
ตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย ผมจะเป็นคนที่เริ่มสัมผัสเรื่องประหลาดได้ แต่จะสัมผัสได้เฉพาะกับคนใกล้ตัวหลังจากที่ผมเรียนจบมัธยมปลาย ผมก็ไปเรียนต่อที่ประเทศอเมริกา ตอนปี 2012 ผมจบการศึกษา ก็เลยคุยกับที่บ้านว่าเราน่าจะมีทริปครอบครัวใหญ่ที่เป็นกันโรดทริปรอบสุดท้ายด้วยกัน เพราะว่าพี่สาวผมกำลังจะแต่งงาน ต่างคนก็ต่างกำลังจะใช้ชีวิตครอบครัวกัน ก็เลยคิดว่างั้นเราไปขับรถเที่ยวกัน
ผมเรียนอยู่ในเมืองลอสแอนเจลิส ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันตกของอเมริกา เราก็เลยเลือกกันว่าเราจะไปไหนกันดีที่เหมาะกับโรดทริปยาวๆทั้งครอบครัว คุณพ่อก็เลยพูดว่า “สมัยพ่อหนุ่มๆ ตอนพ่อเรียนอยู่ เมื่อ 40 ปีที่แล้ว พ่ออยากไปเที่ยวร็อคกี้เมาน์เทน (เป็นอุทยานแห่งชาติคล้ายๆเขาใหญ่บ้านเรา) พ่ออยากไปตั้งแคมป์ อยากไปเห็นธรรมชาติที่ยังเป็นธรรมชาติจริงๆอยู่” เราก็เลยตัดสินใจว่าเราจะขับรถไปเที่ยวที่นี่กัน
เราไปถึงที่พักก่อนเวลาหนึ่งคืน เลยแวะพักกันในเมืองเดนเวอร์ก่อน เพราะระยะทางมันก็ไม่ไกลกันมาก (ประมาณว่าขับจากสระบุรีขึ้นเขาใหญ่ 80-90 กิโล) เราเลยคิดว่าในเมื่อเราถึงเมืองเดนเวอร์แล้ว งั้นเราเที่ยวในเมืองให้คุ้มก่อนดีกว่า แล้วค่ำๆหลังจากที่ทานข้าวเสร็จ ค่อยขึ้นไปที่รีสอร์ทกัน เพราะเราก็ไม่รู้ว่าถ้าขึ้นไปแล้วจะหาของกินยากง่ายแค่ไหน
พอทานข้าวกันเสร็จ เราคุยกันว่าจะออกจากเมืองประมาณหนึ่งถึงสองทุ่มแล้วกัน เพราะคิดว่า 70 กว่าไมล์มันไม่น่าจะไกลมาก แต่พอกด GPS ดูผมก็งงว่าทำไมระยะทางแค่ 70 กว่าไมล์มันใช้เวลาต้อง 2 ชม. เกือบๆ 3 ชม. ซึ่งจริงๆกฎหมายอเมริกาเค้าอนุญาตให้ขับรถได้ 65 ไมล์/ชั่วโมง มันน่าจะใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้นเอง
พอขึ้นรถมาทุกคนก็เริ่มง่วง จนเหลือผมที่ขับอยู่คนเดียว ผมเลยโทรไปคุยแฟนที่เมืองไทย ขับไปได้สักครึ่งทางก็สิ้นสุดถนนทางด่วน เส้นทางต่อไปนี้เป็นถนนพื้นเมือง ที่เป็นทางขึ้นเขาเล็กๆ สองเลนสวนกัน ผมเลยบ่นกับแฟนว่า “โห อีกตั้งครึ่งทางแหนะ มิน่าละ GPS ถึงบอกอีกเป็นชั่วโมงกว่าจะถึง”
ขับมาประมาณ 15 ไมล์จะมีป้ายบอกว่าตรงนี้เป็นปั้มน้ำมันปั้มสุดท้าย แล้วต่อไปก็จะขึ้นเขายาวละ แม่ผมเป็นคนค่อนข้างตื่นตระหนกกลัวน้ำมันหมดกลางเขา ผมก็เลยต้องวนรถกลับลงมาเติมน้ำมันก่อน
พอเติมน้ำมันเสร็จเรียบร้อย เราก็ขับรถขึ้นไปที่โรงแรม สมัยก่อน GPS มันยังไม่แม่นยำเเหมือนสมัยนี้ ด้วยตำแหน่งดาวเทียมด้วยชื่อตึกต่างๆ แถมถนนที่ไม่มีอยู่ในแผนอีกด้วย เราต้องขับรถเกาะแกะไปเรื่อยๆ วนหาอยู่พักใหญ่ๆเลย กว่าจะขึ้นไปถึงก็ค่อนข้างดึกพอขับขึ้นเนินมันจะเป็นเนินสูงๆขึ้นไป ก็จะพบกับบ้านคนทาว์นโฮม 4 ชั้นขนาดใหญ่ประมาณ 7-8 หลัง เรียงติดกัน ทางขวาจะเป็นเนินเขาเหมือนเหวสูงๆลึกลงไป แต่ถนนก็กว้างพอที่รถจะสวนกันได้
