ลองของที่บ้านตา

ลองของที่บ้านตา
ลองของที่บ้านตา

สวัสดีครับวันนี้ผมมีเรื่องสยองๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวผมและเพื่อนๆ จะมาเล่าให้ฟัง เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากความคึกคะนองกับการท้าทาย ” วิญญาณของคนตาย ” เพราะงั้นผมก็เลยอยากจะเตือน คนที่คึกคะนองและคิดอยากจะลองดีว่า อย่าเลยครับ ถ้าไม่อยากเป็นบ้า ขอให้เรื่องนี้ได้เป็นอุทาหรณ์สำหรับใครหลายๆคนนะครับ เพราะผมไม่อยากจะให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับพวกคุณเหมือนเพื่อนของผม

เรื่องราวต่อไปนี้ผมขออุทิศให้กับ เพื่อนของผมที่(ผู้เสียชีวิต)เดินทางไปกับผมในวันนั้นด้วย อโหสิให้ผมด้วยนะ ผมขอเอาเรื่องของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วมาเล่าต่อ หากว่าเค้าไม่พอใจก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ผมไม่ได้จะลบหลู่ แค่อยากจะเล่าไว้เป็นอุทาหรณ์

เริ่มเรื่องเลยก็แล้วกันครับ เรื่องนี้เกิดขึ้นประมานวันที่ 10 ตุลา 6-7 ปี ก่อนครับ ผมกับเพื่อนๆประมาน 4-5 คน เกิดอาการเบื่อๆ เพราะช่วงปิดเทอม ก็เลยนัดกันว่าจะหมดปิดเทอมแล้วจะไปเที่ยวไหนกันดี อยากไปค้างคืนแต่ก็ไม่ค่อยจะมีตังกัน ผมก็เลยเสนอว่า ให้ไปบ้านคุณตาของผมไหม

บ้านตาผมอยู่จังหวัด สกลนคร ถ้าไปก็พักฟรี อาหารฟรี ไปสูดบรรยากาศ เพราะบ้านตาผมค่อยข้างชนบท ไกลจากตัวเมือง พอผมเสนอไปแบบนั้น พวกเพื่อนๆผมก็ตกลงปรงใจกันว่าจะไปครับ 

ผมก็ดีใจว่า ไม่ได้กลับไปเยี่ยมคุณตาซะนาน คราวนี้มีโอกาศ แถมได้พาเพื่อนๆไปด้วย คุณตาคงไม่เหงา และคิดว่าเหตุผลที่พวกมันอยากจะไปกันก็คือ ที่พักฟรี และอาหารฟรี แต่ทว่า เพื่อนผมมันไม่ได้ไปเพราะเหตุนั้นแต่ที่ไปเพราะมีเหตุผลหลักอีกข้อนึง ซึ่งถ้าผมรู้ผมคงจะไม่ชวนมันไปแน่ๆ นั่นก็คือ ไปลองของ ตามต่างจังหวัด

หลังจากที่ตกลงกันได้แล้ว ผมและเพื่อนๆ ก็เตรียมจัดข้าวของ กะว่าจะไปค้างกันซักอาทิตย์แล้วค่อยกลับ ไหนๆก็พักฟรีกินฟรีแล้ว จากนั้นผมก็โทรศัพท์ไปหาคุณตา บอกว่าจะพาเพื่อนไปพักนะ คุณตาเค้าก็บอกว่าให้พามาได้เลย 

คุณตาของผมเค้าอายุประมาน 70 นิดๆแล้วครับ แก่มากล่ะ เออทีนี้ ตอนแรกผมก็กะว่าจะนั่งรถไฟไปกัน เพราะคิดว่ามันสนุกดี แต่ดันไม่มีรถไฟ ก็เลยต้องนั่งรถทัวร์ไปกัน

นั่งไปวันเต็มๆครับ ออกกันตั้งแต่เช้ากว่าจะไปถึงสกลก็เกือบๆจะเย็นล่ะ หลังจากนั้นก็ต่อรถโดยสารไปอำเภอ บ้านม่วง อยู่ไกลจากตัวเมืองมาก แล้วพวกผมก็โชคดีที่ว่า รถที่จะไปบ้านม่วง มันเป็นรอบสุดท้ายพอดี หลังจากนี้ถ้าพลาดก็ต้องรอเช้า 

