เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรา (เจ้าาของกระทู้) ฟังมาจากยายกับน้า เป็นเรื่องที่เคยเห็นสถานที่จริง และไปมาด้วยตัวเองแล้ว
ขอเกริ่นนำนิดนึงนะคะ เราเป็นคนไทยค่ะแต่มีญาติฝั่งแม่อยู่ที่ลาว แล้วก็มีธุรกิจที่ลาวด้วยเลยทำให้ได้มีโอกาสไปลาวทุกๆปี ไปตั้งแต่เด็กติดตามพ่อไปจนหลังๆเริ่มโตพ่อให้ไปเอง ทุกครั้งที่ไปลาวก็จะมีตาหรือไม่ก็คนที่บ้าน (บ้านที่ลาว) มีเรื่องแปลกๆมาเล่าให้ฟัง อย่างที่รู้ๆคนที่เคยไปลาวมีแค่บางเมืองที่เจริญแท้จริง แล้วลาวยังมีอีกหลายเมืองที่กันดาร ชนิดแบบกันดารมากๆ
เมืองที่เราอยู่ อยู่ทางภาคกลางของลาวค่ะ ไม่กันดารมากแต่ก็ไม่ถึงกับเจริญ ทุกวันนี้แค่ฟ้าร้องไฟยังดับ บางทีแอบบ่นนี่ขนาดฝนยังไม่ตกนะ เรามีที่นาและไร่ที่ลาวค่ะ เข้าเรื่องเลยนะคะ
ย้อนกลับไปประมาณ 7-8 ปี ปีนั้นเป็นช่วงคุณยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายก ราคายางพาราพุ่งมาก ที่บ้านเรามีฟาร์มที่ลาวค่ะเลยต้องมีการส่งกล้ายางไปที่ลาวบ่อย อีกทั้งช่วงนั้นตรงกับช่วงค้าไม้คะยูงเฟื้องฟูมาก และยังตรงกับช่วงทำนา
วันนั้นพ่อให้ไปดูฟาร์มคนเดียว เราเดินทางไปยังลาวเหมือนทุกปี พอไปถึงก็เอากระเป๋าส่วนนึงไปไว้ที่บ้านพักในหมู่บ้าน หลังจากนั้นเราก็ได้ไปดูความเรียบร้อยที่ฟาร์ม โทรบอกพ่อที่ไทยเป็นอันเสร็จงาน ทีแรกไม่ทราบว่าต้องไปนอนที่นาค่ะ เข้าใจว่าต้องนอนที่บ้านเหมือนทุกครั้ง ปรากฏว่าเป็นช่วงทำนา
ปกติที่ลาวถ้าช่วงทำนาเขาจะย้ายทุกอย่างไปปักหลักที่นา ในหมู่บ้านแทบจะไม่มีคนอยู่เลย ย้ายทุกอย่างชนิดที่ว่า ไก่ วัว หมา แมว เอาไปที่นาให้หมด ระยะทางจากหมู่บ้านไปที่นาประมาณ 2 กิโลไม่ไกลมาก แต่สภาพถนนคือดินแดง ไม่ใช่ถนนลูกรังแบบมีหินผสมนะคะ เป็นถนนดินแดงที่เวลาโดนน้ำถนนจะเหลวมีบ่อมีหลุ่มเต็มไปหมด ถนนแคบๆตัดไปตามทุ่งนาบ้างป่าบ้าง ต้องนั่งรถไถนาไป กว่าจะถึงตัวเถียงนาคือ เละเทะมาก พอไปถึงที่นาก็มืดแล้วค่ะ ต้องจุดตะเกียงและก่อฟืน อยู่ในเถียงนาตอนนั้นประมาณ 7 คนค่ะ แต่จะเล่าแค่คนที่เกี่ยวของนะคะ นั่นก็คือ ตา ยาย น้าสาว ให้ชื่อ ลำดวน ละกันค่ะ
ช่วงนั้นตาจะสวดมนต์ทำวัตรหนักมาก ยายเล่าให้ฟังว่าไปได้หนังสือพระมาก็อ่านๆไปทีแรกก็ไม่เท่าไหร่ หลังอ่านบ่อยทุกวันเช้าเย็น แต่ตอนนี้คือหนักว่านั้น เพราะตาเริ่มหันมารักษาศีลแผ่เมตตาจนเป็นเรื่องปกติ เราเลยถามว่าทำไม น้าลำดวนนั่งทำกับข้าวอยู่ใกล้ๆเลยเล่าให้ฟังว่า
