านเลยไม่ไปยุ่งกับบ้านยายจันทร์อีกเลย เพราะกลัวว่าจะต้องตายแบบผู้ใหญ่บ้าน เหตุการณ์นี้ทำให้ผียายจันทรโกรธเคืองส่งเสียงกรีดร้องทุกค่ำคืน เวลา 1 ทุ่มทุกบ้านปิดประตูมิดชิดกันหมด มีคนเล่าว่ายายจันทร์เดินเคาะประตูถามทุกบ้าน “ช่างฟ้องช่างยุปากว่างมากใช่ไหม กูจะตัดลิ้นพวกมึงทิ้ง”

ยายจันทร์เริ่มแก้แค้นพวกที่เอาเรื่องแกไปฟ้องผู้ใหญ่บ้าน โดยเริ่มจากตัวแกนนำ ป้าคนนี้ชื่อแดงเป็นญาติห่างๆของผู้ใหญ่บ้าน ป้าแดงได้รับข้อเสนอของผู้ใหญ่บ้านว่า ถ้ายุยงคนในหมู่บ้านให้ลงมติรื้อบ้านยายจันทร์ทิ้งได้ ป้าแดงจะได้ส่วนแบ่งจำนวนมาก จึงทำให้เกิดความโลภ เป่าหูชาวบ้านให้เชื่อคำของตน  จนชาวบ้านเชื่ออย่างง่ายดายเพราะใจก็กลัว ผียายจันทร์อยู่แล้ว..

ข่าวการตายของผู้ใหญ่บ้านเป็นที่พูดถึงในช่วงนั้น ชาวบ้านคิดไปต่างๆนาๆ ว่าผู้ใหญ่บ้านตายเพราะยายจันทร์ ป้าแดงเมื่อรู้การตายแบบปริศนาของผู้ใหญ่บ้าน ก็เกิดความกลัวจนไม่กล้าออกจากบ้าน ไม่เจอหน้าผู้คน 

ในคืนนั้นผียายจันทร์ไปหาป้าแดงเคาะประตูเรียก “อีแดง อีแดงออกมา กูจะเอามึงไปอยู่กับไอ้ผู้ใหญ่ออกมา” เนื้อตัวป้าแดงเริ่มมีกลิ่นเน่า มีแผลตามตัว แขนขาบิดเบี้ยวผิดรูป พูดคุยคนเดียว ตาเหลือกไปมา ในระยะเวลาไม่นานป้าแดงกลายเป็นคนบ้าพูดถึงแต่ยายจันทร์ จนวันนึงป้าแดงกรี๊ดเสียงดังวิ่งไปตรงที่บ้านของยายจันทร์ ร้องไห้ฟูมฟาย หันหน้าพูดกับบ้านยายจันทร์

ป้าแดง : กูขอโทษ กูขอโทษ ปล่อยกูไปเถอะ อย่าหักแขนหักขากูอีกเลยนะ กูจะทำบุญไปให้

ป้าแดง : ไม่ๆ กูเจ็บหมดแล้ว ไม่หักแล้ว จะทำอะไร จะทำอะไร ปล่อยกู

ป้าแดงดิ้นทุรนทุรายเอามือเข้าปากแล้วก็ดึงลิ้นตัวเองออกมา โอ้ยยยปล่อยถูไปเถอะ ยังพูดไม่จบแกดึงลิ้นตัวเองจนขาดนอนชักอยู่กับพื้น ชาวบ้านไม่กล้าเข้าไปช่วยเหลือ จนแกหยุดดิ้นและตายไปเอง ส่วนคนที่เหลือก็เป็นใบ้ไปเฉยๆ หรือบางคนก็เดินไปผูกคอตายที่รั้วบ้านยายจันทร์….

ผ่านมาสักระยะ สภาพบ้านเริ่มทรุดโทรมใบไม้ต้นหญ้าขึ้นรกจนมองไม่ออกว่านี่คือบ้านที่เคยสวยที่สุดในหมู่บ้าน..

เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนสภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไปด้วย ถนนในหมู่บ้านถูกสร้างเพิ่มขึ้น จากที่เคยมีแค่1ซอย ก็เพิ่มเป็น4ซอย ไฟ้ฟ้าเข้าถึงมากขึ้จนไม่น่ากลัวเหมือนแต่ก่อน จึงทำให้ชาวบ้านไม่ค่อยกลัว 

การเดินทางผ่านซอย1ยังคงถูกเลี่ยง ผียายจันทร์ยังมาให้คนเห็นเรื่อยๆแต่ไม่น่ากลัวมากเท่าแต่ก่อน อาจเป็นเพราะไม่มีใครผ่านไปใกล้บ้านแก

มีโรงเรียนเอกชนและรัฐบาลมาเปิดอยู่ระแวกหมู่บ้านทำให้มีเด็กๆพลุกพล่าน.. เด็กรุ่นใหม่บางคนไม่รู้เรื่องผียายจันทร์คิดพิเลนนัดกันหลังเลิกเรียนไปเล่นในบ้านยายจันทร์ 

เด็กชายA ต้นและเด็กชายตั้มปีนรั่วเข้าไปในห้องเก็บของเป็นห้องแรกและห้องเพราะเป็นห้องสุดท้าย ในห้องพระมีระนาดเอกเก่าๆ ตั้งอยู่ เด็ก2คนชวนขึ้นไปเหยียบเล่น บ้างก็กระโดดจนเครื่องหัก เล่นกันสนุกจนลืมเวลา จวนจะ 6 โมงเย็น จนทั้งสองอยากกลับบ้านแต่หาทางออกไม่เจอ

เด็กชายทั้งสองเริ่มร้องไห้ส่งเสียงดัง.. 

“ไอ้เด็กเ_ี้ย!!” 

ต้นและตั้มต่างมองหน้ากัน ใครพูด!!

ต้น : ลุกขึ้นยืน แขนตั้งฉากนิ้วมือจีบเข้าหากัน กระทืบเท้าแรงๆ หัวเราะเสียงแหลม

ตั้ม : ต้น!! เป็นอะไร หยุดเล่นเดี่ยวนี้

ต้น : กูรำสวยไหม เมิงดูอะไรนี่

ข้อมือเด็กชายต้นงอจนสุด ก๊อก!!! ข้อมือหักทั้ง 2 ข้าง เท้าที่กระทืบพื้นรัวๆ เล็บเปิดจนหมดทุกเล็บ

… “ทำของกูหัก กูจะเอากระดูกพวกไปใช้แทน”

สิ้นเสียงนั้น ได่มีหญิงแก่ๆคลานมาหาเด็กชายทั้งสอง ดวงตาขาวโพน ยิ้มถึงรูหู “พวกต้องชดใช้!!!”

เด็กชายตั้มสติแตกวิ่งหนีเอาตัวรอด ทิ้งเพื่อนไว้ข้างหลัง  ใจคิดถึงแต่พ่อแม่ แล้วจู่ๆเด็กชายตั้มก็หาทางออกเจอ เด็กชายตั้มรีบปีนรั่วออกมา วิ่งไปหาชาวบ้านให้มาช่วยเพื่อนตน 

คนที่เข้าไปช่วยคือลุงของเราเอง ลุงไปตามชาวบ้านมาช่วยกันแต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เห็นแต่รอยเลือดเป็นทางยาวเข้าไปในห้องเก็บของ..แต่ก็ไม่มีอะไร เห็นแต่ระนากเอกเครื่องใหญ่ๆตั้งอยู่ 

ลุงบอกระนาดสภาพดีมากไม่มีรอยหักเหมือนที่เด็กชายเล่า หากันถึง 3 ทุ่มจึงเลิกหา ผียายจันทร์คงบังตาไว้ 

วันรุ่งขึ้นพ่อแม่เด็กมาช่วยตามหา แต่ก็หาไม่ผ่าน จนพ่อเด็กเริ่มโมโหตะโกนออกไปว่า “เมิงปล่อยลูกกู อีจันไรเป็นผีไม่อยู่ส่วนผี ทำร้ายกระทั่งเด็ก ถ้าไม่ปล่อยกูจะเผาบ้านเมิง”

พ่อเด็กวิ่งไปหาลูกในห้องเก็บของอีกครั้ง เจอลูกนอนตัวบิดเหมือนน็อต ตัวอ่อนไม่มีกระดูก คอหักแขนขาเลือดออก ปากอ้าตาเหลือกค้าง เลือดออกปากออกหู