พวกผมก็นั่งรถกันไป มันเป็นรถ 2 แถวแบบบ้านเรานี่แหละ พวกผมก็คุยเล่นเฮฮากันไป ด้วยความสนุกเพลิดเพลินจนทำให้ไม่ได้สังเกตุเลยว่า ยิ่งห่างจากตัวเมืองเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเป็นป่าและท้องนามากขึ้นเท่านั้น  ตอนนี้พวกเราก็ใกล้จะไปถึงบ้านตาผมล่ะ เวลาตอนนั้นก็พลบค่ำพอดี คงจะประมาน 6 โมงครึ่งได้มั่ง รถเค้าก็เริ่มเปิดไฟล่ะ เสียงพวกจิ้งหรีดข้างทางก็ร้องกัน ได้บรรยากาศชนบทจริงๆ

พอรถขับๆไป ผมก็สั่งเกตุเห็นเป็นยายแก่ๆคนนึง เดินเข็นรถเข็นอยู่ข้างทาง ผมจำได้ว่ายายใส่หมวกที่พวกชาวนาเค้าชอบใส่กันอ่ะ ไม่รู้เรียกว่าไร แล้วแกใส่เสื้อสีชมพูอ่อนๆ เป็นเสื้อคอกระเช้า แล้วรถที่แกเข็นนี่น่าจะเป็นถังน้ำหรืออะไรซักอย่างนี่แหละ ผมก็มองแกไป ในใจก็คิดว่า ใครปล่อยให้ยายมาเดินเข็นน้ำคนเดียวแบบนี้ ข้างทางก็มีแต่ป่าเกิดเป็นลมขึ้นมาจะทำไง ผมมองยายแล้วก็คิดในใจไปด้วย 

จนกระทั่งรถขับเลยไปจนยายหลุดจากระยะสายตาผมไป ทีนี้ผมก็หันหลับมามองหน้าเพื่อนที่นั่งตรงกันข้าม ตอนนั้นเพื่อนผมมันไม่ได้มองมาที่หน้าผม แต่มองออกไปที่นอกรถตรงข้างหลังผม แล้วมันก็พูดออกมาประโยคนึงว่า ” ใครวะ ปล่อยให้ยายเดินเข็นน้ำคนเดียว น่าสงสารชิบ ” จบคำๆนี้ผมถึงกับสะดุ้งและขนลุกมาก ผมรีบหันหลังไปมอง

ด้วยความช๊อคนิดๆ แล้วผมก็เห็นครับ เห็นยายคนเดิมเลย ใส่หมวกแบบเดิม เสื้อชุดเดิม รถเข็นอันเดิม เดินเข็นน้ำอยู่ที่ข้างหลังผม ตอนนั้นผมเริ่มใจเสียล่ะ

ผมก็ตะลึงกับภาพยายคนนั้นไง มันก็แน่ล่ะเป็นใครเจองั้นแล้วไม่ตะลึงมั้ง แต่ของผมมันไม่ได้ตะลึงอย่างเดียวไง ผมดันหลุดปากออกมาว่า เห้ย!! สาบานเลยว่า คำๆนั้นผมหลุดออกมาเพราะผมตกใจมาก แต่ทว่า มันกลับเป็นคำที่ดังมากพอที่จะทำให้ยายคนนั้น เงยหน้าขึ้นมามองที่หน้าผม วินาทีนั้น ผมขนลุกไปทั้งตัว ในใจก็คิดซ้ำๆว่า เห้ยๆๆๆๆ ผมไม่ได้ตั้งใจจะเรียก 

เพื่อนผมมันก็เห็นผมนั่งหน้าซีดมั้ง มันก็เลยสกิดผม ผมสะดุ้งทันทีที่มันสกิด แล้วมันก็ถามผมว่า ” เห้ย มึงเป็นไรเนี้ย ” ผมที่ตอนนั้นมีอาการช๊อคนิดๆสติไม่ค่อยอยู่กับตัวแล้ว ผมเลยบอกมันไปว่า “ยายคนเมื่อกี้อ่ะ กรูเห็นเค้าเดินอยู่อีกฟากนึง แต่มันประมาน 500 เมตรก่อนหน้านี้” พอผมพูดจบเท่านั้นแหละ เพื่อนผม 4-5 คนมันก็ขำกันออกมา