เรื่องมันมีอยู่ว่า มีเพื่อนซี้กัน 2 คนให้ชื่อว่า ทิดกับน้อย เป็นคนในหมู่บ้าน ช่วงนั้นมีการค้าไม้พยุงผิดกฎหมายกันที่ลาว พวกผู้ชายในหมู่บ้านแทบจะอยู่ไม่ติดบ้านเพราะต้องขึ้นไปตัดไม้พยุ่งบนเขา ทิดกับน้อยก็เหมือนกัน สองคนได้ช่วยกันขึ้นไปตัดไม้แล้วก็เอามาขายให้นายหน้า แต่ตกลงแบ่งผลประโยชน์ไม่ได้เพราะทิดอยากได้คนเดียว เลยเอาปืนลูกซองยิงน้อยตาย คือตายคาที่ หลังจากนั้นก็หนีเข้าป่าไป
พอที่ที่บ้านของน้อยทราบเรื่องก็โกรธมาก ทางตำรวจต้องการจะจับเป็นแต่บ้านของน้อยไม่ต้องการแบบนั้น แต่ก็ตามจับกันอยู่นานก็ยังไม่เจอแม้แต่เงาของทิด จนมีการปรึกษาหมอธรรม ทางโน้นเขาเรียกกันแบบนี้นะคะ เพราะคนพวกนี้จะไม่นิยมมนต์สายดำมากเท่าไหร่ ทางบ้านน้อยจึงไปถามว่าทำไมยังตามจับไม่ได้ หมอธรรมเขาก็ทำพิธีของเขาจนได้รู้ว่า ตอนที่ทิดฆ่าน้อยตาย (คือนึกภาพตามนะคะอันนี้ยายบอกมา คนที่เขาขึ้นเขาบ่อยๆ จะด้วยเหตุผลไปล่าสัตว์ หรือตัดไม้ก็ตาม เขาต้องมีของหรือบางสิ่งคุ้มครองตัวเขาอยู่แล้ว ทิดก็เป็นหนึ่งในพวกที่พอจะมีวิชาอยู่บ้าง)
ในตอนที่ทิดฆ่าน้อยแล้ว ทิดได้เอาเลือดของน้อยทาตามใบหน้าและตัว ไม่ทราบว่าเป็นมนต์แบบไหนนะคะ แต่วิญญาณจะไม่สามารถหาเราเจอ พอรู้แบบนี้ที่บ้านของน้อยก็ขอให้หมอธรรมช่วย แต่เขาก็ปฏิเสธไป บอกให้ไปหาคนอื่นเพราะเขาไม่รับสายนี้ แต่ถ้าแค่บอกว่าเพราะอะไรทำไมถึงยังหาทิดไม่เจอ
หลังจากนั้นทางบ้านน้อยก็ไปหาหมอธรรมคนอื่น อยู่ต่างหมู่บ้านเขาแนะนำให้เอาเสื้อหรือเศษผ้าของทิดคนที่ฆ่ามาทำพิธี แล้วเอาไปให้ตำรวจถือเวลาที่ไปค้นหาในป่า อารมณ์ประมาณเราให้หมาตำรวจดมกลิ่นค่ะแต่อันนี้เป็นการให้คนตายตามชุดคนที่ฆ่า แทน เราตอนฟังก็อึ้งๆเพราะที่ไทยไม่ค่อยมีลักษณะแบบนี้
พอทำแบบนั้นแล้ว วันนั้นช่วงบ่ายแก่ๆ ที่บ้านก็ได้ข่าวจากนาใกล้ๆเคียงว่าจับทิดได้แล้ว ตอนตำรวจไปเจอกำลังลงอาบน้ำในห้วย แล้วคือตำแหน่งห้วงที่ว่า ไม่ได้ไกลจากจุดที่ฆ่าน้อยเลย แต่หายังไงก็หาไม่เจอ ตอนที่ตำรวจไปเจอก็มีการต่อสู้ทิดจะหลบหนี แต่โดนยิงตายเพราะขัดขืน แต่เรื่องยังไม่ได้จบแค่นั้นสาเหตุที่ทำให้ตาเราสวดมนต์แผ่เมตตาหนักขึ้นมาจากเรื่องนี้
