ถึง สุพจน์ จดหมายฉบับสุดท้าย

จดหมายฉบับสุดท้าย
จดหมายฉบับสุดท้าย

เราชื่อใบเตยค่ะ เดิมทีตั้งแต่จำความได้เราเป็นเด็กต่างจังหวัด ที่อาศัยอยู่กับปู่ กับย่ามาตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อกับแม่เราเขาไปทำงานที่กรุงเทพฯ เพื่อหาเงินส่งเสียเรากับพี่สาว ชีวิตส่วนตัวของเราก็ถือว่าไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย เพราะบ้านปู่กับย่า เปิดเป็นร้านของชำเล็กๆ ในหมู่บ้าน ส่วนที่นาก็มีพอได้ไปลูกข้าวไม่กี่ไร่ ทุกเช้าปู่ก็จะไปนา ส่วนย่าก็ดูแลร้านอยู่ที่บ้าน 

เรามีเพื่อนสนิทอยู่สองคน คือหญิง กับสุพจ เวลาเช้าเราจะเดินไปโรงเรียนพร้อมกัน หญิงเป็นเด็กหน้าตาดี นิสัยแก่นๆ และโผงผางหน่อย  ส่วนสุพจ เป็นเด็กผู้ชายตัวสูงโย่งกว่าเพื่อนทุกคนในชั้นเรียนเลย ส่วนนิสัยจะเรียบร้อยมาก เป็นคนพูดน้อย และค่อนข้างเก็บตัว 

ด้วยความที่บ้านใกล้กัน และเรียนชั้นเดียวกันมาตั้งแต่อนุบาล พวกเราจึงถือว่าสนิท และรู้ไส้รู้พุงกันเป็นอย่างดี เราพูดคุยกันแทบทุกเรื่อง แม้บางครั้งสุพจน์ จะมีไปเล่นกับกลุ่มเพื่อนที่เป็นผู้ชายบ้าง แต่ก็ไม่เคยที่จะลืมเราสองคนเลย จนปีสุดท้ายของการเรียนชั้นประถมศึกษา หรือจบ ป.6 เราก็จำเป็นต้องย้ายไปอยู่กับพ่อ และแม่ที่กรุงเทพฯ จะทำให้พวกเราสามคนต้องห่างกันไป  หญิง กับสุพจน์ ก็ไปเรียนต่อที่ในตัวอำเภอ  

ตอนนั้นการสื่อสารไม่ได้สะดวกสบายแบบสมัยนี้ เราใช้การเขียนจดหมายหากัน บอกเล่าเรื่องราวต่างๆผ่านตัวอักษรบนกระดาษจดหมายกลิ่นหอมๆ ซึ่งสมัยนั้นฮิตมากหรือบางครั้งเราก็จะอัดเพลงเพราะๆ ใส่เทปจากรายการวิทยุส่งไปให้เพื่อนของเราเสมอ 

แรกๆ เราก็จะได้กลับไปเที่ยวบ้านปู่บ้างเวลาปิดเทอม ซึ่งเราจะไปเที่ยวเล่นกับหญิง และสุพจเสียมากกว่า เพราะสุพจมีรถมอเตอร์ไซค์ เราก็ขี่อัดสามกันไปเล่นที่เขื่อนบ้าง  หรือแวะซื้อของกิน ตามประสาเด็กเพิ่งเริ่มโต แต่ช่วงหลังๆ เราไม่ค่อยได้ไปบ้านปู่ เพราะแม่เราดันไปทะเลาะกับย่า ตามฉบับแม่ผัวลูกสะใภ้ เรื่องค่อนข้างใหญ่จนทำให้ต้องเลิกลากันกับพ่อ พ่อกับพี่สาวเราก็กลับไปอยู่บ้านย่า ส่วนเรากับแม่ก็อยู่ที่กรุงเทพฯ และแม่ก็สั่งห้ามเด็ดขาดด้วยความโกรธ ไม่ให้เรายุ่งเกี่ยวกับคนที่นั่นอีก 

ช่วงนั้นเราเองก็มีเพื่อนใหม่ด้วย จึงไม่ค่อยได้ติดต่อกับหญิง  และสุพจน์ จนพวกเราสามคนก็ได้ห่างหายกันไปที่ละนิดตามวิถีชีวิตของแต่ละคน จนไม่ได้ติดต่อหรือส่งข่าวคราวกันอีกเลย

