เหตุการณ์เกิดขึ้นที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง ในจังหวัดระยอง เมื่อหกปีที่ผ่านมา ตอนที่คุณต้นเรียนอยู่มหาลัยปีสอง ได้มีโอกาสทำกิจกรรมรับน้อง คุณต้นเป็นหัวหน้าของฝ่ายรักษาความปลอดภัย และได้ไปจัดกิจกรรมกันที่รีสอร์ทแห่งนี้ ทางพวกปีสองก็ได้เดินทางไปกันก่อน ชุดแรกที่ไปมีห้าคน รวมคุณต้นด้วย รีสอร์ทแห่งนี้ จะตั้งอยู่เดี่ยวๆ เป็นรีสอร์ทที่ใหญ่มาก ในบริเวณนั้นจะไม่มีบ้านคนเลย
พอคุณต้นและเพื่อนๆไปถึง ก็ตกลงกันว่าจะไปไหว้ศาลก่อน แต่เดินหาจนทั่วรีสอร์ทก็ไม่เจอ สุดท้ายจึงเดินไปถามผู้ดูแล ผู้ดูแลบอกว่า “หันหน้าไปทางวัด แล้วไหว้เอาละกัน” พร้อมชี้มือไปทางภูเขาข้างๆรีสอร์ท
คุณต้นก็เอะใจขึ้นมา รีสอร์ทใหญ่มากๆ แต่ไม่มีศาล จึงได้ไปเตรียมของ เดินดูสถานที่ จนเวลาประมาณสองทุ่ม คุณต้นและเพื่อนๆก็เดินสำรวจเส้นทางที่จะให้น้องๆมาทำกิจกรรม
เป็นทางเดินเล็กๆ สองข้างทางจะเป็นป่า ข้างหน้าจะเป็นภูเขาที่มีวัดอยู่ ก็เดินขึ้นเนินกันไปอีกสักพัก จนไปเห็นบันไดเยื่องๆไปทางซ้ายมือ ก็คิดว่าน่าจะเป็นบันไดขึ้นวัด คุณต้นและเพื่อนอีกหนึ่งคนก็เดินขึ้นไปสำรวจดูก่อน
พอเดินขึ้นไปได้สักพัก บันไดมันเลี้ยวไปทางอื่น ที่ไม่ใช่ทางตรงขึ้นวัด คุณต้นและเพื่อนจึงเดินกันลงมาก่อน สองข้างทางจะมีแต่ต้นไม้ใหญ่ มองดูแล้วขนลุกแปลกๆ พอลงมาถึงข้างล่าง ก็เห็นเพื่อนที่รออยู่ข้างล่าง ยืนก้มหน้าตัวสั่น
คุณต้นก็คิดว่าคงจะไม่ดีแล้ว เพราะก่อนจะมาที่นี่ ได้ตกลงกันไว้ว่า ถ้าเกิดเจออะไรเข้า ห้ามพูด ห้ามทัก จึงพากันเดินลงเนิน เดินกันได้อยู่ประมาณห้าสิบเมตร ก็เห็นมีบันไดอยู่ แต่เป็นบันไดที่ตรงขึ้นไปบนวัดเลย
คุณต้นก็งง แล้วเมื่อกี้ไปขึ้นบันไดอะไร มันจะไปโผล่ตรงไหน คุณต้นและเพื่อนๆจึงเดินขึ้นบันไดวัด จนไปถึงด้านบน ภายในวัดค่อนข้างมืด มีศาลาการเปรียญหลังใหญ่ และมีศาลเพียงตาเก่าๆ อยู่เต็มไปหมด แต่ไม่มีพระจำวัดอยู่
คุณต้นและเพื่อนๆก็ยืนมองกันอยู่ตรงลานกว้างหน้าวัด จนเห็นคนนอนอยู่ตรงโต๊ะไม้ ข้างๆศาลา คิดว่าน่าจะเป็นผู้ดูแล แต่เหมือนเป็นคนสติไม่ค่อยดี คุณต้นและเพื่อนๆจึงเดินกลับลงมา
ระหว่างเดินกลับ สองข้างทางมีแต่ป่า คุณต้น รู้สึกถึงสายตาของอะไรบางอย่าง จ้องมาจากในป่า เป็นความรู้สึกแปลกๆ สักพัก เพื่อนคนที่คุณต้นเห็นยืนก้มหน้า ก็ได้สะอื้นร้องไห้ออกมาเบาๆ คุณต้นจึงถามว่าเป็นอะไร