ท่ามกลางความงุนงง ผมก็ถามพวกมันไปว่า “ขำไรกันวะ กูพูดจริงๆนะเว้ย” ผมพยายามพูดให้พวกมันเชื่อ แต่พวกมันก็หาว่าผมหลอกผีบ้าง มุกอ่อนบ้าง ตอนนั้นผมคิดแค่อย่างเดียวในใจว่า เออมึงไม่โดนมั่งก็แล้วไป ถึงผมจะคิดไปแบบนั้น แต่ผมสาบานได้เลยว่า ผมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลยจริงๆ 

พอไม่นานนัก พวกผมก็ลงกันครับ บ้านของคุณตาผมไม่ได้ติดถนนใหญ่ มันต้องเดินเข้าซอยไปครับซึ่งคุณตาของผมเขาถือตะเกียงเดินออกมารอที่หน้าถนน

ก็แปลกดีนะ ตาผมเค้าไม่ใช้ไฟฉายครับ เค้าใช้ตะเกียง พอลงรถมาเสร็จผมก็บอกให้เพื่อนๆไหว้คุณตาผม จากนั้นผมก็แนะนำให้ท่านรู้จักเพื่อนๆผม

คุณตาของผมท่านอยู่คนเดียวครับ แกจ้างคนทำนา แกมีที่นาเยอะมาก ปลุกผักกินเองข้าวก็นาตัวเอง เลี้ยงไก่ไว้กินไข่ เรียกได้ว่าเป็นคนที่ใช้หลักเศรฐษกิจพอเพียงตัวอย่างได้เลย 

คุณตาก็พาพวกผมเดินไปบ้านเค้าครับ ด้วยความที่ผมยังคาใจเรื่องเมื่อกี้ ผมก็เลยเดินไปกะว่าจะพูดกับคุณตาถึงเรื่องยายเข็นน้ำที่เจอเมื่อตะกี้ พอผมเดินไปข้างๆคุณตาและกำลังจะอ้าปากพูดนั้น คุณตาก็พูดสวนผมมาทันทีว่า ” เจออะไรมาล่ะสิ ไม่ต้องพูดนะ ไว้ไปคุยที่บ้าน “

พอได้ยินแบบนี้ผมก็ เอาแล้วไง ชัดเลย ใช่แน่ๆ แต่จริงๆแล้วไอ้เรื่องนี้ผมก็คิดอยู่แล้วล่ะว่ามันใช่ เพราะยายที่ไหนจะเดินเข็นน้ำแล้วกดไนตรัส มาแซงรถผมได้โดยที่ผมไม่เห็น แต่ที่ผมคาใจจริงๆไม่ใช่เรื่องนั้น แต่เป็นเรื่องที่ผมหลุดปากไปว่า เห้ย แล้วโดยยายแกหันมามองหน้านี่แหละ

หลังจากที่เดินกันมาประมาน 15 นาทีเห็นจะได้ พวกผมก็ถึงบ้านคุณตาครับ บ้านคุณตาเป็นบ้านไม้เก่าๆ ชั้นเดียวแต่ยกใต้ถุนสูงๆ สไตย์คนโบราณ พวกผมก็ล้างเท้าที่โอ่งหน้าบันไดแล้วก็หิ้วของกันขึ้นไปกัน พอไปถึงก็จัดของกัน เสร็จแล้วก็มานั่งกินข้าวกัน กับข้าวบ้านตาผมก็นี่เลย ข้าว น้ำพริก ผักต้ม โชคดีว่าตาผมเค้ากลัวพวกผมจะกินกันไม่ได้ ก็เลยต้มไข่ไว้ด้วย มื้อนั้นก็เลยกินข้าวไข่ต้มกันไป อยากกินของฟรีไงเงิบไปเลยพวกมึง 

ระหว่างที่นั่งกินกันอยู่นั้นผมก็เลยได้โอกาศถามเรื่องยายที่เจอข้างถนนกับคุณตา ผมถามไปว่า ตาๆ ยายคนที่เดินเข็นน้ำเสื้อสีชมพูอ่อนๆนั่นเป็นใคร พอผมพูดจบเท่านั้นแหละ พวกเพื่อนผมก็ขำกันใหญ่เลย พวกบอกว่าผมจะแต่งเรื่องผีมาหลอกมัน 