พอเราเรียนจบอยู่ในช่วงกำลังรองานอยู่เพราะไปสัมภาษณ์ไว้หลายที่ ตอนนั้นเราเริ่มมีโทรศัพท์บ้านแล้ว เราแอบติดต่อกับพ่อ  และพี่สาวเราแบบไม่ให้แม่รู้ หรือแกอาจจะรู้แต่ทำเป็นไม่สนใจก็ได้ พี่สาวเราโทรมาหาแล้วบอกว่ากำลังจะแต่งงาน  อยากให้เรากับแม่มาร่วมงานด้วย เรายินดีกับพี่สาว และตื่นเต้นกับการจะมีครอบครัวเป็นฝั่งเป็นฝาของพี่สาวเรา จนลืมถามถึงว่าที่เจ้าบ่าวไปเลยว่า “เป็นใคร ที่ไหน” 

พี่สาวเราตอนนี้ได้บรรจุเป็นครูอยู่ในตัวอำเภอแล้ว แต่ก็ยังขับรถไปกลับที่บ้านย่าอยู่ เพราะตอนนี้ปู่เสียไปแล้วเหลือแต่ย่าที่เจ็บออดๆแอดๆ กับพ่อเราที่ดูแลร้านต่อ 

เราเพิ่งมารู้ทีหลังว่าคนที่พี่สาวเราจะแต่งงานด้วยไม่ใช่ใครที่ไหนเลย แต่คือ สุพจน์!!! เพื่อนวัยเด็กของเรานั่นเอง เราค่อนข้างปะหลาดใจอยู่พอสมควร  เพราะพี่สาวเรา กับสุพจน์ รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก แถมสุพจน์ก็อ่อนกว่าพี่สาวเราตั้ง 4 ปี แถมไม่เคยมีทีท่าหรือเคยได้ยินเลยว่าทั้งสองคนคบหาดูใจกัน เรามั่นใจว่า สุพจน์ กับ หญิง มีใจให้กันมาตลอด จากที่เคยเขียนจดหมายคุยกันกับหญิง เมื่อครั้งที่ยังติดต่อกันอยู่ สุพจน์เองก็เป็นครูทำงานยู่ทื่เดียวกันกับพี่สาวเรา อาจจะเริ่มคบหาดูใจกันเพราะความใกล้ชิดก็เป็นได้

หลังจากที่ได้ วัน เวลา ที่จะจัดงานแต่งแล้ว เราก็บอกแม่ และชวนแม่ไปงานด้วย แต่แม่เราปฎิเสธที่จะไป  และฝากสร้อยทองไปให้พี่สาวเราเพื่อเป็นของขวัญในวันแต่งงาน และฝากบอกให้พี่สาวเราพาสุพจน์มาไหว้หลังจาก จัดงานแต่งเรียบร้อยแล้ว เรารู้ว่าแม่เราเสียใจมาก ที่ตัดสินใจไม่ไปเรางานแต่ง เพราะแกยืนยันหนักแน่น  ว่าจะไม่ไปเหยียบที่นั่นอีก เราก็ได้แต่เคารพการตัดสินใจ

เราเดินทางมาถึงบ้านย่าก่อนจะถึงวันงานประมาณหนึ่งอาทิตย์ เพราะยังรองานที่ไปสมัครไว้ติดต่อกลับมากช่วงนี้เลยว่าง  เราขับรถกลับมาเองคนเดียวสมัยก่อนยังไม่มี GPS อาศัยดูป้ายบอกทางเอา กว่าจะถึงก็เกือบค่ำ เรามาถึงตอนที่บ้านกำลังเตรียมข้าวเย็นพอดี ก็เจอแต่พ่อ กับย่า ส่วนพี่สาวเรายังไม่กลับ 

ภาพแรกที่เราเห็นย่าหลังจากไม่เจอกันหลายปี คือย่าดูดีมาก ดูไม่แกเลยทั้งๆ ที่อายุปาเข้าไปจะเจ็ดสิบแล้ว ย่าเห็นเราก็โผเข้ามากอดยกใหญ่ ทั้งหอมทั้งกอด แกบอกว่าดีใจมากที่เรากลับมาเยี่ยม

ย่าบอกว่า “ดีนะที่แม่แกยังพอมีสำนึกอยู่บ้าง ว่าควรให้แกกลับมาหาย่าหาพ่อบ้าง” เราได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะเอาจริงเรารักแม่มาก ไม่อยากให้ใครว่าแม่

สักพักพี่สาวเราก็กลับมาพร้อมกับสุพจน์ เรายิ้มดีใจยืนรออยู่หน้าบ้าน “พี่ตอง!!” เราตะโกนตั้งแต่รถมอเตอร์ไซต์ของทั้งสองยังจอดไม่สนิทพี่ตองรีบลงจากรถเข้ามากอดเราด้วยความดีใจ  เราทักทายสุพจน์