เพื่อนก็เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ยืนรออยู่ข้างล่าง เห็นเด็กมัดจุก ค่อยๆโผล่หน้าออกมามอง จากหลังต้นไม้ข้างๆบันไดทางขึ้น พอเหลียวไปมอง เด็กคนนั้นก็หลบเข้าไปหลังต้นไม้ แต่สักพักก็ค่อยๆโผล่หน้าออกมามองอีก คุณต้นจึงปลอบใจว่า มันไม่มีอะไรหรอก คิดไปเอง แล้วมันก็มืดมากด้วย แต่ในใจคุณต้นรู้ดีว่า ที่นี่มันมีแน่นอน
จนวันต่อมา รุ่นน้องกับเพื่อนๆที่เหลือ ก็เดินทางมาถึงที่รีสอร์ท ก็วางแผนกันว่าจะเริ่มกิจกรรมกันตอนสี่ทุ่ม แล้วช่วงสามทุ่ม คุณต้นและเพื่อนๆก็เดินไปรอตามทางเดินกันก่อน วันนั้นเป็นคืนเดือนมืด จะต้องมีคนไปอยู่บนวัดอีกสองคน แต่ไม่มีใครกล้าขึ้นไป คุณต้นและเพื่อนอีกหนึ่งคนจึงต้องเป็นคนขึ้นไป แต่คุณต้นรู้สึกไม่ค่อยดีกับที่นี่มาก เพราะคิดว่า มันไม่น่าจะใช่วัด ไม่มีพระพระพุทธรูป ไม่มีพระประธาน ไม่มีพระจำวัด แถมบรรยากาศหนักอึ้ง ชวนให้ขนลุกอยู่ตลอดเวลา
เพื่อนๆของคุณต้นจะต้องประจำอยู่จุดต่างๆ จุดแรกอยู่ตรงต้นไทร จุดถัดมาจะอยู่ตรงบันไดขึ้นวัด ตรงนั้นจะมีระฆังใหญ่มาก ห้อยอยู่ที่ต้นจำปา อีกจุดคือบนวัดที่คุณต้นอยู่ และอีกจุดจะอยู่ตรงทางเดินลงเขาหลังวัด จุดสุดท้ายคือข้างๆวัด เป็นทางเดินเล็กๆลงเขา จะเป็นที่ทิ้งพวงมาลัย
ระหว่างที่รอรุ่นน้องเดินมา คนที่ซุ่มอยู่จุดที่ทิ้งพวงมาลัย ก็วอมาบอกว่า
เพื่อน : ไม่ไหวว๊ะ
คุณต้น : เป็นอะไรอ่ะ
เพื่อน : ได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมาตลอดเลย ตรงแถวๆที่ทิ้งพวงมาลัยอ่ะ
คุณต้น : ทนๆก่อนละกัน อย่าคิดมาก
หลังจากนั้นอีกสิบห้านาที เพื่อนก็วอมาบอกอีกว่า
เพื่อน : ไม่ไหวแล้วนะ เค้าโมโหมากเลย เค้าไม่อยากให้อยู่ตรงนี้ ได้ยินเสียงคนเตะหญ้าอยู่ตลอดเลย ไม่ขออยู่แล้วนะ
เพื่อนที่ประจำอยู่ตรงจุดทิ้งพวงมาลัยจึงกลับไปอยู่ที่รีสอร์ทก่อน สักพัก เพื่อนที่อยู่ตรงจุดทางเดินลงเขาหลังวัด ก็วอมาบอกว่า
เพื่อน : กลับก่อนได้มั้ย
คุณต้น : อ่าวทำไมอ่ะ
เพื่อน : ได้ยินเสียงคนเดินขึ้นลงเป็นสิบคนเลย อยู่ไม่ได้แล้ว ขอลงก่อนนะ
เพื่อนที่อยู่ตรงจุดทางเดินลงเขาหลังวัดก็กลับกันไปก่อน หลังจากนั้น รุ่นน้องก็เดินกันออกมาจากรีสอร์ท ทุกคนจึงใส่หูฟังกับวอ เพื่อกันเสียง สักพัก เพื่อนที่อยู่ตรงจุดที่หนึ่ง ตรงต้นไทร วอมาบอกว่า
เพื่อน : พอก่อนนะ
คุณต้น : ทำไมหละ เป็นอะไร
เพื่อน : ใครไม่รู้ อยู่ในป่าข้างๆทางเดิน นั่งยองๆมองหน้า สักพักก็หายไปเอง
คุณต้นคุยกับเพื่อนที่อยู่ตรงจุดที่หนึ่งยังไม่จบ เพื่อนที่อยู่ตรงจุดทางเดินขึ้นวัด ก็วอแทรกเข้ามาว่า
เพื่อน : เฮ้อ กลับเหอะ ทางนี้ก็ไม่ไหวแล้ว
คุณต้น : เป็นอะไรกันเนี่ย
