เรื่องที่จะเล่าเป็นเรื่องจริงจากพี่สาวของเรา ไม่มีการเสริมปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้น
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2553 ผู้เขียนกับพี่สาวและคุณแม่เราไปเที่ยวที่ประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เคยมาที่นี่ เมืองหลวงพนมเปญทันสมัย มีตึกรามบ้านช่อง ร้านอาหารเยอะแยะ ผู้คนมากมาย คนที่นี่น่ารักดีค่ะ คล้ายกับเมืองไทยยังไงอย่างงั้น อาหารที่นี่ก็คล้ายๆบ้านเรา แต่ใครจะรู้ว่าเมืองหลวงที่นี่เคยเกิดโศกนาฏกรรมฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุคนเขมรด้วยกันเองมาแล้ว รู้สึกสะเทือนใจจัง
มาถึงพนมเปญก็เป็นเวลาประมาณ1ทุ่ม ก็เข้าพักโรงแรมในเมืองพนมเปญทันที โรงแรมที่นี่สวยทันสมัยดีค่ะ เรานอนกันสามคน เรากับคุณแม่นอนหลับสบาย แต่มีพี่สาวคนเดียวที่นอนไม่หลับ เพราะรู้สึกเหมือนมีคนคอยจ้องมองตลอดเวลา พี่สาวเป็นคนค่อนข้างมีสัมผัสพิเศษ เป็นคนฝันแม่นมากๆจนน่ากลัว ซึ่งมันมีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแต่จะขอข้ามไปนะคะ เพื่อไม่ให้ผู้อ่านเบื่อไปซะก่อน
พอตื่นเช้าพี่สาวเล่าว่าเมื่อคืนนอนไม่หลับ เพราะรู้สึกได้ว่าเหมือนมีคนคอยจ้องดูอยู่ตลอดแถว ๆ บริเวณตรงตู้เสื้อผ้า แต่ผู้เรากับคุณแม่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะคิดว่าพี่สาวอาจจะแปลกที่ก็เลยคิดมากไปเอง เรื่องนี้ก็ลืม ๆ กันไป มาเที่ยวได้ 4 วันก็ถึงวันกลับ
มาถึงเมืองไทยราว ๆ 3ทุ่ม พอถึงบ้านก็ต่างแยกย้ายบ้านใครบ้านมันเพราะเพลียกับการเดินทางแต่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันค่ะ แล้วมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นช่วงราว ๆ ตีสามกว่า ๆ พี่สาวเราโทรมาเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและตกใจกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อชั่วครู่นี้เอง
พี่สาวเล่าว่า พอมาถึงบ้านก็หลับเลยเพราะเพลียกับการเดินทาง จนมาถึงช่วงประมาณตีสองพี่สาวรู้สึกแสบตาเหมือนว่าไฟในห้องเปิดอยู่แต่เข้าใจใช่มั้ยคะว่าเวลาที่คนเราง่วงมาก ๆ ตามันไม่อยากจะลืมขึ้นมาดูอะไรทั้งนั้น แต่ด้วยความที่ในใจตอนนั้นก็อยากรู้ว่าใครมาเปิดไฟ!! เหมือนกับต้องต่อสู้กับความง่วงของตัวเอง ก็พยายามฝืนลืมตาเพื่อจะดูว่าไฟเปิดได้อย่างไร