“ว่าไงพจน์ ไม่ได้เจอกันนานเลย เป็นไงบ้างสบายดีมั๊ย”

“สบายดีจ่ะ ใบเตยละสบายดีนะ ขอบใจนะที่มาช่วยงานเรากับตอง” สุพจน์ตอบด้วยท่าทางสุภาพเหมือนเดิม

“ช่วยอะไรกันเล่า กะมากินโต๊ะจีนงานแต่งต่างหาก 555” เราแหย่สุพจน์เล่น แล้วเราก็ตัดบทว่า

“เรากินข้าวแล้ว  เดี๋ยวเรามาคุยต่อนะ เรากะว่าจะไปหาหญิงสักหน่อย” พลางกำลังจะเดินออกไปหน้าบ้าน

“อย่าเพิ่งไปเลย!!!” เสียงของสุพจน์และพี่ตองตะโกนออกมาพร้อมกัน จนเราตกใจ…”เฮ้ย..มีอะไรรึป่าว”

เราหันมาถาม พี่ตองหน้าเจื่อนแล้วบอกเราว่าไม่มีอะไร  วันนี้อยากคุยกับเราหลายเรื่อง  และขอให้เราค่อยไปบ้านหญิงในวันรุ่งขึ้น  เราเลยบอกว่าได้ๆ เดี๋ยวเข้าไป ขอเดินย่อยแปบนึง

บ้านเราอยู่ถัดจากบ้านของสุพจน์ไปสองหลัง ส่วนบ้านหญิงจะอยูซอยถัดไป เราเดินเก็บพวกขนมที่พ่อเอามาห้อยไว้หน้าบ้านเป็นพวงๆ สำหรับขาย แล้วก็เดินออกมาดันถังน้ำแข็งที่อยู่หน้าร้านให้เข้าไปอยู่ในรั้วบ้าน  

ตอนนั้นเราบังเอิญหันไปทางบ้านของสุพจน์พอดี เรามองเห็นผู้หญิงคนนึงยืนอยู่หน้าบ้านสุพจน์ เราเองก็มองไม่ค่อยชัดเพราะว่าตอนนั้นมันก็มืด บ้านสุพจน์ก็ไม่ได้เปิดไฟหน้าบ้าน เพราะเจ้าตัวกับแม่ มากินข้าวที่บ้านเรา เห็นว่าจะมาคุยเรื่องจัดงานกัน ผู้หญิงคนนั้น แต่งหน้าจัดมากและแต่งตัวสวยคล้ายกับผู้หญิงทำงานกลางคืน ตัวของเธอขาวมาก ขาวจนดูซีด เราพยายามเพ่งมองดูให้ชัดๆ เพราะรู้สึกคุ้นเคยมาก 

คุณพระ!! นั่นหญิงนี่หว่า เราดีใจที่เจอหญิงปนตกใจ เพราะภาพที่เห็น คือ หญิงยืนร้องไห้ อยู่หน้าบ้านสุพจน์ เรากำลังจะเดินไปหาหญิง เลยหันไปเอามือปิดประตูรั้ว แต่พอหันมาอีกทีหญิงก็หายไปแล้ว เลยได้แต่โมโหตัวเอง ทีน่าจะตะโกนเรียกหญิงไว้ก่อน ถ้าหญิงได้ยินคงจะรอ สรุปคืนนั้น เราก็แทบไม่ได้คุยกับพี่ตองเพราะเค้าคุยกันเรื่องจัดงานจนดึก แถบไม่ได้ไปหาหญิงด้วย แต่ด้วยความล้าจากการขับรถมาทั้งวัน เราเลยเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้เลย

กลางดึกเราสะดุ้งตื่นเพราะเสียงบานหน้าต่างมันกะทบกับขอบ ด้วยลมที่แรงมากพัดมาเหมือนฝนใกล้จะตก เราง่วงมากเลยเปิดหน้าต่างทิ้งไว้แต่ไม่ได้เอาที่กันล็อคไว้  เราลุกขึ้นมากำลังจะปิดก็เหลือบไปเห็น “หญิง” เหมือนหญิงมาหาเราหน้าบ้านแถมร้องไห้ด้วย เราเลยรีบลงไปเปิดประตู ด้วยความที่หญิงยืนอยู่นอกรั้ว เราจึงต้องเปิดประตูก่อนเพราะประตูมันล๊อคแม่กุญแจตัวยูไว้ ต้องบอกก่อนว่าประตูบ้านเราเป็นประตูไม้แกะสลักบานใหญ่สองบานประกบกัน และก็มีช่องกระจกเล็กๆ สี่ช่องที่สามารถมองไปเห็นรั้วหน้าบ้านที่เป็นร้านขายของได้

