บ้านโบราณ…ที่ไม่ควรยุ่ง

บ้านโบราณ...ที่ไม่ควรยุ่ง
บ้านโบราณ...ที่ไม่ควรยุ่ง

กี่ปีมาแล้วนะ ที่ผมไม่ได้กลับไปบ้านเกิดที่ภาคอีสาน ขณะที่ผมกำลังฟังเพลงลูกทุ่งอีสานในรถไฟฟ้าอยู่นั้นเอง เพื่อนของผมที่ชื่อเบสก็โทรมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น “ปีใหม่นี้กลับบ้านเกิดกันมะ รับรอง วันมะรืนนี้อย่างมันส์” 

ผมที่ได้ฟังดังนั้นก็ดีใจสุดตัง เพราะปีใหม่ที่ผ่านมา แทบไม่ได้ทำอะไรเลย พ่อแม่ผมก็ย้ายบ้านมาขายส้มตำที่กรุงเทพแล้ว เลยไม่มีบ้านให้กลับไป แฟนก็ไม่มี แต่พอเจ้าเบสชวน ผมก็รีบตกลงไป เพราะบ้านเบสมันรวยน่ะสิ พ่อเป็นกำนันแถมยังเป็นเจ้าของโรงงานอีก จัดงานเลี้ยงทีไรก็จัดซะใหญ่โต รำวง แดนเซอร์ นักร้องลูกทุ่งและหนังกลางแปลงก็ยังจ้างมาได้ ผมนี่อยากไปร่วมงานจริง ๆ เลย

เจ้าเบสมันแทบไม่เคยติดต่อผมเลย เพราะสัญญาณโทรศัพท์ไม่ดี แถมโทรศัพท์มันพังบ่อยอีก ผมที่เปิดร้านซ่อมโทรศัพท์เวลาเห็นมันมากรุงเทพทีไรชอบเอามาซ่อมตลอด แต่เมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนช่วงปีใหม่มันก็มาหาผมเพราะโทรศัพท์มีปัญหาเรื่องแบตเสื่อม พอเปลี่ยนแบตก็ดีขึ้น แต่พอเปลี่ยนแบตมันก็ชวนดูภาพแปลก ๆ คือมันถ่ายภาพติดบ้านโบราณในหมู่บ้านมัน ถ้าดูผ่าน ๆ ก็นึกว่าบ้านของชาวบ้านธรรมดา แต่ที่แปลก ๆ คือเจ้าเบสมันบอกว่าบ้านนี้ร้างตั้งแต่ยุค ร.5 ละ ซึ่งหมายความว่ามันร้างมาร้อยกว่าปีแล้ว ไม่เคยมีใครแตะมันเลย ขนาดนายทุนฝรั่งที่คิดจะเปลี่ยนแปลงพื้นที่บ้านนี้ให้เป็นโรงงาน ยังโดนใครไม่รู้หลอกหลอนจนเผ่นป่าราบกันเลย ชาวบ้านต่างก็ลือกันให้แซ่ดแล้วห้ามไม่ให้ลูกเล็กเด็กแดงไปเล่นแถวบ้านหลังนั้นอีก 

พอมันถ่ายรูปตัวเองกับเพื่อนฝูง พื้นหลังที่เป็นบ้านโบราณนั้นมีเงาใครไม่รู้สีขาว ๆ ตรงชานบ้าน ใส่ชุดเหมือนคนไทยโบราณ มันก็เลยกลัว ๆ แถมพอหลังจากถ่ายเสร็จแบตก็เสื่อมเลย ผมที่กลัวเรื่องนี้มาก ๆ จึงไม่ซักถามอะไรเพิ่มเติมอีก

ช่วงปีใหม่ ผมก็กลับบ้านไปหาปู่ย่าตายายที่บ้านเกิดผม ผมขับรถเก๋งสีน้ำเงินสุดโปรดของผมไปยังหมู่บ้านของมัน มันก็ต้อนรับผมอย่างดีแม้ผมจะตกใจกับเสียงลำโพงดังตุ้ม ๆ กับเสียงนักร้องลูกทุ่งตะโกนเรียกเสียงจากผู้ชมก็ตาม ลานหน้าบ้านของเจ้าเบสมันกว้างมาก กว้างพอที่จะจัดงานเลี้ยงโต๊ะจีนตรงหน้าบ้านได้ แถมยังมีที่ว่างพอที่จะตั้งเวทีให้นักร้องมาร้องอีก บ้านมันนี่เป็นบ้านกำนันหรือบ้านมหาเศรษฐีฟะเนี่ย

