เฮี้ยนสุดๆ!! “ผีแม่พวย สุพรรณบุรี” หลอกไม่เว้นแม้แต่กลางวัน ความดังไม่แพ้ “แม่นาคพระโขนง” แม้แต่พระ ยังไม่รับนิมนต์มาปราบ!!
ทุกคนน่าจะรู้จักแม่นาคพระขโนงมาเป็นอย่างดีใช่ไหมครับ แต่น่าจะไม่รู้จักแม่นาคเมืองสุพรรณที่ผมกำลังจะเอามาเล่าให้ฟังอย่างแน่นอน ซึ่งผมได้ไปเจอเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานเรื่องหลอน ๆ ของผีแม่พวย แม่นาคแห่งเมืองสุพรรณบุรีนี้ บอกได้คำเดียวว่า หลอน และน่ากลัวมาก เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
เรื่องของผีแม่พวยนั้น เริ่มต้นมาจาก ครอบครัวของแม่พวยเป็นครอบครัวคนจีนที่ย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากที่ อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ซึ่งแม่พวยเองเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว ที่มีหน้าตาดี ขาว สวย รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น เป็นที่หมายปองของหนุ่ม ๆ ในระแวกนั้น แต่แม่พวยเองได้ไปแต่งงานกับชายหนุ่มจากสมุทรสาคร และมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน
แต่เนื่องจาก สามีของแม่พวยค่อนข้างมีฐานะ จึงถูกพ่อตาหรือพ่อของแม่พวยนี่แหล่ะสูบเงินเพื่อเอาไปเล่นการพนันจนหมดสิ้นทุกอย่าง แม้กระทั่งบ้านที่อยู่เองด้วย สามีของแม่พวยทนไม่ไหวก็ย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านของตัวเองที่สมุทรสาคร พร้อมทั้งเอาลูกชายไปด้วย โดยที่หลังจากนั้นมาสามีก็ไม่เคยติดต่อกลับมาหาแม่พวยอีกเลย
แม่พวยก็กลัวว่าสามีจะไปมีเมียใหม่ ก็เลยกินเหล้าจนหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่ในตอนนั้นแม่พวยเองก็กำลังตั้งท้องลูกคนที่สองอยู่ จนในที่สุดเด็กในท้องทนพิษของสุราไม่ไหว จนตายคาท้องของแม่พวย และตัวแม่พวยเองก็ตายตามไปด้วย จนกลายเป็นตำนาน “ผีตายทั้งกลม” หรือ แม่นาคแห่งสุพรรณบุรี”
เรื่องราวความเฮี้ยนมันได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อทุกคนในบ้านของแม่พวยนั้นตายก็หมด บ้านหลังนั้นเลยกลายเป็นบ้านร้างที่ไม่มีใครเข้ามาดูแล เพราะไม่มีใครกล้าเฉียดไปใกล้บ้านร้างนั้นอีกเลย
เขาว่ากันว่าไม่ว่าใครก็ตาม ที่เดินผ่านบ้านแม่พวย ไม่ว่าจะเป็นตอนกลางวันหรือตอนกลางคืน มักจะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้โหยหวนอย่างน่าสงสาร ดังลอดมาจากภายในบ้านร้าง บางคนก็ได้ยินเสียงคล้ายกำลังร้องเรียกหาลูกและสามีที่ทอดทิ้งไปอยู่ไกล
และก็ยังมีเรื่องเล่าอีกว่า มีแม่ค้าขนมหวานที่กำลังพายเรือขายขนมอยู่คนหนึ่ง…ซึ่งแกเพิ่งมาอยู่ที่บางปลาม้าใหม่ ๆ จึงยังไม่รู้ถึงกิตติศัพท์ความเฮี้ยนของผีแม่พวยที่บ้านร้างหลังนี้
ทุกวันป้าแกจะพายเรือผ่านบ้านแม่พวยเพื่อไปขายขนม พอตกค่ำก็พายเรือกลับบ้าน วันหนึ่งขณะพายเรือมาใกล้สะพานท่าน้ำบ้านแม่พวย แกก็เห็นผู้หญิงผมยาว ผิวขาว ท้องแก่ มายืนกวักมือเรียกที่หัวสะพานเพื่อซื้อขนม แกก็ดีใจรีบเอาเรือเข้าไปเทียบ ถามว่า…
“จะรับขนมอะไรจ้ะ” ผู้หญิงคนนั้นก็ว่า “มีอะไรก็ห่อมาเถอะ ฉันไม่ได้กินขนมหวานมานานแล้ว” แม่ค้าขนมจึงจัดแจงห่อขนมให้ แล้วยังได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นบอกอีกว่า” วางขนมไว้ที่ชั้นบันไดนั่นแหล่ะ เดี๋ยวจะลงไปเอา”
“ป้าแม่ค้าขนมหันไปห่อขนมเรียบร้อยจัดวางเรียบไว้บนชั้นบันไดเสร็จจึงเงยหน้ามอง แต่กลับไม่เห็นมีใครอยู่บนหัวสะพาน แกจึงตะโกนเรียกให้มาเอาขนมแต่ก็เงียบ ผิดสังเกตเข้าแกจึงขึ้นบันไดไปดู พอเห็นสภาพบริเวณบ้าน ที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีคนอยู่มานานมากแล้ว หญ้าที่ขึ้นรกทั่วบริเวณหน้าบ้านจนปิดทางเดิน ไม่ว่าจะมองมุมไหน ก็รู้สึกได้เพียงอย่างเดียวว่า นี่เป็นบ้านร้างอย่างแน่นอน พอคิดได้อย่างนั้นแล้ว แกก็รู้สึกขนหัวลุก รีบลงเรือและพายออกไปอย่างรวดเร็วในทันที โดยทิ้งขนมหวานที่ห่ออย่างเรียบร้อยไว้ตรงบันไดท่าน้ำนั้น
บางคนก็ว่ากันว่า วันหนึ่งในตอนกลางวัน บ้านร้างที่ถูกปิดตายมานาน จู่ ๆ ก็ถูกเปิดอ้ารับลม และเห็นผู้หญิงโผล่ออกมาทำความสะอาด ในมือถือไม้กวาดเดินปัดกวาดพื้น แถมยังร้องเพลงอย่างสบายอารมณ์ !!!
