รถด่วนขบวนที่ ๑๗๑

รถด่วนขบวนที่๑๗๔
รถด่วนขบวนที่๑๗๔

ปู๊นนนนนนนนนนน  ปู๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน… เสียงหวูดรถไฟชั้น3  ขบวนที่ 171 กรุงเทพ-สุไหงโกลก ดังกระหื่ม เมื่อเริ่มเคลื่อนขบวนออกจากสถานีรถไฟหัวลำโพงในยามบ่ายคล้อย ผู้โดยสาร  ตั้งแต่คนแก่เฒ่าไปยันเด็กใหญ่เด็กน้อย  ล้วนแออัดแน่นขนัดเต็มโบกี้ ถึงแม้ผมจะตีตั๋วนั่งมาตั้งแต่สถานีต้นทาง แต่เมื่อเห็นผู้เฒ่าผู้แก่หิ้วเด็กพร้อมของพะรุงพะรังขึ้นมายืน  ตัวผมผู้อยู่ในชุดกะลาสีทหารเรือก็เลือกที่จะเชื้อเชิญให้ผู้ที่อ่อนแอกว่ามานั่งแทนที่ เฉกเช่นทหารทั่วไปที่พึงกระทำ

สำหรับหลายๆคนแล้ว  ทั้งชีวิตอาจจะปฏิเสธการขึ้นรถไฟชั้น3โดยสิ้นเชิง แต่สำหรับคนจน  ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศแล้ว รถไฟชั้น3 คือการเดินทางที่ประหยัด และปลอดภัยมากที่สุดสำหรับพวกเขา ตัวผมเองก็เช่นกัน

นอกจากความประหยัดแล้ว  ผมก็มีเหตุผลส่วนตัวที่ชอบรถไฟชั้น3  เพราะผมเป็นคนเมารถ  ซึ่งรถไฟช่วยผมได้ในเรื่องนี้ อีกทั้งผมชื่นชอบความสุขจากทัศนียภาพแบบสัมผัสได้  จากการยื่นหัวออกไปสูดอากาศได้ทุกจังหวัดที่รถไฟวิ่งผ่านไป มากกว่าการซุกตัวอยู่นิ่งๆบนรถทัวร์  แล้วก็หยิบถุงมาใส่อ้วกตัวเองให้เป็นที่รังเกียจแก่คนรอบข้างที่ร่วมเดินทาง

รถไฟเคลื่อนตัวช้าๆผ่านแต่ละสถานีต้นทาง 2 ข้างทางล้วนเต็มไปด้วยต้นกระถินและมะขามเทศ  ที่ยื่นกิ่งก้านเข้ามาใกล้หน้าต่างรถไฟ มากพอที่ผมจะเอื้อมมือไปเด็ดยอดกระถินมาเคี้ยวกินแก้เบื่อได้พลางๆ

ผมยืนเกาะตรงช่องบันไดของโบกี้  เพราะได้สละเก้าอี้ให้คนแก่ที่ขึ้นมายืนไป การยืนสำหรับผมไม่ใช่ปัญหา เพราะการฝึกทั้งวันอันหนักหน่วง  ซ้ายขวาซ้าย แบกปืน  ปลย.88 ฟันเฉียงจนชิน  ทำให้ขาและแขนแข็งแรง  และการได้ออกไปทำงานนอกด้วยการเหวี่ยงเครื่องตัดหญ้าหรือมีดพร้า  ตัดหญ้าถางพง   กวาดใบไม้ในสนามกอล์ฟ  ทร. ยิ่งทำให้แข็งแกร่งขึ้นไปอีก คงเป็นแผนการฝึกทหารทหารอันแยบยล

เผื่อเวลาไปรบในสนามจริง  เกิดกระสุนหมด  เราจะได้คว้ามีดพร้าที่เหวี่ยงหญ้าไปรบแบบยุคบางระจันได้อย่างคล่องตัว