คุณตาผมก็เงียบไปแปปนึงแล้วบอกว่า เค้าชื่อยายสุก ถูกรถชนตายที่ถนนใหญ่เมื่อประมาณ 3-4 เดือนก่อน พอตาผมพูดจบเท่านั้นแหละ พวกเพื่อนผมก็เงียบกันหมด แล้วตาผมก็เล่าต่อบอกว่า ยายแกอายุมากแล้ว แต่แกอยู่บ้านกับหลานแกตัวเล็กๆ อายุประมานซัก 2 ขวบ ประมาณว่าลูกแกเอาหลานมาทิ้งไห้แกเลี้ยง แล้วทีนี้หลานแกไม่สบายไง ตัวร้อนต้องเอาผ้าชุบน้ำซับทั้งคืน แล้วทีนี้น้ำในตุ่มแกหมด แล้วแกไม่อยากจะขอเพื่อนบ้านเพราะเกรงใจ แกเลยไปเข็นน้ำมา 

แต่ระหว่างทางที่แกเข็นมานั้น มันมีรถโดนสารขับมาอย่างเร็วเลย แล้วไปเฉี่ยวแกเข้า ถึงจะแค่เฉี่ยวๆ แต่ด้วยความเร็วรถ บวกกับแกอายุมากแล้วแกก็เลยไม่รอด เห็นคนเค้าบอกว่าตอนที่ไปเจอแก แกคลานจากจุดที่โดนเฉียวมาประมาน 4-5เมตร แล้วพูดกับคนที่ไปเจอแกเป็นคำสุดท้ายก่อนจะสิ้นใจว่า หลานตัวร้อน จะรีบไป จากนั้นมาพอพลบค่ำหรือกลางคืนก็จะไม่มีใครกล้าออกไปแถวๆถนนใหญ่ เพราะว่าจะได้เห็นแกเดินเข็นน้ำมาตามข้างทาง 

มีครั้งนึงคนที่ขับรถโดยสารเล่าให้ตาผมฟังว่า ประมาน ทุ่มเศษๆ เค้าขับรถมาประมาน 100 นิดๆ แล้วทีนี้เค้าเหลือบไปมองที่กระจกด้านข้าง เห็นยายคนเนี้ย เข็นรถตามเค้ามา เค้าก็ตกใจมากเลยเหยียบไปจนมิด ยายแกก็ตามมาจนใกล้ประตูรถเลย แล้วก็พูดว่า “เอาชีวิตกูคืนมา”

พอตาผมพูดจบ พวกผมก็นั่งกันนิ่งเลย ตาผมก็บอกว่า วันนี้มากันเหนื่อยๆก็ไปพักผ่อนก่อนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้  ตาผมจะพาไปตกปลา แล้วตาผมก็เข้าห้องนอนไป พวกผมไม่มีห้องเพราะตาอยู่แค่คนเดียว เค้าเลยปูเสื้อกางมุ้งให้พวกผมนอนกันกลางบ้าน 

พวกผมก็ตามสไตย์ มาเที่ยวมันจะไปนอนกลางคืนได้ไงใช่ป่ะ แถมตอนนั้นก็เพิ่งประมาณ 2 ทุ่มกว่าเองๆ เด็กกรุงเทพเค้านอนกันเที่ยงคืน ผมก็คิดว่า จะเล่นไรกันดีผมเอาไพ่เอาเกมเศรษฐีมา แต่ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เพื่อนผมมันต้องการ พวกมันหยิบไฟฉายกันขึ้นมาคนละกระบอกแล้วค่อยๆย่องออกนอกมุ่งไป  ด้วยความที่ผมตกใจเลยถามพวกมันว่า เห้ย พวกมึงจะไปไหนกันวะ ทันใดนั้นเพื่อนผมมันก็หันมายิ้มและพูดในสิ่งที่เป็นจุดเรื่มต้นของความซวยในทัวร์ครั้งนั้นก็คือ ” ไปดูผี “

พอได้ยินแบบนั้นผมก็ตะลึงเลยซิครับ ผมเลยบอกไปว่า พวกมึงเล่นอะไรกันไม่รู้เรื่องล่ะ เพื่อนผมไอ้คนที่นิสัยเฮีย ๆ หน่อยมันก็พูดขึ้นมาเลยว่า ผีเฮียไร!! มีจริงที่ไหนอยากเห็นว่ะ ถ้าเจอจะเตะให้กลิ้งเลย ไอ้เพื่อนคนนี้มันอายุน้อยที่สุดครับ แต่มันชอบทำตัวเก๋าไง ผมก็เลยบอกว่า ถ้างั้นพวกมึงก็ไปกันเองเหอะ