หลังจากวันปีใหม่ ช่วงวันที่ 2-3 ผมก็เก็บของเตรียมจะกลับกรุงเทพ ซึ่งกลับกรุงเทพก็วันที่ 4 เลยยังไม่ได้ไปไหน ก็เลยนอนดูทีวีมันซะเลย พอดูเบื่อ ๆ ก็เปิดโทรศัพท์อ่านข่าวเอา แต่พอดูเวลา นี่มัน 1 ทุ่มแล้วนี่หว่า ผมดูทีวีเพลินไปไหมเนี่ย ขณะนั้นเอง เจ้าเบสก็โทรมา ท่าทางตื่นเต้นมากเลย แล้วบรรยากาศช่วงมัธยมมันก็กลับมา

เจ้าเบสมันโทรมาบอกว่า “ไปสำรวจบ้านหลังนั้นกันพวก” ผมนี่ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก ไม่นึกว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้น ถึงได้กลับไปซ่าเหมือนตอนมัธยม ผมนี่กุมขมับเลย “นี่เมิงจะบ้าหรอ สำรวจบ้านทำไมวะ ยุงก็เยอะ หญ้าก็รก อันตรายรอบบ้านทั้งนั้น!” ผมตวาดเจ้าเบสด้วยเสียงอันดัง จนยายผมที่กำลังกินมะม่วงข้าง ๆ ผมถึงกับหันมามอง 

“หัดโตเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว ไม่ใช่เอะอะก็จะล่าผี นี่ตอนมัธยมยังไม่เข็ดรึไง ที่เคยโดนงูไล่กัด แล้วเป็นไง เมิงก็เลิกซ่าไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงได้มาซ่าอีกรอบเนี่ย พอเหอะ!” ผมตวาดไปพร้อมเดินออกจากบ้านไป แม้ผมจะด่ามันด้วยท่าทีที่ไม่พอใจ แต่ใจลึก ๆ แล้วผมอยากกลับไปเป็นแบบนั้นอีกรอบ มันทั้งสนุกและหวาดเสียว มันเป็นช่วงเวลาที่น่าคิดถึงจริง ๆ

 ผมรีบขับรถยนต์ไป เจ้าเบสก็บอกพิกัดบ้านร้างให้ พอผมไปถึง ก็เห็นเพื่อนสนิทเก่าอีก 2 คน คือ โจ และ เอก แต่สิ่งที่ผมแปลกใจคือ ทั้งสามคนไม่ได้ขับรถอะไรมาเลย ทั้ง ๆ ที่ระยะทางจากบ้านพวกมันถึงบ้านหลังนี้ก็ห่างกันพอสมควร ถ้าไม่ขี่มอไซค์มาก็เตรียมขาลากได้เลย คง้พราะพวกมันอยู่มานานแล้ว เลยเดินกันจนชิน ตอนเด็ก ๆ พวกเราก็เคยไปเล่นน้ำที่คลองซึ่งห่างจากบ้านพวกมันมากกว่านี้อีก ผมเลยไม่เอะใจ เพราะผมก็เคยไปด้วย แต่ด้วยความที่อยู่กับเทคโนโลยีจนสบาย เลยทำให้ผมเดินไปไหนมาไหนได้ไม่ไกล

พอพวกเราเข้าไปในบ้านร้าง ก็พบว่าฝุ่นจับตัวที่พื้นบ้านหนามาก ใบไม้แห้งปลิวมาจนแทบจะปิดบ้านจนมิดแล้ว กิ้งกือ ตะขาบ แมงป่องเดินไต่กันยั้วเยี้ย เอกซึ่งเป็นคนไม่กลัวอะไร มันใช้กิ่งไม้ยาว ๆ ตรงพื้นบ้านมาเขี่ย เลยทำให้เดินสะดวกขึ้น พอผลักประตูเข้าไป พบว่ามีมีดเล่มหนึ่งวางอยู่บนพื้น สนิมเขรอะมากจนมันแทบจะหักได้ถ้าออกแรงหักใบมีดมากพอ และที่แปลกคือข้าวของในบ้านถูกค้นรื้อกระจาย บ้างก็มีดาบปักตรงตู้ไม้ บ้างก็มีไหแตกบนพื้น มีสร้อยทองหลายเส้นวางอยู่บนพื้น มีแหวนทองอีกเก้าวงอยู่ใต้ซอกตู้กับข้าว เสื้อคอกระเช้า สไบและโจงกระเบนวางระเกะระกะเต็มไปหมด มีรอยฟาดฟันบนผนังบ้านไม้นี้เต็มไปหมด และเมื่อมองรอบตัวบ้านให้ดี ๆ นี่ไม่ใช่บ้านไม้ธรรมดา แต่เป็นบ้านไม้หรูเลยทีเดียว เพราะมีเครื่องชามสังคโลกตกแตกเต็มพื้นไปหมด แถมสร้อยทองปริศนาที่ไม่เคยมีใครขโมยไปมาก่อน