พอเลยตัวบ้านไป 70-80 เมตรจะมีคลับเฮ้าส์และเป็นรีเซฟชั่นด้วย ซึ่งตอนนั้นเราถึงประมาณเกือบๆจะ 5 ทุ่มละ โดยปกติเวลาเราเข้าไปที่โรงแรมหรือว่ารีสอร์ทอะไรก็แล้วแต่ ส่วนที่เป็นรีเซฟชั่นเค้าจะเปิดไฟทิ้งเอาไว้ แต่ที่นี่แปลกมาก ตอนที่ผมเดินเข้าไปกับพ่อ มันมืด มืดตื๋อ ไม่มีไฟเลยสักดวง
พอเดินเข้าไปด้านขวาไกลๆ จะเห็นเป็นผับส่วนที่เป็นบาร์จะเปิดไฟสลัวๆไว้ ขณะที่เราเดินสำรวจกันอยู่ จู่ๆก็มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินออกมาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ว่า ”We are waiting for you guys” (เรากำลังรอคุณอยู่นะ) ซึ่งผมยังไม่ได้บอกเค้าว่าผมชื่ออะไรเลย หรือเพราะว่าหน้าผมบงบอกว่าเป็นเอเชีย และนามสกุลที่แปลก เค้าเลยรู้ว่าต้องเป็นผมแน่นนอน เราไม่ได้มีการสื่อสารอะไรกันสักเท่าไหร่ ผมก็เลยถามว่า “ห้องเราอยู่ตรงไหน” เจ้าหน้าที่ก็ยื่นกุญแจให้กับผม พร้อมกับบอกผมว่า “ไปเป็นไร พรุ่งนี้ค่อยลงมาเซ็นเอกสาร” ผมก็งงๆหรือว่ามันอาจจะดึก เค้าอาจจะเป็นแค่คนที่มาดูแลแทน เจ้าหน้าที่อาจจะกลับไปแล้ว ผมจึงไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า “โอเค เดี๋ยวยูขับรถ อ้อมตรงนี้ขึ้นไปทางขวา ผ่านคลับเฮ้าส์ขึ้นไป แล้ววนไปจอดข้างหลังคลับเฮ้าส์ แล้วเดินลงบันไดลงมา” ผมเลยถามว่า “อ้าว.. แล้วข้างบนยูไม่มีประตูหรือทางเข้าบ้านหรอ ” เจ้าหน้าที่บอกว่า “ข้างบนเข้าไม่ได้ ยูต้องจอดรถที่ข้างหลังคลับเฮ้าส์แล้วเดินลงบันไดมาประมาณสองชั้นเท่านั้น”
ผมคิดในใจว่า รีสอร์ทใหญ่ขนาดนี้…แต่ชั่งเถอะ แล้วผมก็ขึ้นรถเพื่อที่จะถอยรถลงมา ผมถอยรถช้าๆอย่างระวัง อยู่ดีๆ คุณแม่ก็ผมตะโกนขึ้นมาว่า “ระวัง ๆ ระวังหล่น ระวังหล่นลูก!!!” ผมก็งง ตกใจว่าคุณแม่ให้ระวังอะไร เพราะผมก็ไม่ได้ถอยใกล้เนินนั่นขนาดนั้น
ผมมองไปที่บ้านก็รู้สึกเอะใจว่าทำไมบ้าน 7-8 หลัง แต่หลังที่ผมจอดมันเปิดไฟที่ชั้นสามไว้อยู่หลังเดียว ผมกับน้องชายพยายามมองหาว่าใครกันที่เปิดไฟ ตอนแรกผมก็คิดว่าเราคงไม่ได้เป็นเจ้าของทั้งตึก เค้าอาจจะแบ่งห้องให้คนอื่นพักด้วย แล้วน้องชายผมก็เดินลงไปไขประตูบ้าน แล้วเปิดเข้าไป
พอเปิดประตูเข้าไป ชั้นแรกจะเป็นจอดรถ จอดได้ 2 คันเต็มๆ ผมก็งงว่าทำไมพนักงานถึงบอกให้เราไปจอดข้างบน ทั้งที่ข้างล่างก็จอดได้ แล้วที่จอดรถก็กว้างมากๆ ไม่มีของวางอยู่เลย น้องชายผมก็เลยบอกว่า “งั้นเฮียถอยเข้ามาจอดเลย จอดได้สบายๆ เราจะได้เอาของลงตรงนี้กัน” ผมจึงไปขับรถเข้ามาจอดในบ้าน จอดเสร็จก็เอาของเข้าบ้าน เราช่วยกันหยิบของเดินขึ้นลงชั้นสองชั้นสามกัน