เมื่อรถไฟผ่านราชบุรี  โบกี้เริ่มว่าง  เพราะผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นผู้เดินทางระยะสั้น ผมเดินกลับเข้าไปในโบกี้  สอดส่ายสายตา  พบที่ว่างตรงกลางโบกี้พอดี  มีคนนั่งอยู่3คน  ผมเข้าไปถามขอนั่งได้ไหมครับ เขาบอก เชิญเลยทหาร  ผมส่งยิ้มก่อนจะเหวี่ยงกระเป๋า  ขึ้นไปยัดไว้บนชั้นวางของ  ผมนั่งพิงเอนหลังหลับตา รถโคลงเคลงครึ่กคลั่กในบางครั้ง จนร่างสั่นสะเทือนในบางที  

เมื่อรถไฟจอดตามสถานี  บรรดาพ่อค้าแม่ค้าก็จะพากันเดินขึ้นมาร้องป่าวขายสินค้าตามแต่ท้องถิ่นนั้นๆ

อย่างราชบุรี  ก็จะมีพวกมะขามเทศ  เพชรบุรีก็จะมีขนมหม้อแกง  สุราษฏ์ธานีก็จะมีไข่เค็มไชยาเป็นตัวชูโรง แต่ข้าวเหนียวไก่ย่าง  ก๋วยเตี๋ยวแห้ง  หรือข้าวต้ม  น้ำดื่ม  เหมือนจะเป็นอาหารที่มีขายแทบทุกสถานีไป

รถเคลื่อนผ่านสถานีชะอำ  ฟ้าค่ำจนมองไม่เห็นดาว  เหมือนท้องฟ้าจะครึ้มๆจากเมฆฝนที่ก่อตัว  บางครั้งมีละอองฝนโปรยลงมา ขณะที่ขบวนรถที่ยาวเหยียด  วิ่งห้อฝ่าความมืดและป่ารกข้างทางเสียงดัง ฉึกฉัก  ฉึกฉัก  ตอนนี้โบกี้ที่ผมนั่งมา  คนหายไปเกือบหมด  เหลือคนนั่งห่างๆกัน จนสามารถนอนเหยียดเท้าไปอีกที่นั่งได้สบายๆ  นานๆครั้งจะมีตำรวจรถไฟเดินตรวจตราผ่านมา

ผมเริ่มง่วงและเพลีย  จึงเอนกายเหยียดเท้าข้ามไปที่นั่งอีกฝั่ง  นั่งหลับอย่างสบายใจ  บางครั้งผมก็ปรือตาขึ้นมามองบ้าง ทุกๆคนที่เหลืออยู่ในโบกี้ก็ล้วนพากันหลับหมด  มีเพียงบางคนที่ตื่นขึ้นมากินของกินเสียงดังอยู่กอบแกบ เสียงบนรถไฟยามค่ำนั้น  มันเป็นความเงียบที่ตั้งอยู่บนเสียงคลึงคลัง  ของอาการสั่นจากขบวนรถไฟ  ซึ่งก็จะมีเพียงเท่านั้น

อากาศเริ่มหนาว  ผมกอดตัวเองหลับไปและตื่นขึ้นอีกครั้ง  เมื่อรู้สึกว่ารถไฟหยุดนิ่งอยู่กับที่  ผมชะโงกออกไปมองหาป้ายสถานี พบว่าขบวนรถไฟมาถึงประจวบแล้ว  มีผู้โดยสารบางคนเดินขึ้นและลงจากขบวน  เสียงใสๆของใครคนนึงดังมาจากด้านหลังผม

“พี่ทหารขอนั่งด้วยได้ไม๊คะ”

ผมหันกลับไปมอง  เป็นผู้หญิงหน้าตาหมวย  ผิวขาว  ผมสั้นเลยติ่งหูมาเล็กน้อย  แต่งกายด้วยชุดลูกฟูกฟูฟ่องสีขาว  กระโปรงกรอมไปถึงเท้า ถึงผมจะยัง งงๆ เพราะที่นั่งอื่นก็เหมือนจะว่างๆทำไมเธอไม่ไปนั่ง  แต่ผมก็ยอมยกเท้าตัวเองออกให้เธอมานั่งฝั่งตรงข้าม