เพื่อน : ตอนที่นั่งอยู่ข้างๆระฆัง อยู่ๆระฆังมันก็ไหวโยกเอง เหมือนมีคนเอามือไปดัน
คุณต้น : ทนๆหน่อย น้องกำลังทำกิจกรรมอยู่
คุณต้นก็ปิดวอและปิดโทรศัพท์ สักพัก เพื่อนที่นั่งข้างๆคุณต้นก็ก้มหน้าตัวสั่น คุณต้นเลยรีบบอกว่า อย่าพูดอะไรนะ เพื่อนก็บีบที่หัวเข่าของคุณต้นแรงมาก คุณต้นบอกให้ใจเย็น สักพัก เพื่อนก็สะอื้น แล้วพูดออกมาว่า มีผู้ชายตัวดำๆ ใหญ่ๆ ยืนอยู่ที่ประตูศาลา มองเราอยู่ คุณต้นขนลุกไปทั้งตัว ใจเต้นรัวเป็นกลอง แต่ก็ไม่กล้ามองไปตรงจุดนั้น แต่หางตาก็เห็นอะไรบางอย่าง อยู่ตรงบันไดทางลงเขาหลังวัด
ลักษณะเหมือนคนตัวขาวๆ เกาะอยู่ที่หลังเสา พยายามจะเข้ามา แต่ก็เข้ามาไม่ได้ คุณต้นตัวแข็งทื่อ จึงคิดถึงพระที่ห้อยคออยู่ สักพัก พวกรุ่นน้องก็ขึ้นมาถึง คุณต้นก็เลยให้รุ่นน้องเดินกลับรีสอร์ท โดยให้เดินกลับไปทางเดิม
พอพวกรุ่นน้องเดินหายไปได้สักพัก คุณต้นก็เปิดวอ และมือถือ ปรากฏว่าวอแบตหมด มือถือก็เช่นกัน จึงถือไฟฉายเดินลงบันไดกับเพื่อนอีกหนึ่งคน ในขณะที่กำลงเดินลง แสงของไฟฉายค่อยๆหลี่ลง ทีละนิดๆ จนดับ และได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง วิ่งลงบันไดตามหลังมา คุณต้นรีบคว้ามือเพื่อน แล้วรีบวิ่งกลับรีสอร์ท
พอมาถึงรีสอร์ท คุณต้นและเพื่อนๆ พยายามเก็บอาการกันไว้ก่อน แล้วก็ให้รุ่นน้องมานั่งเล่าว่าเป็นยังไงกันบ้าง ระหว่างที่นั่นคุยกัน เพื่อนของคุณต้นคนนึง ก็พูดขึ้นมาว่า มีน้องทำกระเป๋าตังตกข้างบน แต่ก็ไม่มีใครอยากกลับขึ้นไปแล้ว
ท้ายสุด คุณต้นและเพื่อนอีกสี่คน ต้องจำใจขึ้นไปเอาให้รุ่นน้อง เพื่อนของคุณต้นถือไฟฉายเดินนำหน้า โดยมีคุณต้นและเพื่อนอีกสามคนเดินตามหลัง พอไปถึงตรงต้นไทร เพื่อนที่เดินนำหน้าก็รีบวิ่งส่วนกลับมาทันที
คุณต้นคว้าแขนไว้ได้แล้วถาม “เป็นอะไร มีสติหน่อยดิ” เพื่อนก็หอบหายใจสักพัก แล้วก็พูดว่า “เมื่อกี้ตอนที่ส่องไฟ เห็นแม่ชี ใส่ชุดชีขาว เดินออกมาจากป่าข้างทาง แล้วก็หายไปต่อหน้าเลย
ในระหว่างที่คุยๆกันอยู่ เพื่อนที่อยู่ในรีสอร์ทก็วอมาบอกว่า น้องเจอกระเป๋าตังแล้ว อยู่ในห้อง ทุกคนจึงรีบวิ่งกลับมาที่รีสอร์ท คุณต้นและเพื่อนๆ ก็อยากรู้ว่าบันไดที่ไม่ใช่ทางขึ้นวัด มันคือบันไดอะไรกันแน่ แล้วมันจะไปโผล่ตรงไหน
ตอนเช้าจึงได้ลองเดินขึ้นไปกันอยู่ บันไดไปสุดอยู่ตรงต้นไม้ต้นนึง ต้นใหญ่มา ไม่รู้ว่าคือต้นอะไร หลังต้นไม้มีแต่เศษซากของตุ๊กตากุมารทองอยู่เต็มไปหมด และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
ขอบคุณที่มา MiNiChoco เดอะช็อค