เราเห็นหญิงยืนร้องไห้ และมือก็ถือจดหมายฉบับหนึ่งเหมือนพยายามจะยื่นให้เรา ด้วยความร้อนใจที่เห็นเพื่อนสภาพแบบนั้น เลยกระชากกุญแจเสียงดัง จนพ่อที่นอนอยู่บนเตียงไม้หน้าทีวีตื่น พ่อก็เลยถามว่า “เตยมีอะไรลูก…ทำไมถึงจะเปิดประตูมันดึกแล้วนะ”

เราจึงรีบบอกพ่อไปว่า หญิงมาหา อยู่หน้าบ้าน พอพ่อได้ฟังถึงกับสีหน้าเปลี่ยนสี บอกว่าเราตาฝาด เราจึงชี้ให้พ่อดู แต่พอเราหันไปปรากฎว่า หญิงไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นขจริงๆ จึงเถียงพ่อไม่ออก เราได้แต่..งง..ว่าเราตาฝาดได้ขนาดนั้นเลยหรือ แล้วก็กลับไปนอนต่อแบบคาใจอยู่อย่างนั้น

ตอนเช้าเราตื่นค่อนข้างสายทุกคนในบ้านก็ออกไปข้างนอกกันหมด เราเลยเดินไปบ้านหญิง พอไปถึงหน้าบ้านทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมคือเป็นรั้วไม้สูงประมาอก ส่วนประตูหน้ารั้วบ้านไม่มี เราเลยถือวิสวาสะเดินเข้าไปเลย เราเห็นราวตากผ้ามีผ้าเปียกตากอยู่ คิดว่าน่าจะมีคนอยู่เลยตะโกนเรียก แต่เรียกอย่างไรก็ไม่มีเสียงตอบกลับ เลยตัดสินใจว่าจะมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น  เพราะช่วงบ่ายเราต้องไปติดต่อเรื่องชุดในวันงานจึงไม่ได้ถามเรื่องหญิงกับใครเลย

ตกดึกคืนนั้นเราเข้านอนตามปกติ เราฝันถึงหญิง ในฝันหญิงผมสั้นเท่าติ่งหู ใส่ชุดนักเรียนเหมือนตอนเด็กๆ ผิดกับตอนที่เราเจอที่หน้าบ้านสุพจน์โดยสิ้นเชิง หญิงเข้ามากอดเราแล้วร้องไห้ บอกว่าคิดถึงเรากับสุพจน์มาก มีเรื่องคุยมากมาย พร้อมยื่นจดหมายให้เรา เราพยายามจะรับไว้แต่หยิบอย่างไรก็หยิบไม่ได้สักที แล้วจู่ๆ ก็มีมือใหญ่ๆ ดำๆ มากระชากผมของหญิงจนหงายหลัง 

เรามองหน้าเค้าได้ไม่ค่อยชัด รู้แต่ว่าร่างนั้นใหญ่ และไม่ใส่เสื้อ หญิงพยายามยื่นจดหมายให้เรา แต่ก็โดนร่างนั้น ดึงหายไปในความมืด เราร้องเรียกเพื่อนสุดเสียงจนสะดุ้งตื่น เชื่อมั้ยเหงื่อเราออกเยอะมาก ใจก็เต้นแรง ตุ๊บๆ ทุกอย่างเหมือนจริงจนน่ากลัว ในตอนนี้เราแอบหวั่นๆ ว่าก่อนหน้านี้หญิงไม่ได้ ติดต่อกับเราเลย หญิงจะเป็นอะไรรึป่าว คิดว่าตัวเราเองอาจจะฝันเป็นลางร้าย

เช้าวันนั้นเราตื่นเช้ามาก พอทำธุระส่วนตัวเสร็จเราก็รีบตรงไปที่บ้านหญิงทันที เดินมาถึงหน้าบ้านหญิงก็เจอกับ ยิ้ม น้องสาวของหญิง ที่กำลังจะขับรถมอเตอร์ไซต์ออกไปทำงานโรงงานที่อยู่ในตัวอำเภอ เรารีบบอกว่าเรามาหาหญิง ยิ้มชะงักไปแปบนึง แล้วหันมาตอบด้วยน้ำตาที่คลออยู่เต็มสองตาว่า “พี่ใบเตย ที่บ้านพี่ไม่ได้บอกหรอว่าพี่หญิง โดนรถชนเสียไปได้สามเดือนแล้ว”