ทีนี้เรากำลังจะปิดบ้าน ปิดรถ ปิดลานจอดรถ แล้วก็จะขึ้นไปข้างบนกัน พี่สาวผมก็เดินถือของรอบสุดท้ายนำขึ้นไปก่อน ขึ้นไปถึงกลางบันได ผมกำลังก้าวตามขึ้นไป จังหวะที่น้องชายผมกำลังปิดรถ อยู่ดีๆ ไฟก็ดับทั้งบ้านเลย ผมคิดว่าน้องชายอาจจะไปโดนคัทเอ้าท์ เลยตะโกนถามว่า “เห้ย!! ปิดไฟเปล่า” น้องชายผมก็พูดว่า “เปล่าๆ ยังยืนอยู่ที่รถอยู่เลย”
ตามด้วยเสียงของคุณพ่อตะโกนลงมาจากชั้นสามว่า “เห้ย ใครปิดไฟวะ” แล้วสักพักไฟก็ไล่ติดเองตั้งแต่หน้าบ้าน ลานจอดรถ ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง ไล่ติดที่ละครึ่งชั้น ไปจนถึงชั้นสาม ตอนนั้นผมรู้สึกถึงความไม่ค่อยปกติในบ้านหลังนี้ แต่ผมก็ไม่อยากพูดหรือบอกอะไรกับใคร ซึ่งปกติแล้วเวลาผมไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือต่างเมือง ผมมักจะสัมผัสได้ถึงสิ่งที่คล้ายๆ สัมภเวสีมาขอส่วนบุญ แล้วเวลาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ผมก็จะทำบุญ ทำสังฑทาน กรวดน้ำไปให้พวกเขา
หลังจากที่เก็บของกันเสร็จเรียบร้อย ผมก็เริ่มเดินสำรวจบ้าน แค่ชั้นแรกก็รู้สึกว่าบ้านนี้สวยดีนะ บ้านจะมีบันได้อยู่ขวามือทั้งหมด เวลาเดินขึ้นจะต้องเดินผ่านทางเดียวกัน ผมเดินสำรวจบ้านขึ้นมาที่ละชั้น ชั้นสองจะมีสองห้องนอน และชั้นสามจะเป็นครัวใหญ่ๆ และมีโซฟาเบด จนผมคิดว่าอยากจะมีครัวแบบนี้บ้างจัง ผมเดินเข้าไปในห้องแล้วสังเกตุเห็นว่ามันมีประตูด้านหลังอีกบาน จึงเปิดประตูออกไป ปรากฏว่ามันเป็นทางเข้าที่เราสามารถเข้าจากลานจอดรถด้านบนได้เลย แถมยังมีเหมือนกันทุกบ้าน ผมก็สงสัยว่าในเมื่อมันสามารถเข้าบ้านจากด้านบนได้เลย แล้วทำไมพนักงานถึงต้องให้เราเดินอ้อมลงมาเข้าที่ด้านล่างด้วย
พอผมเปิดประตูออกไปดูด้านนอกผมก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นพี่สาวกำลังเปิดประตูบ้านข้าง ๆ ที่แง้มไว้นิดหน่อย ๆ แล้วเดินเข้าไปเฉยเลย ซึ่งปกติพี่สาวผมไม่ใช่คนที่ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านเลย และการกระทำแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่เราควรทำอยู่แล้ว ยิ่งในอเมริกา ถ้าเราไปบุกรุกใคร เค้าสามารถยิงเราได้เลย ผมก็เลยทักว่า“เจ๊ ทำอะไรอะ” พี่สาวผมก็หันมาตอบว่า“ไม่รู้ๆ เห็นมันเปิดอยู่ก็เลยเดินเข้าไป” ผมเข้าไปดึงพี่สาวกลับเข้ามาในบ้าน
เรากลับเข้ามาในบ้าน อยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียง คุณแม่ตะโกนออกมาจากห้องน้ำ “ช่วยด้วยๆ แม่เปิดประตูไม่ได้” ผมก็เลยงงว่า อ้าวประตูห้องน้ำมันล็อคจากข้างในทำไมแม่ถึงจะปิดเปิดไม่ได้ พอผมกำลังวิ่งไปดู คุณแม่ก็บอกว่า “อ้าว เปิดได้ละ แต่เมื่อกี้แม่ทั้งเขย่าทั้งดึงตั้งหลายทีไม่ยอมออก” คุณแม่ผมก็เริ่มรู้สึกถึงความไม่ปกติแล้วเช่นกัน แต่คุณแม่ก็ยังไม่ได้พูดอะไร เพราะว่าน้องชายกับพ่อก็ยังอยู่กันปกติอยู่ ทีนี้ตอนจะนอนเราก็แบ่งห้องกัน ชั้นให้พี่สาวนอนห้องนึง ให้น้องน้องชายนอนห้องนึง คุณพ่อกับคุณแม่ให้นอนชั้นสี่ ส่วนผมจะไปนอนที่โซฟาเบดชั้นสามคนเดียว