และแล้วโจก็ร้องออกมา เบสก็โวยวายไปตามกัน เมื่ออยู่ดี ๆ เอกหายตัวไป หายไปแบบไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงกิ่งไม้ยาว ๆ บนพื้นบ้าน เบสรีบวิ่งออกไปดูที่รถ ก็ไม่เห็นมีร่างของเอกเลยสักนิด แม้แต่เงาก็ไม่เห็น เจ้าเบสกลับมาด้วยสีหน้าโมโหสุดขีด ทั้งตะโกนด่าว่าเอกนั้นขี้ขลาด ทิ้งพวกเราแล้วหนีไปเฉยเลย ผมและโจเลยปลอบใจให้มันเย็นลงแล้วค่อยเดินต่อ 

ขณะที่ผมเดินไปนั้นเอง สายตาก็เหลือบไปมองกระจก กระจกฝุ่นหนาแน่นมากจนมองไม่เห็นอะไรเลย ผมลองใช้มือปัดฝุ่นดู และผมก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อโจที่ยืนอยู่ข้างผมไม่มีเงาบนกระจก ขณะที่ผมหันมาหาโจนั้นเอง โจก็หายไป ผมถึงกับกระโดดถอยหลังไปเลย โจหายไปไหน หรือจะโดนกระจกดูดเข้าไปแล้ว ขณะที่ผมกำลังกุมขมับเรียกสติคืนอยู่ เบสก็บ่นว่าไอ้โจมันหนีไปอีกคนแล้ว ไม่แน่จริงนี่หว่า

ผมได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งจากข้าง ๆ ตัวผม สร้อยทองนับสิบเส้นถูกรวบรวมไว้ในมือของคนที่ไม่เห็นตัวตน และแล้วก็มีเสียงมีดปักพื้นไม้ เมื่อลองสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ามีรอยมีดปักไม้โผล่ขึ้นเต็มไปหมด เสียงหัวเราะอันน่าเกรงขามดังกึกก้องไปทั่วบ้าน เสียงฝีเท้าอันหนักอึ้งชวนผมขนหัวลุก ผมถึงกับนั่งคุกเข่าสวดมนต์ไปมั่ว ๆ เพราะไม่มีสติพอที่จะสวดได้ถูกต้อง 

แต่ความน่ากลัวถึงขีดสุดมันมาอยู่ตรงนี้ เบสเริ่มตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ แถมเสื้อที่มันใส่กลับหายไป กางเกงยีนขาด ๆ คู่ใจของมันก็เปลี่ยนเป็นโจงกระเบนสีน้ำตาล ในมือถือดาบยาวเฟื้อยแทบจะทิ่มหัวผม ทันใดนั้นร่างคนโบราณทั้งสองก็ปรากฎขึ้น ทั้งสองเปลี่ยนหน้าตาจากโจและเอกเป็นใบหน้าชายโบราณอันโหดเหี้ยม ทั้งสามคนเงื้อมือที่ถือดาบเล่มยาวจะมาปักตัวผม 

“เมิงตัวใหญ่สุดในบ้านนี้ ดูสิ ตัวของเมิงล่ำสันกว่าคนในบ้านนี้มากนัก บ้านนี้หาคนตัวใหญ่อย่างเมิงมิได้เลย น่ากินจริง ๆ” เสียงดุดันและเยือกเย็นของทั้งสามคนเสียดแทงเข้ามาในหัวใจผม ผมกลัวจนเหงื่อแตกพลั่ก ๆ ขาสั่นอย่างกับเจ้าเข้า ลมเย็นโชยพัดมาอย่างแรง ” คิดว่าตูปลอมตัวเป็นคนยุคนี้มิได้งั้นหรือ ตูเรียนรู้มาตั้งแต่ตอนตาย หลอกล่อคนมากินนักต่อนักแล้ว คนฉลาดเขามิย่างกรายเข้ามาเรือนหลังนี้กันดอก ฮ่า ๆๆ” ผีตนหนึ่งพูดออกมาด้วยสีหน้าเย้ยหยัน หลักจากนั้นไม่นานทั้งสามก็ทิ้งมือจะเอาดาบปักตัวผม ผมกลัวมากจนฉี่ราด