เราช็อคไปเลย เพราะว่าก่อนหน้านี้เราเพิ่งเห็นหญิงเอง แล้วยิ้มก็ขอตัวไปทำงาน และบอกเราว่าให้มาหาอีกทีตอนเย็น ยิ้มบอกว่า หนูมีอะไรจะเอาให้พี่ด้วย

เรากลับมาที่ร้านของพ่อ และถามพ่อว่าทำไมถึงไม่บอกแต่แรกว่าหญิงเสียไปแล้วตั้งสามเดือน เราบอกพ่อว่าหญิงน่าจะมีอะไรอยากจะสื่อสารกับเรา พ่อเลยเล่าทุกอย่างให้เราฟัง 

พ่อบอกว่าที่ไม่อยากพูดถึงเพราะว่าใกล้จะถึงงานมงคลของพี่สาวเราแล้ว ไม่อยากพูดเรื่องแฟนเก่าของเจ้าบ่าว นั้นก็คือสุพจน์นั่นเอง ก่อนหน้าที่สุพจน์จะมาคบหากับพี่ตอง สุพจน์และหญิงได้คบกันเป็นแฟนตั้งแต่มัธยมโดยที่ผู้ใหญ่รับรู้ทั้งสองฝ่าย จนสุพจน์เอนทรานต์ติดมหาลัยของรัฐทั้งคู่ก็ไปอยู่ด้วยกันในตัวจังหวัด แล้วก็ได้ข่าวว่า หญิงทิ้งสุพจน์ ไปอยู่กินกับเจ้าของร้านอาหารที่หญิงทำงานอยู่ แล้วสุพจน์ก็เรียนจบย้ายมาเป็นครูที่โรงเรียนเดียวกับพี่เรานั่นและ  จึงได้คบหากัน ทางผู้ใหญ่เลยอยากให้แต่งงานกัน  

ต่อมาพอหญิงกลับมาเยี่ยมบ้าน เลยได้ยินข่าวเรื่องของสุพจน์ พ่อไม่รู้ว่าเค้ามีเรื่องอะไรนะ เหมือนสุพจน์ไม่ยอมออกมาพบหญิง ฝ่ายหญิงก็ยืนร้องไห้รออยู่หน้าบ้าน จนพอจะข้ามถนนเดินกลับเพราะดึกแล้ว ก็มีรถกะบะส่งของวิ่งมาเกิดเบรกแตก คนขับหักหลบรถอีกคัน จนหันไปชนกับหญิง อัดเข้ากับกำแพงจนหญิงตายคาที่ เลยหน้าบ้านสุพจน์ไปไม่ถึงหนึงเมตร สุพจน์เองก็สะเทือนใจไม่น้อย คนที่บ้านเราจึงไม่มีใครอยากพูดถึงหญิง กลัวสุพนจ์จะได้ยิน 

“เราจึงถึงบางอ้อเลยทีนี้”  

ตกเย็นเราไปรอยิ้มที่บ้าน ยิ้มกลับมาพอดี เราสองคนนั่งคุยกันอยู่ใต้ถุนบ้าน เราบอกยิ้มเรารู้เรื่องการตายของหญิงแล้วเราเสียใจกับครอบครัวยิ้มด้วยนะ แล้วเราก็บอกว่าวันที่เรามาที่นี่วันแรก เราเห็นหญิงเราคิดว่าหญิงคงยังมีห่วงอยู่

ยิ้มดีใจถามเราใหญ่ว่าพี่หญิงมาหาเราหรอ พี่หญิงมาแบบไหน เราก็เล่าให้ฟัง แล้วก็บอกยิ้มว่าเหมือนหญิงต้องการจะยื่นจดหมาย อะไรสักอย่างให้พี่ แต่พี่ไม่ได้รับไว้  

ยิ้มนึกขึ้นได้เลยวิ่งไปเอากล่อง กล่องนึงที่เป็นกล่องคุ๊กกี้แดงๆ สี่เหลี่ยมใหญ่ๆมาให้เรา เราเปิดออกดูในนั้นมีจดหมายมากมาย ที่จ่าหน้าซองเป็นชื่อเรา มีทั้งแบบส่งแล้วตีกลับและที่ยังไม่ได้ส่ง ยิ้มบอกว่าสงสัยเป็นจดหมายพวกนี้รึป่าว เราเลยขอเอากลับบ้านเลย แล้วก็ชวนยิ้มไปทำบุญ  