กูจะนอนที่นี่แหละ พอผมพูดจบไอ้เพื่อนคนนั้นก็พูดขึ้นมาเลย ” ป๊อดหรอวะ ”  พอได้ยินอย่างนั้น ผมโคตรจะขึ้นเลย 

ตอนนั้นอารมณ์ของผมอยู่เหนือความกลัวล่ะครับ ผมเลยหยิบไฟฉายออกมาจากเป้แล้วบอกออกไปอย่างลืมตัวว่า ก็เอาดิ กรูก็อยากจะเห็นคนวิ่งหนีผีขี้ราดเหมือนกันว่ะ ตอนนั้นในใจผมไม่มีคำว่ากลัวแล้วมีแต่ ศักศรีเท่านั้น จากนั้นพวกผมก็ไปสุมหัวกันหน้าบ้านตา เปิดไฟฉายกันคนละกระบอก ผมแทบไม่อยากจะเชื่อเลยครับ บรรยากาศเวลา 2 ทุ่มของที่นั่นมัน พอๆกับตี 1 บ้านเราเลย รอบๆมืดหมด ไม่มีบ้านคน จะมีก็หลังนึงอยู่ไกลมาก แต่ก็ปิดไฟนอนไปแล้ว ไฟหลวงก็ไม่มี ข้างทางเป็นทุ่งนากับป่ารกๆ

ตอนที่ลงมากันตอนแรกแทบจะหัวทิ่มตกบันไดกันเพราะความมืด แต่พออยู่ไปซักพัก ตาก็เรื่มชินๆพอจะมองเห็นเป็นลางๆ แล้วทีนี้พวกผมก็ประชุมกันว่าจะเอาไงดี เพื่อนผมอีกคนนึงก็บอกว่า งั้นก็เดินไปที่ถนนใหญ่ดิ ง่ายๆ ทุกคนก็เห็นด้วย ไอ้เพื่อนปากหมาก็พูดขึ้นมาเลยว่า

“ถ้าเจอยาย จะให้ยายลองดูดม้า วิญญาณจะได้ไปสวรรค์” แล้วระหว่างทางที่เดินไปมันก็ปากดีไปตลอดทาง ผมก็กล้าๆกลัวๆ เพราะผมยังจำใบหน้าของแกตอนที่หันมามองผมได้เลย มันติดตา แต่ในอีกใจผมก็กลับไม่ได้ เพราะว่าศักศรีมันค้ำคอ 

พอผ่านไปซักพัก พวกผมก็มาถึงที่ถนนใหญ่ แต่ถึงจะเป็นถนนใหญ่ ก็ไม่มีไฟอยู่ดี มืดมาก พวกผมก็ยืนกันอยู่หน้าปากซอยทางเข้าบ้านตา ต่างคนก็ต่างส่องไฟฉายไปรอบๆ แต่ก็ไม่เจออะไร นอกเสียจากท้องนากับป่าหญ้า ผมสังเกตเห็นเพื่อนผมหลายคนนะ สีหน้าแบบกลัวๆประมาณว่าไม่อยากจะมายืนตรงเนี้ย แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูด เพราะเดี๋ยว จะโดนหาว่าป๊อด 

ในขณะที่พวกผมส่องไฟกันอยู่ดีๆนั้น ไอ้เพื่อนปากหมามันก็ตะโกนออกมา เห้ยยาย หลานยายจะตายห่าอยู่แล้ว รีบๆไปเข็นน้ำมาดิ มันตะโกนออกมาอย่างดังมาก ตอนนั้นหัวใจผมตกไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว เพื่อนๆผมก็มองหน้ากัน ไม่คิดว่าไอ้นั่นมันจะบ้าได้ขนาดนี้ ในขณะที่พวกผมมองหน้ากัน ต่างคนก็ต่างออกอาการ ในตอนนั้นเองเพื่อนผมคนนึงก็ตะโกนออกมาว่า 