เมื่อลืมตาขึ้นมา ในห้องกลับมีแต่ความมืด!! มีเพียงแสงไฟข้างนอกบ้านเล็ดลอดเข้ามาให้พอมองเห็นภายในห้อง ซึ่งเป็นปกติทุกวันอยู่แล้ว แต่กรณีไฟในห้องนอนจะเป็นสีขาวสว่างจ้า เราจะรู้ได้ทันทีว่าไฟเปิดอยู่แม้หลับตา แต่ความสว่างจ้าของแสงไฟเราจะรู้สึกร้อนและแสบตา พี่สาวรู้สึกแปลกใจและมั่นใจว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ด้วยความง่วงก็เลยหลับต่อ
หลับไปได้ประมาณ10 นาที ก็ได้ยินคล้ายมีเสียงฝีเท้าคนเดินมาจากทางประตูห้องนอนเข้ามาภายในห้อง เสียงเดินชัดเจน ทีแรกคิดว่าอาจจะเป็นสามีพึ่งกลับมาถึงบ้าน เพราะปกติสามีพี่สาวจะกลับบ้านไม่เป็นเวลาอยู่แล้ว พอได้ยินดังนั้น ก็พยายามลืมตา แต่ก็ครึ่งหลับครึ่งตื่น พี่สาวเห็นผู้ชายลักษณะรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง ทรงผมคล้ายทหาร แต่เห็นหน้าไม่ค่อยชัด มายืนอยู่ตรงปลายเตียงสักพัก
แล้วก็โดดขึ้นคร่อมพี่สาวซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เร็วมาก อยู่ ๆ ทั้งแขนขากลับไม่มีแรง แม้กระทั่งจะอ้าปากก็ยังทำไม่ได้ เหมือนมีอำนาจสะกดให้นอนนิ่ง ๆ ระหว่างคร่อมอยู่วิญญาณตนนี้ตบที่หัวของพี่สาวอย่างแรง ตบไปตบมาเป็นสิบๆที และตบแรงขึ้นเรื่อยๆๆ จนพี่สาวไม่ไหวแล้ว เหมือนจะเอาให้ตาย พอสักพักแขนขาพี่สาวกลับมามีแรงพี่สาวไม่รอช้าผลักวิญญาณตนนั้นแบบสุดแรงเกิด (ผลักไปมีแต่ความว่างเปล่า)
พี่สาวทั้งกลัวทั้งตกใจทั้งโมโหและสับสนว่ามันคืออะไร จะว่าฝันก็ไม่ใช่เพราะรู้สึกเจ็บที่ศีรษะจริงๆ แต่ก็ยังไม่ลุกไปไหนพี่สาวก็ยังอยู่บนที่นอน สักพักก็เผลอหลับไป ยังไม่ถึง20นาที วิญญาณตนนี้มันกลับมาอีกและร้ายกว่าเดิม มันขึ้นคร่อมพี่สาวได้มันจับเหวี่ยงหัวอยู่นานมากและตัวพี่สาวลอยขึ้นอยู่เหนือเตียง ท่าสะพานโค้ง (ถ้าใครเคยดูหนังผีฝรั่งที่วิญญาณเข้าสิงที่สร้างจากเรื่องจริงเป็นแบบนั้นเลยค่ะ) พี่สาวรู้ตัวว่าไม่ไหวแล้วทรมานมากเหมือนคนกำลังใกล้ตายและไม่รู้ว่าวิญญาณตนนี้โกรธแค้นอะไรนักหนา ถึงมาทำแบบนี้
พี่สาวเพียงได้คิดในใจเพราะเหมือนโดนสะกดให้ไม่มีเสียง แค่คิดเท่านั้น แล้วพี่สาวก็ได้ยินเสียงวิญญาณตนนี้พูดภาษาเขมรแต่ฟังไม่รู้เรื่อง แต่รู้ว่าเป็นภาษาที่คนเขมรพูดกัน วิญญาณตนนี้น่าจะพูดทางจิตเพราะปากไม่ได้ขยับ แต่น้ำเสียงน่ากลัวเหมือนโกรธแค้นกันมา ในใจพี่สาวตอนนั้นใกล้จะไม่ไหวแล้วก็นึกถึงพระพุทธรูปและพยายามท่องคาถาเท่าที่จำได้แต่วิญญาณตนนี้ไม่รู้สึกกลัวแม้ตัวน้อย กลับเหวี่ยงหัวแรงขึ้นไปอีกและลอยตัวขึ้นและปล่อยให้ล่วงลงที่นอนทำอยู่อย่างนี้สลับไปมาอยู่ 20 นาทีได้ ซึ่งถือว่านานมากๆ