เช้าอีกวันเราก็ไปทำบุญให้หญิง เรากับตั้งจิตอธิษฐานบอกหญิงว่าไม่ต้องทุกข์ร้อนอะไร เราได้รับจดหมายที่หญิงอยากเอาให้เราแล้ว ขอให้วิญญาญของหญิงจงรับรู้และหมดห่วงนะ หลับให้สบายได้แล้วเพื่อน

ก่อนนอนเราได้อ่านจดหมายมากมายที่หญิงเขียนถึงเราและฉบับหลัง ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นการเขียนแบบเป็น ไดอารี่ เล่าเรื่องราวของตัวเองซะมากกว่า เพราะใส่ซองแต่ไม่ได้จ่าหน้าซอง เนื่องจากรู้แล้วว่าจดหมายไม่ถึงผู้รับ เพราะแม่พาเราย้ายที่อยู่บ่อย ในจดหมายจะเล่าแต่เรื่องราวของหญิง กับสุพจน์ ว่าผ่านอะไรมาด้วยกันบ้าง ว่ารักกันมาขนาดไหน วันนี้เราแทบไม่ได้นอนเลย เพราะอ่านจนดึก และต้องตื่นเช้ามากเพื่อมาแต่งตัว ในงานแต่งช่วงเช้า

งานวิวาห์ในช่วงเช้าผ่านไปได้ด้วยดี เหลือแต่งานเลี้ยงช่วงกลางคืน ซึ่งจัดที่บ้านของสุพจน์ แขกร่วมยินดีมาค่อนข้างเยอะ รวมทั้งยิ้มกับแม่ก็มาด้วยเพราะเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน และแม่ของยิ้มก็รักและเอ็นดูสุพจน์มาก  จนถึงตอนงานเลิก วงดนตรีเลิกเล่นแล้วคนก็ทยอยกันกลับ จะเหลือก็แต่พวกผู้ชายที่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวนั่งกินเหล้ากันอยู่ห้าหกคน รวมเจ้าบ่าวด้วย เราเองก็กลับมาบ้านเพื่อจัดเสื้อผ้าจะกลับกรุงเทพพรุ่งนี้ แล้วสักพักได้ยินเสียงพ่อเรียก ให้เอาโซดาไปให้เพื่อนสุพจน์

เราก็กำลังถือแพคโซดาออกมาจากบ้าน พอหันไปกำลังจะเดิน เราเห็นหญิง!! ยื่นร้องไห้ถือจดหมายในมืออยู่หน้าบ้านสุพจน์เหมือนเดิม เราไม่ละสายตาเลยทีนี้  คิดว่าใช่แน่ๆ แต่เดี๋ยวก่อน เราก็ได้รับจดหมายจากหญิงแล้ว ทำบุญให้แล้ว แต่ทำไมหญิงยังดูทุกข์ทรมานอย่างนี่อีกหละ หรือว่าเราจะเข้าใจผิด คนที่หญิงต้องการจะให้คือสุพจน์ ไม่ใช่เรา แต่พอเราเดินเข้าไปใกล้ ร่างของหญิงก็หายไปกับตา เราได้แต่ยืนขนลุก เย็นวาปไปจนถึงสันหลัง

อันที่จริงเราเคยเห็นและสัมผัส พวกสิ่งลี้ลับอย่างนี้มาก็หลายครั้งนะ เพราะมีสัมผัสพิเศษแบบนี้มาได้สักพักแล้ว แต่ถ้าต้องมาเผชิญหน้ากับคนที่เรารัก และรู้จักมันก็อดใจสั่นไม่ได้เลย  เรารีบเอาโซดาไปให้เค้าแล้วก็รีบวิ่งกลับบ้านเลย

คืนนั้นเรานั้งสมาธิ แล้วก็แผ่เมตตาให้หญิงก่อนนอน โดยหวังว่าครั้งนี้หญิงจะมาหาในควาฝันอีกสักครั้ง แต่ก็ไม่เป็ผลทั้งคืนเราไม่ฝันอะไรเลย อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยมาทั้งวันเลยแทบจะหลับป็นตายเลยก็ว่าได้