เห้ย !! อย่างดังพวกผมทั้งหมดหันไป พร้อมด้วยไฟฉายส่อง ไปตรงทางข้างหน้ามัน เท่านั้นแหละ ภาพยายคนนั้นเลือดท่วมตัวเข็นน้ำวิ่งเข้ามาทางพวกผม ตอนนั้นผมบอกได้คำเดียวว่า เหยี้ยวจะราดครับ ขนลุกไปทั้งตัว ขาสั่น ไม่ยอมทำตามที่สมองสั่ง ในใจผมก็คิดซ้ำๆว่า ตายแน่ๆๆๆ 

ในขณะที่พวกผมกำลังช๊อคกับภาพยายที่กำลังวิ่งเข็นน้ำเข้ามานั้น เพื่อนผมคนนึงมันก็วิ่งเข้าไปในซอยเลยครับ พวกผมก็เหมือนจะหลุดออกจากการช๊อควิ่งตามมันไป ไฟฉกไฟฉายไม่สนแล้วครับ

พวกผมวิ่งหนีกันแบบไม่คิดชีวิต เรียกว่าใครล้มโดนทิ้งอ่ะ วิ่งแบบไม่สนใครแล้วในใจคิดแค่อย่างเดียวว่า ต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน ส่วนไอ้เพื่อนปากหมาที่กร่างๆมันก็วิ่งตามหลังผมมาติดๆ แถมยังร้องให้ด้วย ผมนี่โคตรอยากจะสมน้ำหน้ามันเลย แต่ตอนนั้นผมไม่คิดอะไรอีกแล้ว วิ่งไว้ก่อน 

ท่ามกลางความมืดและความชุลมุน ผมก็ได้ยินเสียงเพื่อนผมตะโดนออกมาว่า เห้ย ยายแกตามมาแล้ว เท่านั้นแหละ ด้วยความตกใจ ผมรีบหันหลังกลับไปดูทันที ภาพที่ผมเห็นในความมืดสลัวๆ ก็คือยายคนนั้นวิ่งตามพวกผมมาติดๆ อยู่ใกล้มากๆ ประมาน 2-3 เมตรได้ ตอนนั้นสารภาพเลยว่า ขนลุกไปทั้งตัวประสาทจะกินอ่ะ พวกผมวิ่งตะโกนกันเหมือนคนบ้า

ยายแกก็พูดไล่หลังมา “เอาชีวิตกูคืนมาๆๆ” ไล่มาติดๆ ตอนนั้นผมรู้สึกว่า ไงก็คงไม่รอดแน่ ไม่หน้าจะมากับไอ้พวกนี่เลย ยอมรับเลยครับตอนนั้นผมสิ้นหวังมากๆ คิดไว้ว่ายังไงก็คงตายแน่ๆ เพราะเกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยเจอผีอะไรที่น่ากลัว และเฮียนขนาดนี้ แต่แล้วผมก็หลับตานึกถึงพระที่ผมเคยไปไหว้ที่วัดบ่อยๆ ท่าชื่อหลวงพ่อสุธิน ทันใดนั้นยายที่ตามมาก็หายไป ผมเลยรีบหนีไปจนถึงบ้านตา พอไปถึง ซักพัก เพื่อนๆก็ตามมา จนครบ

มาถึงตอนแรกผมก็โล่งใจเฮ้อ รอดซักที แต่ฝันร้ายที่ผมจะไม่ลืม มันพึ่งเกิดขึ้นจริงๆ เพื่อนผมไอ้คนที่ปากดี อยู่ๆ ก็ยืนตัวแข็ง แล้ววิ้งเข้าป่า พวกผมเรียกมันก็ไม่ยอมกลับ ซักพักมันก็ร้องว่า ผมขอโทษ ตระโกนแบบนี้ 5- 6 ครั้ง พอสิ้นเสียงอันโหยห่วนของมัน ตาผมก็ลงมาดู ตาเลยถามว่า เมื่อกี้เสียงอะไร พวกผมได้แต่ยืนนิ่ง เพราะตอนนั้นช็อค เพื่อนผม 3 คน เอาแต่ร้องไห้และสั่นกันหมด 