เธอมานั่งลงตรงข้ามผมติดหน้าต่าง   เอากระเป๋าที่น่าจะเป็นงานแฮนด์เมด  เหมือนจะเป็นกระเป๋าถักวางลงข้างๆตัว กลิ่นน้ำหอมของเธอหอมฟุ้ง  ผมคิดในใจว่าหอมดีจัง  แต่ไม่กล้าพูดออกไป  ได้แต่ลอบมองหน้าสวยๆของเธอ  ที่มองออกไปนอกหน้าต่าง

เธอเริ่มชวนผมคุย  ว่าผมเป็นใคร  ชื่ออะไร  มาจากไหน จะไปไหน  แล้วเธอก็แนะนำตัวเองเสร็จสรรพ  ว่าชื่อมะลิ  กำลังจะเดินทางไปทุ่งสง 

สาเหตุที่เลือกมานั่งกับผม  ทั้งที่ตรงอื่นว่าง  เธอบอกว่า  เพราะเธอกลัวเรื่องความปลอดภัยของตัวเอง เนื่องจาก  เห็นว่าในโบกี้  มีบรรดาขี้เมา และหน้าตาไม่น่าไว้วางใจนั่งอยู่หลายคน  

ผมชี้ตัวเองถามเธอ  แล้วหน้าแบบผมดูน่าไว้ใจหรือ  เพราะหน้าผมก็พอๆกับพวกเขาเช่นกัน  เธอฉีกยิ้ม  จนเห็นฟันเรียงสวยเป็นระเบียบแล้วบอกว่า “ก็เพราะเห็นผมใส่ชุดกะลาสีทหารเรืออยู่ ทหารย่อมปกป้องช่วยเหลือประชาชนจริงไหม”  

ผมยิ้มตอบ  บทสนทนาของเราเป็นไปอย่างถูกคอ  พูดจบแล้วผมก็พยายามหาเรื่องมาคุยต่อ  เพราะชอบในความสวยและการพูดจาที่น่ารัก เป็นกันเอง  ไม่ถือตัว  โอกาสที่จะได้สนทนากับสาวสวยแบบตัวต่อตัว  มันไมได้หาง่ายนักสำหรับผม ทั้งขบวนเลยดูคล้ายเหมือนจะมีแค่ผมกับเธอเพียงสองคนกลายๆ เพราะมีแต่เสียงของผมกับเธองึมงำตลอดทาง จนเธอออกอาการเริ่มง่วง  และนั่งกอดอกตัวเองเอาศีรษะพิงกับมุมผนังโบกี้เพื่อจะหลับ เหมือนเธอจะหนาวผมเลยยื่นเสื้อคลุมที่มีอยู่ตัวเดียวไปให้  บอกให้เธอห่มท่อนบนแก้หนาว  เธอขอบคุณและรับเสื้อไป 

ผมนั่งมองเธอหลับ  บางจังหวะเธอปรือตามามองผม  แล้วก็ยิ้มปนเขินถามผมว่าจะนั่งแลอะไรนักหนานิ  เขิน ผมเองก็เขินพอถูกเธอทัก  ผมก็เลยทำทีเป็นหลับ แล้วก็หลับไปจริงๆ รู้สึกตัวอีกครั้ง เมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัวออกจากสถานีชุมพร  ผมปรือตาขึ้นมา เห็นมะลิหลับ  

ผมมองผ่านมะลิไปด้านหลัง  ตรงที่นั่งที่ติดห้องน้ำ  จากเดิมที่มันว่าง เพราะเป็นจุดที่คนไม่ค่อยนั่งเนื่องจากเหม็นกลิ่นในห้องน้ำ ตอนนี้  มีร่างของใครบางคน  ผมยาวกระเซอะกระเซิง  แต่งตัวมอมแมม  ไม่ต่างจากขอทาน  นั่งตัวตรงมองมาทางผม