น้องชายผมเห็นว่าผมขับรถมาไกล ด้วยความเป็นห่วง เลยบอกว่า “เฮียๆ นอนในห้องเลย เดี๋ยวน้องไปนอนที่โซฟาชั้นสามให้เอง” ผมก็บอกว่า “ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวไปนอนตรงนั้นเอง” ผมยืนยันจะไปนอนตรงนั้นให้ได้ หลังจากนั้นเราก็แยกย้ายกันไปนอน
สักพักนึงยังไม่ทันได้นอน ผมก็ได้ยินเสียงน้องชายผมทำของหล่นดังโครม!! ลั่นบ้าน เสียงดังมาก ๆ ขนาดผมอยู่ชั้นสาม ผมยังได้ยินเลย ผมก็เลยถามว่า “เกิดอะไรขึ้น” น้องชายบอกว่า “อ่อ ไม่มีอะไร สะดุดเลยแตะกระเป๋าหล่นจากที่วาง เฉย ๆ” ผมก็โอเคไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไร
ผมเอาโน๊ตบุ๊คออกมาตั้งไว้บนโต๊ะกินข้าว เพื่อจะได้นอนดูทีวี ดูละคร แล้วก็โทรคุยกับแฟนไปด้วย “เออ..เราจะนอนละนะ ที่นี่ตีหนึ่งตีสองแล้ว ง่วงมากๆ”
คุยกับแฟนไปได้สักพัก อยู่ ๆ ไฟตรงทางเดินมันหรี่เอง ไอ้หรี่เองผมพอเข้าใจได้ว่ามันอาจจะเป็นระบบประหยัดไฟ แต่ว่าสักพักนึงมันก็เร่งเอง ปกติไฟถ้ามันสว่างเองแสดงว่าต้องมีอะไรเดินผ่าน ผมเริ่มใจคอไม่ดี เลยบอกแฟนว่า “มันไม่ปกติละ เอายังไงดีวะ” แฟนก็บอกว่า “เอ้ย คิดมากไปเองหรือเปล่า เธอก็สวดมนต์แล้วเธอก็นอน” ผมเลยทำตามที่แฟนบอก
ผมนอนไปสักพักไฟก็ดับเองอีกแล้ว แต่รอบนี้มันมืดกว่าเดิม คราวนี้ผมเดินไปหยิบโน๊ตบุ๊คมาวางอีกฝั่งหนึ่ง แล้วก็นอนหันหน้ามาอีกฝั่งละ นอนไม่ไปได้ไม่กี่อึดใจ อยู่ๆห้องก็เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตอนนั้นมันเดือนพฤษภา อุณหภูมิเลขตัวเดียว คล้ายๆ ฤดูใบไม้ผลิ อากาศมันค่อนข้างเย็น แถมผมยังเปิดแอร์ไว้ด้วย ที่ผมไม่เปิดฮีทเตอร์เพราะว่าจะคุมอุณหภูมิไว้ให้คงที่ที่ 24-25 แต่ผมกับรู้สึกร้อนจนเหงื่อออก
เหมือนแอร์มันร้อนผิดปกติ ผมจึงตัดสินใจโทรหาน้องชายให้มาช่วยดูแอร์ให้หน่อย แต่ความจริงคือตอนนั้นผมรู้สึกว่าผมไม่อยากอยู่คนเดียวละ แต่น้องชายผมก็ไม่อยากจะขึ้นมาเลยบอกว่า “เฮียก็ลองกดรีโมทดูเองเลย ผมง่วง…จะนอนละ” ผมก็ไม่ว่าอะไร ทีนี้ไฟก็เริ่มหรี่อีก ผมก็เลยหันไปมอง พอไฟมันติดผมก็ปิดคอมนอนทันที นอนไปได้สักพักนึง อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าโซฟามันก็ยุบลงไปนิดนึง ผมสัมผัสได้ว่าเหมือนมีคนนั่งอยู่ข้างหลังผม
ผมเห็นท่าไม่ดีละ เลยกดโทรศัพท์โทรหาน้องชาย “เห้ย เดี๋ยวเฮียลงไปนอนด้วยดีกว่า” แล้วน้องชายก็บอกว่า “อะ ๆ งั้นเดี๋ยวเปิดประตูให้ วิ่งลงมาเองแล้วกัน” ผมก็บอกว่า “มาช่วยหยิบของให้หน่อยสิ” น้องชายบอกว่า “วิ่งลงมาเหอะ” เหมือนน้องชายผมจะรู้ว่ามีอะไร แต่ยอมบอกผม