ผมเลยคิดว่า ถ้ายังเป็นแบบนี้เพื่อนผมคงตายแน่ๆ เลยรวบรวมสติ พูดติดๆขัดๆ แล้วบอกตาเรื่องที่เกิดขึ้น ตาผมเลยรีบกลับไปบนบ้าน แล้ว หยิบ มีดมาเล่มหนึ่งมียันต์ด้วย แกบอก อยู่แต่บ้านอย่าออกไปไหน เดียวตาไปดูเอง ตาผมหายไป 30 นาทีกลับมา ตาผมทำหน้าไม่ดี เท่านั้นแหละ พวกผมน้ำตาไหลพล่าน ไม่คิดว่าเพื่อนผมจะต้องมาตายในวันที่มาเที่ยวสนุก

ตาบอกว่าตอนไปเจอ เพื่อนผมอยู่ในสภาพ ควํ่าหน้า ลงพื้น มีไม้ไผ่ที่ชาวบ้านตัดไว้ แทงทะลุถึงกระโหลกข้างหลัง แต่เรื่องมันยังไม่จบแค่นั้น 

ณ. ตอนนั้นพวกผมก็ทำไรไม่ถูกยิ่งไปกว่าเดิม ร่างกายพวกผมหมดเรี่ยวแรง ถึงแม้เพื่อนตายมันจะปากดียังไง แต่มันก็เป็นเพื่อนรักของพวกผม คืนนั้นพวกผมต้องรอจนเช้าครับถึงจะได้ดำเนินการแจ้งผู้ใหญ่บ้านต่างๆ เพราะแถวบ้านตาค่อนข้างชนบท คลื่นโทรศัพท์ไม่มี ถนนไม่ดี แถมยังไม่มีรถอีก ตัดไปที่ตอนเช้าเลยละกัน ผมกับพวกเพื่อนยังต้องเจออีกเรื่องที่หนักมากเหมือนกันคือ

“บอกกับทางบ้านเพื่อนผมว่าลูกชายคนเดียวของเค้าได้เสีบชีวิตลงแล้ว”

ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด  ขณะที่ผมกำลังโทร เสียงแรกที่รับโทรศัพย์คือแม่ของเพื่อนผมเอง ยอมรับเลยครับตอนนั้นผมอยากจะบอกความจริงไปทุกอย่าง แต่มันยากมากเหลือเกินแม่เพื่อนผมถามขึ้นมาว่า

แม่: ขอสายใครค่ะ

ผม : นี่ อ๊อดเองครับแม่

แม่ : ว่าอ๊อด เอ่อเรามีปัญหาอะไรกับเจ้า ตุ่ม (ขอสมมุตนะครับ)

ผม : เอ่อคือแม่ครับ…..

แม่ : ไหนเราบอกว่าจะไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน 3-4 วัน ทะเลาะอะไรกัน แม่ให้เจ้าตุ้มเข้าบ้านเมื่อเช้าและร้องไห้รีบเข้าไปนอนในห้องไม่คุยกับแม่เลย

(ผมไปไม่เป็นเลย พูดไรไม่ออก ขณะนั้นตาผมที่อยู่ข้างๆเห็นอาการช็อคของผมแกเลยดึงโทรศัพย์ออกจากมือ)

ตาผม : แม้นแม่หมู่บักอ๊อดบ่ครับ (ใช่แม่เพื่อนเจ้าอ๊อดป่าวครับ)

แม่ :  ใช่ค่ะมีอะไรหรอค่ะ

ตาผม : บักตุ้มเสียชีวิตแล้วเด้อครับ เมื่อคืนถูกผีเข้าแล่นไปเกิดอุบัติเหตุล้มหน้าเสียบกับต้นไม้ไผ่

แล้วการสนทนาก็สิ้นสุดลง….แล้วทุกอย่างก็ไม่มีอะไรแปลกครับ ผมและเพื่อนอีก 3 คน ได้ไปงานศพเจ้าตุ้ม 

เรื่องอาจไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่ขอให้กุศลในการเล่าครั้งนี้ อุทิศแด่เพื่อนของผมที่จากไป และหวังว่าจะเป็นตัวอย่างให้กับหลายๆคนที่ชอบท้าทายและลองของระวังไว้ว่าบางทีความคึกคนองเพียงชั่วครูอาจนำพาไปสู่ความตายก็เป็นได้

ขอบคุณที่มา สมาชิกพันทิปหมายเลข 2597551 
เรียบเรียงเรื่องโดยเพจ คลังหลอน

Previous articleถึง สุพจน์ จดหมายฉบับสุดท้าย
Next articleผีแม่พวย แห่งเมืองสุพรรณบุรี