แต่แล้วก็มีแสงสว่างในความมืด พระธุดงค์ที่เดินผ่านมาท่านเดินเข้ามาในบ้านพร้อมรัศมีที่เปล่งปลั่ง ผีทั้งสามตนกลัวพระธุดงค์มากจนถอยกรูดไป ผมรีบวิ่งไปหาท่านโดยไม่ได้ถามไถ่ ตอนนั้นผมร้องไห้พูดภาษาไม่เป็นคน พระธุดงค์เหมือนจะเข้าใจ ผีทั้งสามตนเกิดฮึดอะไรไม่รู้ขึ้นมา หนึ่งในนั้นรีบเอาดาบฟันท่านอย่างหนักหน่วง แต่แล้วผีตนนั้นก็ปล่อยดาบออกจากมือไป พร้อมร้องร้อน ๆ แล้วรีบจับข้อมือผีที่เหลือกระโดดออกจากบ้านไป

ผมที่ดูเหตุการณ์นั้นก็แทบจะเป็นลม แต่ดีที่พระธุดงค์ท่านนำยาดมสมุนไพรให้ผม ผมจึงรีบสูดมันเข้าปอดหลายเฮือกจนได้สติ แว้บแรกที่เข้าสมองผมเลยก็คือ ท่านเป็นผีหรือเปล่า เพราะหนังผีที่เคยดู พระธุดงค์ที่มาช่วยปราบผีมักจะเป็นผีแถวนั้นเหมือนกัน ผมเลยยังไม่กล้าเข้าใกล้ตัวท่านมากนัก เหมือนท่านอ่านใจออก จึงถอนหายใจแล้วยิ้มให้ “อาตมาไม่ใช่ผีหรอก แหม ดูหนังจนเพี้ยนไปแล้วล่ะมั้ง เออเว้ย โยมโชคดีละที่ไม่โดนผีจับไปกิน เพราะบ้านหลังนี้อาตมาเคยได้ยินว่าเศรษฐีเจ้าของบ้านนี้เป็นคนรวย มีเมียสุดสวยและคนใช้หลายคน แต่วันหนึ่งดันโดนโจร 3 คนปล้นบ้าน มันฟันไม่เลือกหน้าแล้วขโมยของไป แต่ดันเกิดแตกคอ โลภอยากได้ของกันเอง จึงไล่ฟันจนตายกันไปข้าง พอเป็นผีดันสามัคคีเฉยเลย รวมหัวปลอมตัวเป็นเพื่อนมิตรหลอกคนมากินจนเป็นที่เลื่องลือ ไม่มีใครมาแตะบ้านหลังนี้เลย ทีหลังก็ระวังไว้ละกันนะโยม”

พระธุดงค์ท่านเล่าจบ ก็พาผมไปส่งบ้านเบส ผมงงว่าท่านรู้ทางไปบ้านเบสได้อย่างไร ไม่ทันที่ผมจะถาม ท่านก็เรียกเบสที่กำลังนอนหลับเต็มอิ่ม มันตื่นมากลางดึกด้วยความงัวเงีย เมื่อมาเปิดประตูหน้าบ้านมันก็เกาหัวแกรก ๆ และก้มลงกราบท่านทันที ถึงได้รู้ทีหลังในวันรุ่งขึ้นว่าท่านนั้นเป็นปู่ของเบส และได้รู้ในสิ่งที่ทำให้ผมตกใจคือ เมื่อคืนโจกับเอกกำลังเล่นเกมอยู่บ้าน ไม่ได้ออกไปไหนเลย และชาวบ้านแถวนั้นก็ยังบอกอีกว่าเมื่อคืนผมเดินเข้าบ้านร้างนั่นไปคนเดียว ไม่มีเพื่อนฝูงอะไรเลย ผมถึงกับขนลุกเกรียวอีกรอบ และแล้ว ผมก็ไม่เคยไปบ้านหลังนั้นอีกเลย แม้จะไปเที่ยวหาเบสบ่อย ๆ ก็ตาม ส่วนรถเก๋งสีน้ำเงินคันนั้น ตอนที่ผีเบสออกไปตามหาผีเอก ผีเล่นใช้ดาบเจาะยางแถมยังฟันเป็นรอยเต็มรถทิ้งไว้อีก จนตอนนี้ผมเปลี่ยนรถคันใหม่แล้ว ส่วนคันเก่าก็ทิ้งไว้ที่บ้านของตายาย ให้ตาใช้เพราะตาไม่กลัวผี

ขอบคุุณที่มาสมาชิกพันทิปหมายเลข 4500170

Previous articleยุติการเผยแพร่
Next articleยุติการเผยแพร่