ผมรีบหยิบหมอนหยิบผ้าห่ม วิ่งไปลงไปห้องน้องทันที โดยที่ไม่ได้หันหลังไปมองอีกเลย พอเข้าไปในห้องน้องชาย เห็นว่าเตียงมันค่อนข้างเล็กประมาณ 4-5 ฟุต จึงรู้สึกเกรงใจ ก็เลยขอลงไปปูผ้านอนตรงระเบียงแทน น้องชายเลยบอกว่า “เอ้ย เฮียขึ้นมานอนข้างบนนี่” ผมบอกว่า “ไม่เป็นไรเตียงมันแคบนอนข้างล่างดีกว่า” น้องชายผมก็คะยั้นคะยอให้ผมขึ้นไปนอนบนเตียงให้ได้ จนสุดท้ายผมก็ขึ้นไปนอนบนเตียงกับน้อง
ผมนอนไปสักพัก เริ่มเคลิ้มๆกำลังจะหลับ อยู่ ๆ ได้ยินเสียงดัง ก๊อกๆ แก๊กๆ อยู่บนชั้นสามตรงห้องครัว เสียงเหมือนคนเปิดตู้เย็น หยิบแก้ว ก๊องๆแก๊งๆอยู่ ผมก็หันไปมองน้องชายแล้วถามว่า “ได้ยินเปล่าวะ” น้องชายบอก “ได้ยิน” นี่มันก็ตีสองตีสามแล้วพ่อแม่คงไม่เดินลงมาหยิบแก้ว มาทำอะไรในครัวหรอกมั้ง ผมเลยบอกว่า “นอนเถอะ” เราพยักหน้าเหมือนรู้กันว่า อืม! น่าจะใช่แล้วหล่ะ
เสียงเก่ายังไม่ทันเงียบ สักพักเสียงใหม่มาอีกแล้ว เสียงเหมือนใครบางคนกำลังทุบกำแพงดัง ตึงๆ ตึ่งๆ แต่คราวนี้มันดังอยู่ข้างๆหัวผมเลย ซึ่งมันคือห้องของพี่สาว ผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไลน์ไปถามพี่สาวว่า “เจ๊ เมื่อกี้เจ๊ทำอะไรหรือเปล่า” พี่สาวตอบมาว่า “เปล่านะ ได้ยินเหมือนกันใช่ไหม ผมเลยบอกว่า “เอางี้ละกัน เดี๋ยวเจ๊รีบวิ่งออกจากห้องต้วเองมาห้องน้อง แล้วไม่ต้องหันกลับไปต้องมองอะไรนะ เพราะกลางดึกแบบนี้ เราไม่รู้เป็นโจรหรือเป็นอะไร” แล้วพี่สาวผมก็วิ่งออกมาจากห้องตัวเองมายังห้องน้อง เสียง ก๊อกๆแก๊กๆ ก็ยังคงดังอยู่ตลอดเวลา
เหตุผลที่ผมให้พี่สาวรีบวิ่งลงมาก็เพราะว่า ผมไม่ชัวว่าผมได้ปิดประตูหลังบ้านที่ชั้น 3 หรือป่าว แล้วก็ไม่รู้มีใครเข้ามาหรือเปล่า เราพยายามรวบรวมสติ ทีนี้พอเจ๊เข้ามาเลยมาแชร์ข้อมูลกัน ผมก็พูดก่อนเลยว่า เห้ย! ผมรู้สึกแปลก ๆ นะ แล้วน้องชายก็เลยเล่าให้ฟังว่า “ที่จริงแล้ว เสียงดัง โครม ที่ทุกคนได้ยินน่ะ คือว่าตอนนั้นผมกำลังรูดม่านปิดหน้าระเบียงห้อง แล้วเห็นภาพสะท้อนตัวเองในกระจก ตั้งแต่คอลงมามันก็เห็นเป็นตัวเองปกติ แต่หัวนี่สิมันไม่ใช่หัวผม มันเป็นหัวดำที่มีคราบๆเยิ้ม ๆ ติดอยู่ ผมตกใจก็เลยกระโดดชนของระเนระนาด แต่ก็ไม่กล้าบอกใคร”
ส่วนพี่สาวก็บอกว่า “เออ..พี่ก็รู้สึกแปลก เพราะตอนที่พี่เดินขึ้นห้องมา ประตูมันจะแง้มอยู่ พอให้มองเห็นแสงไฟสีส้มๆ อยู่ในห้อง พอเปิดประตูเข้าไปแสงมันก็ค่อยๆหรี่และหายไปเอง” ผมก็บอกว่า “เออ..ไม่ค่อยปกติละ อาจะเป็นเจ้าที่หรือเปล่า เอางี้ ขึ้นไปปลุกพ่อกับแม่ดีกว่าว่าจะเอายังไงกันดี” เพราะผมรู้สึกว่าเค้าเริ่มโผล่ให้เราเห็นเยอะขึ้นแล้ว