ผมมองไม่เห็นดวงตาของเขาเพราะผมปรกหน้า  แต่จากรูปร่าง  คงจะเป็นผู้ชาย เพราะเห็นมัดกล้าม  ที่มีรอยสัก  โผล่ออกมาจากเสื้อแขนสั้นตัวนั้น

ผมแปลกใจว่าเขาโผล่มานั่งตรงนั้นตั้งแต่ตอนไหน  และไม่ไว้ใจในตัวเขาคนนั้นเท่าไหร่นัก  ด้วยเหมือนเขาจ้องมองมาที่ผมเพียงคนเดียว หรือบางทีเขาอาจจะกำลังจ้องมองมะลิก็เป็นได้  ผมไม่กล้าหลับสนิท   ทำตัวเป็นยามเฝ้าสาว ผมนั่งหลับตาก็จริง  แต่ก็ปรือๆตาคอยมองชายคนนั้นอยู่ตลอด  เขานั่งนิ่งไม่ไหวติงถึงแม้รถไฟจะโคลงเคลง ผมรู้สึกขนลุก  ผมหันไปมองผู้โดยสารคนอื่นๆ  ทุกคนอยู่กันครบ และพากันหลับหมด  มีเพียงผมที่นั่งมองชายข้างห้องน้ำคนนั้น  และเขาก็มองมาทางผมเช่นกัน

เสียงหวูดรถไฟดังมาเป็นระยะในบางที  สลับเสียงครึ่กคลั่กของล้อรถไฟ  ผมเผลอหลับไปแล้วสะดุ้งตื่นอีกครั้ง ผมมองไปตรงที่นั่งติดห้องน้ำ  ชายคนนั้นหายไปแล้ว  ผมตกใจ เอ๊ะ!!ไปไหนแล้ว  ผมลุกขึ้นชะเง้อมองหา  แต่ก็ไม่พบชายผมรุงรังคนนั้น

มะลิ  รู้สึกตัว  เธอถามผม  “มีอะไรหรอ พี่ทหาร” ผมชี้ไปยังที่นั่งติดห้องน้ำบอกว่า “เมื่อสักครู่ก่อนเผลอหลับ  ผมเห็นว่ามีผู้ชายผมยาวรุงรัง  แต่งตัวซอมซ่อ  นั่งมองมาทางเราตลอด แต่ตอนนี้หายไปแล้ว”   มะลิหันไปมอง  เธอบอก  “ผู้โดยสารทั่วไปหรือเปล่า  เขาอาจจะย้ายโบกี้ตอนพี่หลับไปนะ” ผมเลยลุกขึ้นเดินไปดูที่โบกี้ติดกัน  ก็ไม่เจอผู้ชายคนที่ว่า ผมกลับมานั่ง  มะลิถามผม  ผมบอกไม่เจอ  ไม่รู้ใช่คนไหม   มานั่งตอนไหนก็ไม่รู้  มะลิบอกไม่มีอะไรหรอกมั้ง  พี่วิตกไปเอง

พอตื่นมาหนนี้  ผมก็ไม่รู้ว่าตอนนี้รถไฟมาถึงแถวไหนแล้ว  เพราะข้างนอกมันมืดและเต็มไปด้วยต้นไม้ข้างทางใหญ่น้อย เห็นมะลิตื่นอยู่  ผมเลยชวนเธอคุยสัพเพเหระไปเรื่อย  ใจจริงอยากจะขอเบอร์โทร  แต่ก็ไม่กล้าพอ  อีกทั้งผมเองก็มีแฟนแล้ว ได้แต่ชวนคุย  พอคุยเผลอๆชี้มือชี้ไม้  ชวนกันดูอะไรนอกหน้าต่างไปเรื่อย   