เพราะความเฮี้ยนของผีแม่พวย พวกชาวบ้านจึงรวมตัวกันไปนิมนต์หลวงปู่ไข่ที่วัดบางเลน ซึ่งในตอนนั้น หลวงปู่ไข่ เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่เป็นผู้เก่งกล้าทางด้านไสยเวทย์มากรูปหนึ่ง มาช่วยปราบผีแม่พวย
แต่หลวงปู่ไข่ กลับไม่รับนิมนต์ โดยท่านบอกว่า..
“ผีก็อยู่ส่วนผี คนก็อยู่ส่วนคน ในเมื่อคนไปรุกรานถึงบ้านเขาแล้วยังจะให้อาตมาไปขับไล่เค้าอีก มันถูกต้องแล้วรึ ถ้ามีคนมาไล่พวกโยมออกจากบ้านบ้าง โยมจะรู้สึกอย่างไรล่ะ”
ชาวบ้านจึงต้องลาหลวงปู่ไข่กลับ และปล่อยให้ผีแม่พวยปรากฏตัวแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ นานาต่อไป
เรื่องราวความเฮี้ยนของ ผีแม่พวย กลายข่าวโด่งดังมากในตอนนั้น ถึงขั้นหนังสือพิมพ์บางกอกไทม์สมัยนั้นต้องเอาไปทำข่าวเลย จนทำให้สามีของแม่พวยได้รู้เรื่องราวต่าง ๆ จึงคิดที่จะขายบ้านร้างหลังนี้ให้กับคหบดีคนหนึ่ง เพื่อที่เรื่องวุ่น ๆ จะได้ยุติเสียที ซึ่งคหบดีรายนี้ก็สนใจ จึงพาลูกน้องอีกหลายคนเข้ามาดูบ้านร้างหลังนี้
วันนั้นในตอนกลางวัน ระหว่างที่กำลังเดินสำรวจอยู่บนบ้านอยู่นั้น คหบดีกับลูกน้องก็รู้สึกว่า บ้านทั้งหลังกำลังโยกไปมาอยู่ พร้อมกับได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ร้องไห้ครวญครางสะอึกสะอื้น เสียงดังออกมาจากที่ปิดประตู มีฝุ่นละอองอยากไย่ ใส่กุญแจอยู่ภายนอก คหบดีและลูกน้องจึงต้องวิ่งหนีออกจากบ้านอย่างไม่คิดชีวิต
10 ปีต่อมาลูกชายคนโตที่อยู่กับสามีของแม่พวยได้กลับมาเยี่ยมดูบ้านร้างหลังนี้ และได้ตัดสินใจยกบ้านหลังนี้ให้กับวัดบ้านด่าน เพื่อเป็นกุฏิให้พระภิกษุจำพรรษา เพราะอยากจะทำบุญให้แม่ของเขา ซึ่งเค้าหวังว่าบุญกุศลในครั้งนี้จะช่วยส่งวิญญาณแม่ไปภพภูมิที่ดีขึ้น
บ้านร้างของแม่พวยถูกสร้างขึ้นเป็นกุฏิสำหรับพระภิกษุจำพรรษา ที่วัดบ้านด่าน วัดเล็ก ๆ ในอำเภอบางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี และหลังจากถวายบ้านร้างให้วัดแล้ววิญญาณแม่พวยก็ไม่เคยปรากฏหลอกหลอนใครอีกเลย
แต่กุฏิที่สร้างจากบ้านร้างของแม่พวยนั้น ในตอนนี้ถูกปิดตาย เพราะไม่มีพระสงฆ์รูปไหนกล้าที่จะเข้าไปอยู่ เลยสักรูปเดียว
ขอบคุณที่มา หลอนสมอง เรียบเรียงโดยเพจ คลังหลอน