เราเลยตกลงขึ้นไปหาพอแม่ข้างบนกัน แต่ทีนี้เราก็กลัวว่าจะเป็นโจร ก็เลยหาอะไรที่พอจะเป็นอาวุธได้ติดมือไปด้วย หาของแข็งหน่อย ของแข็งที่สุดที่ผมหาได้ก็คือโน็ตบุ๊คของผมเอง ผมหยิบมันขึ้นไปด้วย ตอนเดินขึ้นไปที่ชั้นสาม ผมให้น้องชายผมเดินขึ้นไปก่อน เพราะเค้าแข็งแรงที่สุด พี่สาวผมอยู่ตรงกลาง ส่วนผมอยู่ข้างหลัง ผมคิดว่าถ้าเกิดเป็นโจรแล้วสู้กัน ก็ตะลุมบอนกันละวะ
เราเดินไปถึงชั้นสามตรงจุดที่ไฟมันหรี่ อยู่ดีๆเท้าของงผมมันก็ก้าวไม่ออก มันรู้สึกเหมือนมีไอร้อนมันขึ้นมาเท้าไล่มาที่ขาจนลามไปทั้งตัวผม น้องชายผมหันมาเห็นก็บอก “เห้ย เกิดอะไรขึ้น” ผมบอกว่า “ก้าวเท้าไม่ได้ว่ะ ตัวแข็งไปหมดละ” น้องชายผมก็เลยมาลากผมขึ้นไปที่ชั้นสี่ หลังจากขึ้นไปถึงชั้นสี่ มันจะเป็นห้องโล่งๆไม่มีประตู ผมก็พูดว่า “เอางี้ ถ้าเราไปปลุกแม่ แม่จะสะดุ้งตื่น ไม่อยากให้แม่สะดุ้งตื่นขึ้นมา ไปปลุกพอก่อนดีกว่า พอพ่อขยับตัวเดี๋ยวแม่ก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นเอง” พูดจบผมก็เดินเข้าไปปลุกพ่อ ก็เป็นอย่างที่พูดเลย พอพ่อขยับตัวแม่ก็ตื่นขึ้นมาแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น!! ตกใจหมดเลย ตื่นขึ้นมาลืมตา เห็นลูกสามคนยืนยิ้มอยู่ตรงบันได”
คำพูดของแม่ทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว เสียวสันหลังวาบ ผมบอกแม่ว่า “ไม่ใช่ละแม่ผมยืนอยู่คนเดียว ส่วนพี่สาวกับน้องชายอยู่ตรงหัวเตียงกับพ่อแล้วตั้งแต่ที่วินาทีแรกที่แม่ลืมตาแล้ว” แล้วแม่ก็เล่าว่า “แม่ลืมตาขึ้นมา เห็นลูกสามคนยืนฉีกยิ้มอยู่ตรงบันได แม่ตกใจหมดเลย”
ผมเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้พ่อฟัง พ่อซึ่งเป็นคนมองโลกในแง่ดีก็บอกว่า “เออ เราก็สวดมนต์กราบหมอน บอกเจ้าที่เจ้าทางว่าเรามาอยู่อาศัยแปปนึง เดี๋ยวเราก็กลับละ” แต่ตอนนั้นผมบอกว่า “มันไม่ปกติแล้วพ่อ”
ในห้องพ่อจะมีพัดลมเพดานออยู่ แล้วอากาศตอนนั้นมันก็หนาวมากอยู่แล้ว พ่อผมจึงเปิดไว้แค่เบอร์ 1 แต่จู่ๆพัดลมก็หมุนแรงสุดจนหนาวไปทั้งห้อง แล้วมันดังก๊อกๆแก๊กๆ เหมือนพร้อมจะหลุดจากเพดานตลอดเวลา ผมก็บอกว่า “เห้ย ทำไมป๊าเปิดหนาวขนาดนี้” พ่อผมก็บอกว่า “ป๊าไม่ได้ทำ ไม่รู้ทำไมมันเร่งเอง” ผมจึงรีบปิดพัดลมเพราะกลัวว่ามันจะล่วงลงมา
หลังจากนั้นเราก็เลยตกลงกันว่ากลับเข้าเมืองกันดีกว่า แล้วถ้าป๊าอยากเที่ยวตรงนี้พรุ่งนี้ตอนเช้าก็ค่อยขับพาป๊ามาใหม่ แต่วันนี้ขอร้องเลยกลับเถอะ พ่อก็บอกว่า “อ่าๆ พวกมึงนี่ใจเสาะกัน กลับก็กลับ”
เราเดินรวมกลุ่มเก็บของลงมาทีละชั้น ปกติแม่ผมมักจะเก็บพวกแปรงสีฟัน อุปกรณ์ต่างๆที่โรงแรมมีให้เราใช้กลับมาด้วย เพราะเผื่อเราไปที่อื่น เราไม่รู้ว่าเค้าจะมีให้เราหรือป่าว แต่คราวนี้แม่กลับพูดว่า “เราไม่เอาอะไรไปเลยนะลูก” ผมก็พยักหน้าแล้วก็เก็บของไล่ชั้นลงมาเรื่อยๆ ที่ละชั้นๆ จนหมด จนทุกคนขึ้นรถเรียบร้อย