ก่อนกลับกรุงเทพ เรามาหายิ้มอีกครั้ง และบอกกับยิ้มว่า พี่คิดว่าจดหมายที่หญิงอยากจะให้ น่าจะไม่ใช่พี่นะ ยิ้มลองนึกดูดีๆ ว่าหญิงมีอะไรจะให้สุพจน์หรือป่าว ยื้มหันซ้าย หันขวา ก่อนจะดึงเราไปคุยเหมือนกลัวว่าจะมีใครมาได้ยิน ยิ้มเริ่มเล่าว่า

อันที่จริงวันที่พี่หญิงตาย แกอยากคุญกับพี่สุพจน์มาก แต่พี่เค้าเข้าใจผิด และโกรธพี่หญิงมาก ขนาดผ่านไปเป็นปียังไม่ยอมเจอพี่หญิงเลย คือก่อนหน้านี้ พอจบ ม.6 พี่สุพนจ์เอนติด แต่พี่หญิงเอนไม่ติด พี่หญิงกับพี่สุพจน์เลยตัดสินใจ ว่าจะไปอยู่หอด้วยกันที่ตัวจังหวัด พี่หญิงจะเรียนภาคค่ำเอา ผู้ใหญ่เห็นว่าจะไปอยู่ด้วยกันจึงผูกข้อไม้ข้อมือให้

พี่สุพจน์เรียนอย่างเดียว ส่วนพี่หญิงก็ทำงานเป็นเด็กเสริฟที่ร้านอาหารไปด้วย มันมีอยู่ช่วงหนึ่งพี่สุพจน์เสียพนันบอลหลายหมื่น ไม่รู้จะเอาที่ไหนมาจ่าย พี่หญิงไม่ให้บอกที่บ้านเพราะกลัวแม่พี่สุพจน์จะเสียใจว่าลูกเล่นการพนัน อีกอย่างพี่สุพจน์กำลังจะเรียนจบแล้ว พี่หญิงเลยตัดสินใจขอผู้จัดการร้าน ขอเปลี่ยนเป็นพีอาร์ ดูแลลูกค้าแทน

ด้วยความที่พี่หญิงสวยอยู่แล้วเค้าเลยให้เป็น แล้วพี่หญิงก็หาเงินมาจ่ายให้พี่สุพจน์ได้ แต่แทนที่พี่สุพจน์จะดีใจ กลับค่อนขอดว่าพี่หญิงทำงานแบบนี้เปลืองตัว ตอนแรกพี่หญิงว่าจะเลิกทำ แต่แม่ดันมาป่วย ต้องใช้เงินอีก แกเลยทำมาเรื่อยๆ เพราะเงินดี 

จนพี่สุพจน์จบ และมาเป็นครู พอแม่พี่สุพจน์รู้ว่าพี่หญิงทำงานกลางคืนก็ไม่พอใจ ไปหาพี่หญิงถึงที่ร้านบอกพี่หญิงว่าให้เลิกกับพี่สุพจน์ซะ เพราะแกกลัวลูกชายจะอายเป็นถึงครูอาจารย์เค้าแต่มีเมียเป็นยิ้ม ขายตัว พี่หญิงก็อธิบายว่าไม่ใช่แกก็ไม่ฟัง แถมขู่พี่หญิงว่าถ้าไม่เลิก แกจะประจานให้คนทั้งหมู่บ้านรู้ และถ้าแม่รู้ต้องแย่แน่ๆ เพราะแม่เพิ่งผ่าตัดหัวใจมา 

เดิมทีแกก็ไม่ชอบพี่หญิงหรอกเพราะบ้านหนูมันจนไม่มีที่มีทาง ไม่มีสมบัติเหมือนบ้านอื่นเขา  พี่หญิงไม่รู้จะทำอย่างไรจึงยอมบอกเลิกพี่สุพจน์ ทั้งชีวิตพี่หญิงไม่มีใครเลยนอกจากพี่สุพจน์  ไม่รู้ว่าข่าวมันเป็นยังไงคนถึงไปลือว่าพี่หญิงหนีไปกับคนที่ทำงาน ที่จริงพี่หญิงกลับมาบ้านแล้วเล่าเรื่องนี้ให้ยิ้มฟังทั้งน้ำตา แกบอกว่าแกจะเข้ากรุงเทพ ไปทำงานที่ห้างเวิลเทรด (ตอนนี้คือเซ็นทรัลเวิลล์)กับเพื่อนที่ร้าน แล้วพอเรื่องซาแกจะกลับมาง้อพี่สุพจน์

แต่พอกลับมาก็ได้ข่าวว่าพี่สุพจน์จะแต่งงาน แกไปหาพี่สุพจน์หลายครั้งก็โดนแม่พี่สุพจน์ไล่กลับ บอกว่าพี่สุพจน์ไม่อยากเจอจนวันสุดท้ายแกเอาจดหมายไปให้เพื่อที่จะบอกลา แต่ยังไม่ทันได้ให้ก็เกิดเรื่องเสียก่อน