จากที่พี่สาวกลัวมากกลับกลายเป็นโมโหก็เลยทั้งด่าทั้งแช่งไม่ให้ผุดให้เกิด แค่นึกในใจเท่านั้นวิญญาณก็อันตรธานหายไป ซึ่งในเวลานั้นพี่สาวหลุดจากวิญญาณมาได้ก็รีบเปิดไฟและรวบรวมสติว่ามันคืออะไร รู้สึกเจ็บเนื้อเจ็บตัวเจ็บศรีษะซึ่งมันเหลือเชื่อจริงๆ และก็รีบวิ่งลงไปหาแม่สามีที่นอนอยู่ชั้นล่าง บอกว่ามีวิญญาณเข้ามาทำร้าย แม่สามีเลยเอาพระมาคล้องคอให้ สรุปคืนนั้นแทบจะไม่ได้นอน พี่สาวก็รีบโทรมาหาเราเดี๋ยวนั้น แล้วเล่าเรื่องสยดสยองน่ากลัวที่ได้เจอมาสดๆร้อน พอเช้าก็รีบใส่บาตรทำบุญอุทิศไปให้กับวิญญาณเขมร
หลังจากนั้นสองวันพี่สาวฝันว่าเห็นตัวเองอยู่ในยุคเขมรแดง แต่งตัวเหมือนหมอและมีกระเป๋าใบใหญ่สะพายข้าง กำลังเดินไปพร้อมๆกับชาวเขมรหลายร้อยคน และเห็นคนตายมากมายที่โดนระเบิด เห็นรถไฟ เห็นทหารเขมรแดง เห็นคนใกล้ตายกำลังขอความช่วยเหลือให้รักษา อยู่ ๆ มือของพี่สาวก็โดนไฟลวกมือทั้งสองข้าง พอตื่นเช้าก็นึกถึงความฝันของตัวเอง และก็มานั่งดูมือตัวเองว่ามิน่าล่ะว่าทำไมชาตินี้พี่สาวถึงมือเหี่ยวเหมือนคนอายุ 80 เป็นมาตั้งแต่เกิดเลยค่ะ แต่พี่สาวเป็นคนสวยมากนะคะอายุตอนนี้ 40 แต่มือเหี่ยวมาก
พี่สาวเกิด 15 เมษายน 2518 และช่วงยุคเขมรแดงก็เกิดสงครามช่วงต้นปี 2518 พอดีเลยค่ะ ก็แปลกดีนะคะ มันช่างบังเอิญซะเหลือเกิน มีคนตายจำนวนมากเท่าที่ทราบน่าจะเกิน 2 ล้านขึ้นไป เพียงคนไม่กี่คนที่มีความคิดสุดโต่งฆ่าทำลายล้างพี่น้องชาวเขมรด้วยกันเองฆ่าพวกหมอ นักวิชาการ ครู พระ ผู้ที่มีความรู้และรัฐมนตรีที่เป็นฝ่ายตรงข้ามเค้าถือว่าคนพวกนี้รู้มากเกินไปเอาไว้ไม่ได้ เป็นศัตรูเป็นปฏิปักษ์สำหรับเค้าเพราะฉะนั้นต้องกำจัดให้หมด
คนกลุ่มนี้จะโดนคุมขังที่คุกก่อนโดนฆ่าจะใช้วิธีทรมานต่างๆนานา น่าสงสารมากค่ะเพราะโหดร้ายสุดจะพรรณนาไม่คิดไม่ฝันว่าจะฆ่าคนบริสุทธิ์เป็นล้านๆได้มากขนาดนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าคนเราตายแล้วก็ต้องเกิดมาชดใช้กรรมกันอีก ไม่รู้จักจบจักสิ้นเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ เชื่อเรื่องของภพชาติที่แล้วและชาติหน้ามีจริงๆ
ดังนั้นตอนนี้เรายังมีชีวิตอยู่ก็ควรรีบสร้างบุญสร้างกุศล ทำความดีให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เบียดเบียนกัน อย่ามัวแต่ผลัดวันประกันพรุ่งอยู่เลย เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าวันนี้หรือพรุ่งนี้เราจะยังมีชีวิตอยู่มั้ย รีบสร้างคุณงามความดีกันเถอะค่ะก่อนที่พรุ่งนี้จะไม่มีให้เราสร้าง