“กูปล่อยลูกแล้ว กูสั่งสอนให้ ลูกเมิงจะได้ไม่ทำลายข้าวของของคนอื่น แต่มันต้องชดใช้ที่ทำของกูพัง ออกไป” เสียงดังก้องอยู่ในหูพ่อเด็ก พ่อเด็กรีบเอาศพลูกออกไป พอชาวบ้านเห็นศพเด็กแล้ว ต่างบอกเป็นเสียงเดรยวกันว่ามันน่ากลัวจนมองไม่ได้..จนบ้านยายจันทร์มีป้ายติดหน้าบ้าน “บ้านนี้ผีดุ อย่าเข้าใกล้”

ตอนนั้นพี่สาวเราอยู่ป.4 เล่าให้ฟังว่า…จนวันหนึ่ง..นายรุ่ง ลูกชายยายจันทร์ ผู้ที่เคยร่ำรวยมาก่อนดวงตกทำมาค้าขายไม่ขึ้น หมดตัวไม่เหลือแม้แต่บ้านซุกหัวนอน กลับมาบ้านแม่ตนเอง นายรุ่งไม่คิดจะมาอยู่ แต่จะเอาที่ดินยายจันทร์ไปขาย 

นายรุ่งมาพร้อมกับขวานอันใหญ่ พอถึงหน้าบ้าน นายรุ่งฟันเข้าไปที่กุญแจล็อคบ้านยายจันทร์ เหตุการณ์นี้ชาวบ้านนำไปถูกพูดสนุกปาก เพราะยายจันทร์เคยบอกไว้แล้ว “ห้ามยุ่งสมบัติแก แม้แต่ลูกหลานก็ห้ามยุ่ง”

นายรุ่งหาโฉนดทั้งวัน ตลอดเวลาระหว่างที่นายรุ่งหาฉโนดที่ดินเขาได้กลิ่นน้ำหอมยายจันทร์ลอยมาไกลๆ ใจก็กลัวแต่อยากได้โฉนด หาจนเริ่มมืด ข้าวยังไม่ตกถึงท้อง จึงตัดใจออกไปกินข้าวก่อน พอกินเสร็จก็รีบกลับมาหาต่อ แต่ระหว่างที่เดินเข้าบ้าน อยู่ ๆ ก็มีเสียงเรียก

… “รุ่ง”…

นายรุ่งหันหน้าตามเสียง

“กูบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าเข้ามาเหยียบ”

“แม่ ผมไม่มีที่ไปแล้วให้ผมเถอะ แม่ตายไปแล้ว”

นะ

“กูไม่มีทางให้คนแบบพวกเมิง คนเนรคุณแบบเมิงต้องเจอแบบกู กูทำให้เกิดได้กูก็ทำให้ตายได้!!!”

ตอนเช้ามีคนเจอนายรุ่งนั่งดึงผมตัวเอง ตาปูดเขียว เนื้อตัวมีรอยถลอก ปากพูดประโยคที่คุยกับยายจันทร์ซ้ำๆ จนทุกวันนี้แกก็ยังอยู่ยังนั่งพูดประโยคนั้นอยู่…

บ้านยายจันทร์กลายเป็นตำนานของหมู่บ้านยวน ขึ้นชื่อว่า บ้านผียายจันทร์ ปัจจุบันบ้านยายจันทร์ยังอยู่ไม่มีใครเข้าไปยุ่ง แม้แต่เดินผ่านยังไม่มีใครเดิน ชาวบ้านคิดว่าแกยังไม่ไปเกิดเพราะทุกวันนี้ยังได้ยินเสียงรดน้ำต้นไม้ เสียงกวาดใบไม้ เสียงร้องเพลง เสียงโหยหวนตามสายลม แต่ลูกๆยายจันทร์กลับโดนเวณกรรมที่ทำไว้กับแม่ คือลูกๆของพวกเขาเองก็ไม่ดูและพวกเขาเหมือนที่ไม่ดูแลยายจันทร์ และไม่มีใครกล้าไปยุ่งกับบ้านนั้นอีกเลย

ขอบคุณที่มา | สมาชิกพันทิปหมายเลข 36482851 เรียบเรียงโดย คลังหลอน

Previous articleยุติการเผยแพร่
Next articleแก้ทางคุณไสย