ผมหันกลับมามอง  ผ่านหูมะลิไป ผมสะดุ้ง  เพราะผู้ชายคนที่ผมตามหา  เขากลับมานั่งที่เดิม แล้วมองมาทางผมเหมือนเช่นเคย  ผมขนลุก  เพราะร่างที่นั่งอยู่นั้น  เขานิ่งและทื่อมากจริงๆ  มะลิมองหน้าผม “ เป็นอะไรอีกพี่” ผมพูดบอกเธอเบาๆ  ว่า “ชายคนนั้น  นั่งตรงนั้น ตอนนี้และมองมาทางเราอีกแล้ว” มะลิ  หันไปมองช้าๆ  ก่อนจะหันมาตีหน้างงใส่ผมว่า “ไหน  ไม่เห็นมีใครเลยพี่”

ผมยืนยันกับเธอว่ามี  ตอนนี้ก็ยังนั่งมองมาอยู่   มะลิหันไปมองอีกครั้งแล้วก็ยังยืนยันว่าเธอไม่เห็นใครตรงนั้นเลย แต่สายตาผมเองก็ยืนยันว่าเขานั่งอยู่  มะลิบอกให้ผมเดินไปดูใกล้ๆ  ผมกลัวจึงปฏิเสธไม่ยอมไป

ผมเคยเจอเรื่องลี้ลับพวกนี้มามาก  แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีผีสางตนใดกล้ามาหลอกกันบนรถไฟ  กลางคนที่นอนอยู่มากๆแบบนี้

มะลิคงเห็นในความกระวนกระวายขลาดกลัวของผม  เธอเสนอ สลับที่นั่งกันไหม ผมบอก “ไม่เป็นไร  หลอกได้หลอกไป  ไม่มาใกล้ก็พอ”  มะลิบอก  “หลับเถอะพี่   ไม่ต้องไปกลัวหรอก  คนเยอะแยะ” ผมพยักหน้า  และผลอยหลับไปอีกครั้ง

ผมรู้สึกตัวอีกที  ลืมตาขึ้นมา  อ้าว…มะลิไม่อยู่แล้ว  เธอคงลงจากรถไประหว่างที่ผมหลับอยู่ ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มจะสว่าง นี่รถไฟคงวิ่งผ่านทุ่งสงมาไกลแล้ว ผมรู้สึกเสียดายมาก  ที่ไม่ได้ร่ำลามะลิ  เสื้อของผม  ถูกวางกองไว้ตรงจุดที่มะลินั่ง  

ผมยิ้มคนเดียว  มองไปตรงที่นั่งข้างห้องน้ำ  ก็ไม่มีผีผู้ชายตนนั้นแล้ว  ผมโล่งใจ  ผู้โดยสารบางส่วนเริ่มตื่นงัวเงียมานั่งพูดคุยกัน 

เมื่อรถไฟมาถึงสถานีพัทลุงในยามเช้า  ผู้ชายคนนึงเดินมาจากด้านหลังผ่านด้านข้างผมไป ผมตกใจ   เขาหันมายิ้มให้ผม ก่อนจะบอกผมว่า “หลานบ่าว  ถึงบ้านแล้ว  ไปทำบุญให้อีสาวเมื่อคืนมั่งนะ  น้าเห็นมืงนั่งคุยกับซากศพเน่าเฟะทั้งคืนเลย  พอมืงหลับ  น้าเห็นมันลอยพรวดออกไปทางหน้าต่างรถไฟก่อนถึงทุ่งสงนั้น  นี้น้าก็นั่งเล็งมันทั้งคืนเลย  กลัวมันจะทำอะไรมืง  จะได้ช่วยทัน”

แล้วผู้ชายผมยาวแต่งตัวซอมซ่อคนนั้น  เขาก็เดินลงรถไฟ ไปปล่อยผมให้นั่งอึ้งอยู่เพียงคนเดียวจนสิ้นสุดการเดินทางด้วยรถไฟชั้น3 ขบวนที่174 ที่ผมจำไม่เคยลืม.

ขอบคุณที่มา สมาชิกพันทิปหมายเลข 3928237 

เรียบเรียงโดย คลังหลอน

Previous articleยุติการเผยแพร่
Next articleยุติการเผยแพร่