ยิ้มเล่าทั้งน้ำตา  ด้วยความสงสารพี่สาว แล้วยิ้มก็เดินไปหยิบ ซองจดหมายเปื้อนเลือดแห้งๆฉบับหนึ่งมาให้เรา ยิ้มบอกว่าที่ ตอนที่เจ้าหน้าที่มาถึงที่เกิดเหตุ พี่หญิงกำจดหมายนี้ไว้แน่น เลยเก็บมาให้ญาติ ที่มันมีรอยเปิดเพราะยิ้มเปิดอ่านเอง แต่จะให้เอาไปให้พี่สุพจน์ ยิ้มก็ไม่กล้า เพราะเค้าจะแต่งงานอยู่แล้ว เราเลยหยิบออกมาเปิดอ่าน เนื้อความในจดหมายเขียนว่า

“ถึง  สุพจน์

ฉันเพิ่งทราบข่าวเรื่องการแต่งงานของเธอ   ฉันยอมรับว่าฉันเสียใจไม่น้อย  เธอคงจะมีความสุขสำหรับความรักครั้งใหม่ ฉันยินดีกับเธอ และพี่ตอง ผู้หญิงที่เธอรักและคู่ควรกับเธอในทุกๆ ด้าน 

ฉันขอให้ชีวิตการแต่งงานของเธอราบรื่น และมั่นคง มีลูกมีหลานที่น่ารักในอนาคตข้างหน้า  ขอให้เธอได้ดูแลความรักครั้งนี้อย่างดีที่สุด เหมือนกับที่เธอเคยบอกกับฉันว่าอยากสร้างอนาคตในฝันที่มีพ่อ แม่ ลูก อยู่ด้วยกันครบ

ฉันอยากจะขอโทษในทุกเรื่องที่เคยทำกับเธอ ที่เคยทำให้เธอต้องผิดหวังและเสียใจ ฉันไม่มีคำแก้ตัวใดๆ นอกจากคำว่าขอโทษ ฉันอยากให้เธอรู้ไว้ว่า ทั้งชีวิตของฉัน มีแค่เธอคนเดียว และจะมีแต่เธอตลอดไป แม้จะไม่ได้รักกันในแบบคนรักแล้วก็ตาม และฉันกำลังจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่กรุงเทพฯ หวังว่าเธอจะอวยพรให้ฉันเหมือนกัน

ป.ล.ในวันที่เธอแต่งงานฉันคงไม่ได้ไปร่วมงานนะ ต้องขอโทษจริงๆ  

รักและจะรักตลอดไป  

จากหญิง”

เราอ่านจดหมายฉบับนี้ทั้งน้ำตา และใจที่สั่นเทา เราสงสารหญิงเหลือเกิน นี่คงเป็นสิ่งสุดท้าย ที่หญิงอยากจะบอกเราสินะ เหมือนเมื่อครั้งยังเด็ก ที่หญิงมักเขียนจดหมาย ฝากให้เราเอาให้สุพจน์ให้หน่อย  ภาพเด็กหญิงใส่ชุดนักเรียนคอซอง ผมสั้นเต่อ หน้าตามอมแมมวิ่งไปแอบทุกครั้งด้วยความอายที่ฝากเพื่อนอย่างเราให้เป็นแม่สื่อให้หน่อย  ความรักของหญิงมั่นคงจริงๆ 

เราตัดสินใจเอาจดหมายนี้ให้สุพจน์ ก่อนที่จะเดินทางกลับกรุงเทพ ก่อนที่เราจะขึ้นรถเราสัมผัสได้ถึงลมเย็นๆ พี่พัดมากระทบตัวเราทั้งๆที่ไม่มีแม้แต่ใบไม้ไหว มันคงเป็นคำขอบคุณสินะ

เรากลับบ้านแล้วนะหญิง เราทำหน้าที่ของเราเสร็จแล้ว ชาตินี้วาสนาได้พบกันไม่มีแล้ว แต่เราจะทำบุญให้หญิงบ่อยๆ นะ เผื่อชาติหน้าเราอาจได้พบกัน…

ขอบคุณเรื่องจากผู้ใช้ Pantip นามว่า เพลิน ไดอารี่

เรียบเรียงโดยเพจ คลังหลอน

Previous articleยุติการเผยแพร่
Next articleลองของที่บ้านตา