ผมล็อคบ้านเสร็จ ขับรถออกมาได้ไม่ถึง 5 นาที ก็มีรถตามหลังเรามาด้วยความเร็วค่อนข้างสูงและเปิดไฟกระพริบใส่ตลอดทางเลย ตีสี่ตีห้าเวลานี้มีสองอย่าง ไม่โจรก็ตำรวจ ถ้าเป็นตำรวจ เราทำผิดกฎหมายอะไรเค้าก็ต้องเปิดไซเรนเรียกให้เราจอด แต่นี่เป็นรถส่วนบุคคลธรรมดาแถมยังเปิดไฟใส่อีก ผมคิดในใจว่าถ้าพวกเขาเห็นอะไร เราค่อยไปจอดรถคุยกันในเมืองแล้วกัน น้องชายผมก็เลยเปิด GPS แล้วก็บอกทาง ณ ตอนนั้นเหมือนผมกำลังขับแรลลี่อยู่เลยครับ “เฮียโค้งซ้าย โค้งขวา” ผมรีบขับหนีสุดชีวิต
พวกเค้าพยายามให้เราจอด ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่นาทีนั้นเราขับหนีไปให้ถึงในเมืองก่อน เจอกันที่สถานีตำรวจแล้วค่อยคุยกัน
ทีนี้น้องผมก็กด GPS ย้อนกลับไปโรงแรมเดิม ในเมืองเดิม ทิศทางเดิมที่เรามา พอผ่านจุดที่เราเติมน้ำมัน ขับรถไปต่อไม่ถึงสามนาทีก็ขึ้นทางด่วนเลย ผมเลยงงว่า อ้าว…แล้วเมืองทั้งเมืองที่เราบ่นตอนขามากับแฟนเราว่า “อีกตั้งไกลแหนะ” คือมันถึงเร็วมาก ซึ่งตอนขามาเรากดดูเวลาใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่งกว่า ๆ แต่เวลาขากลับเราใช้เวลาสองชั่วโมงต้นๆ หายไปยี่สิบนาทีเลย ทั้ง ๆ ที่ทางเดียวกันเราก็เลยงงว่า เห้ย!! เมืองหายไปไหนวะ
เมื่อขับรถมาถึงโรงแรมที่เรานอนเมื่อคืนก่อน ผมส่งทุกคนลงเพื่อเอารถไปจอดเสร็จแล้วก็ตามขึ้นไป เรานอนกันในห้องเดียวกัน ก็เลยมาคุยกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น แม่ผมบอกว่า พอขึ้นไปชั้นสาม แม่รู้สึกแปลก ๆ ตั้งแต่ก่อนไฟดับแล้ว ตอนประตูห้องน้ำเปิดไม่ได้ แม่ก็รู้แล้วว่าต้องเป็นเจ้าที่เจ้าทางแน่ ๆ แม่ก็ได้แต่ภาวนากรวดน้ำให้เค้าแล้วบอกว่าขอนอนคืนนึง
น้องชายผมดันเป็นคนที่ชอบสำรวจทุกห้อง จำได้ว่าปลายเตียงพ่อจะมีตู้เสื้อผ้าไม้เก่าๆ ตู้นึง ข้างตู้ไม้จะมีประตูบานเล็กๆ บานนึง น้องชายผมเปิดเข้าไปดู ก็พบว่าในห้องนั้นเก็บของเก่าไว้มากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นมีเครื่องพิมพ์ดีด ทีวีรุ่นเก่าๆเมื่่อยี่สิบปีที่แล้ว เก้าอี้ไม้โยกเก่าๆ ทุกอย่างคือเก่าหมดเลย แต่แปลกที่ไม่มีฝุ่นเกาะเลย
ผมก็สงสัยว่าถ้ามันเป็นของเก่าไม่ใช้แล้ว หรือเป็นห้องเก็บของเค้าควรจะล็อคไม่ให้ลูกค้าเข้าไปสิ แต่นี่เราสามารถเปิดเข้าไปได้ แถมภายในห้องนั้นยังไม่มีฝุ่นเลยอีกด้วย ผมเริ่มรู้สึกเอะใจว่า บ้านนี้ต้องไม่ธรรมดาละ มันต้องมีอะไรลี้ลับอยู่แน่ ๆ
หลังจากเราก็กลับไปเมืองไทย ช่วงนั้นน้องชายผมยังวัยรุ่นอยู่ อายุประมาณ 19 แววตาน้องเริ่มขวาง พูดอะไรก็เกรี้ยวกราดไปหมด วันนั้นแม่ไปเดินตลาด ก็ไปเจออาแปะคนนึง ซึ่งนับถือกัน แกก็อายุประมาณ 80 กว่าละ แม่ก็เล่าให้ฟังว่า “เออเนี่ย แปะ ไม่รู้ลูกชายเป็นอะไร เค้าตาขวาง และขึงขังตลอดเวลาเลย” แปะเลยแนะนำว่า “เอางี้งั้นเดี๋ยวไปหาพระรูปหนึ่ง หลวงพ่อท่านนี้อยู่แถวถนนจันทน์ เดี๋ยวให้หลวงพ่อท่านช่วยดูให้”
ตอนที่จะพาน้องชายไปหลวงพ่อ เค้าก็ไม่อยากมา บอกว่าจะไปทำไม ไม่ได้เป็นอะไร ทำไมต้องไป แต่สุดท้ายน้องชายผมก็ยอมไป พอเราไปถึงเราก็ไม่ได้เล่าเรื่องที่อเมริกาให้หลวงพ่อฟัง เพราะว่ามันผ่านมาเป็นเดือนแล้ว ผมก็บอกว่า “หลวงพ่อ น้องชายผมช่วงนี้ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเลย”
ตอนหลวงพ่อเจอท่านก็ทักคำแรกเลยว่า “โยมไปทำอะไรมา เงาหัวไม่มีละ ไปทำอะไรมาหรือเปล่า” คือเงาหัวไม่มีเหมือนตอนที่น้องชายผมเห็นเงาตัวเองที่อเมริกา ผมก็ตกใจ แล้วพระท่านก็บอกว่า “ที่จริงครอบครัวโยมเกือบจะได้เกิดอุบัติเหตุ แต่ถือว่ายังนี่โชคดีนะที่มีบุญเก่าที่ทำกันมา” ผมนึกย้อนไป หรือว่าตอนนั้นเราอาจจะเกิดอุบัติเหตุตอนขับรถลงเขาเพราะว่าเราขับลงมาด้วยความเร็วสูง หรือว่าจะเป็นพัดลมเพดานหลุดลงมาใส่พวกเรา แล้วที่น่ากลัวกว่านั้นคือวันนั้นหลังจากที่พวกเราตื่น เราตัดสินใจขับรถกลับแอลเอกันเลย ซึ่งเดนเวอร์มาแอลเอระยะทางไม่น่าต่ำกว่าภูเก็ตไปเชียงใหม่ เกือบ ๆ สองพันกิโล มันค่อนข้างไกลมาก ออกจากเดนเวอร์เที่ยงๆ ถึงแอลเอตอนตีห้า การขับรถไกลขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้พัก มันอาจจะทำให้เราหลับในจนเกิดอุบัติเหตุก็ได้
หลวงพ่อท่านบอกว่า สิ่งนึงที่ทำให้เราไปเจอเหตุการณ์นี้คือตัวน้องชายเรา คือน้องชายผมเค้าเคยมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์นึง เค้าไปทำอะไรบางอย่างโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ สมัยนั้นเพื่อนสนิทน้องชายพาแฟนใหม่ไปทำแท้ง เพื่อนมาขอยืมเงินแต่น้องชายผมไม่ได้ให้ยืม แต่น้องชายผมเป็นคนไปรับผู้หญิงคนนั้นกลับบ้าน คือไปเกี่ยวข้องกับชีวิตของเด็กคนนั้น แต่หลังจากนั้นน้องผมก็ทำบุญทำสังฆทาน ทำบังสุกุลใหญ่กรวดน้ำไปให้แล้วนะ ไม่รู้ทำไมเค้าถึงยังตามมาอยู่
แต่ผมไม่รู้ว่าการที่ผมเจอเจ้ากรรมนายเวรในที่ต่างๆในต่างประเทศ มันจะเหมือนกับที่ผมเจอในเมืองไทยเราหรือไม่ ในไทยเราพอเข้าใจได้ว่าเราทำเวรทำกรรมชาติที่แล้ว แต่นี่ไปไกลถึงอเมริกา แล้วที่เที่ยวมีตั้งหลายที่ แต่ทำไมเราถึงต้องไปที่นั่น แล้วเราไปเจอตรงนั้น จนทำให้เราเกือบจะมีเคราะห์ทั้งครอบครัว แต่ว่ายังดีเรายังมีบุญเก่า ทำให้เรารอดมาถึงตรงนี้ได้
ทุกวันก็ยังไม่รู้ว่าที่เราเจอในบ้านหลังนั้น พวกเค้าคือใคร แต่เท่าที่คุยกับแม่และสิ่งที่ผมเห็น ในห้องนั้นมันไม่ได้ผีแค่ตนเดียว แต่เค้าอยู่กันเยอะมาก และเค้าคงต้องการเอาเราไปแทนที่เค้า
ขอบคุณที่มา EFM อังคารคลุมโปง
เรื่อง บ้านพักรีสอร์ทหลอนที่อเมริกา คุณต้า
ถอดความโดย แอดมิน คลังหลอน