หลังจากนั้นข่าวนี้ก็แพร่ออกไปว่า ทิดตายเพราะโดนยิง ตัดมาที่ฝั่งตาของเรานะคะ ช่วงนั้นแกเข้าทางธรรมเยอะ แกนอนที่นากับพวกน้าๆปกติ ลักษณะเถียงนาจะเป็นสองชั้น ชั้นบนกำแพงจะทำจากใบไม้แบบเอาใบไม้มาสานๆแล้วเอามาทำฝาเถียง มีบันไดแบบพับขึ้นได้ข้างล่างเป็นใต้ถุนโล่งๆมีแคร่สามตัวเอาไว้วางของ ตากะยายนอนอยู่ชั้นล่าง
วันนั้นยายเล่าว่า ยายเข้ามุ้งกำลังจะนอน ตานั่งดูดบุหรี่อยุ่ข้างนอก คืนนั้นเป็นคืนเดือนหงาย ทำให้ไม่มืดมาก สักพักนึงได้ยินเสียงรถไถนา วิ่งมาจากหลังเถียงนา เสียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตาอยากรู้ว่าใครมันจะขับรถมาจากทางนั้นได้
ขอชี้แจงลักษณะหลังเถียงนานะ ข้างหลังเป็นทุ่งนาที่มีฝายขนาดใหญ่ มีนาที่ขอบคันนาสูงมา คนปกติเขาไม่มีใครขับรถผ่านแน่ๆ ด้านข้างของเถียงเป็นตอไม้จิกที่ตัดทิ้งให้นาโล่งแต่มันเป็นป่าจิก ตอไม้ก็ค่อนข้างเยอะ
เสียงรถไถนาดังมาจากข้างหลัง ดังมาเรื่อยๆมาด้านข้างเถียงนา ด้วยความสงสัยตาก็เพ่งมองอย่างใจจดใจจ่อ แล้วภาพที่ปรากฏข้างหน้าคือ ทิดเป็นคนขับรถไถ น้อยนั่งด้านหลัง ไฟจากรถไถสว่างมากจนตาเห็นได้ชัด แล้วก็รู้ว่าสองคนนี้แน่ๆ ทั้งสองมองไปข้างหน้าแต่ก็มีบางจังหวะหันกลับไปคุยกัน ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้มีความโกรธเคืองกันเลย สองคนนั้นไม่มีใครสนใจตาสักคน
ยายที่อยู่ในมุ้งถามตาว่า ดึกดื่นป่านนี้ใครยังขับรถไถมาอีก ตาค่อยๆเข้ามาในมุ้งแล้วถามว่า ได้ยินเสียงรถด้วยหรอ ยายบอกว่า ได้ยิน แล้วขับมายังไงทางข้างหลังไม่ชนตอไม้จิกหรอ ตาเลยพูดว่าไอ้ทิดกะไอ้น้อย แค่นั้นแหละยายกะตาไม่ได้พูดไรต่อเลย พยายามข่มตานอนหลับกัน จนตื่นเช้ามาก็มาเล่าให้น้าลำดสนฟัง น้าลำดวนบอกได้ยินเหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าจะเป็นสองคนนั้น คิดว่าเป็นพวกที่มีไร่อยู่ตีนเขาที่ต้องขับผ่านเถียงไป เพื่อจะไปตีนเขา ตาบอกไม่อยากคิด ถ้าสองคนนั้นหันมาหาจะรู้สึกยังไง เพราะขับเฉียดเข้าใกล้เถียงนามาก
สรุปจากที่น้าลำดวนเล่าให้ฟังนะคะ ช่วงนั้นตาเขาเคร่งเรื่องธรรมมะมาก ถึงแม้สองคนนั้นกับตาจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันก็จริง แต่เหมือนลมเพลมพัดให้สองคนนั้นมาขอบุญจากตา แกก็เลยมีพฤติกรรมแปลกๆแบบที่เห็น ปัจจุบันนี้สถานที่เดิมๆก็ยังอยู่ ผ่านมา 8 ปี แถวนั้นก็ยังไม่ได้รู้สึกว่าพัฒนาหรือเจริญขึ้นเลย เรื่องราวทั้งหมดก็มีเท่านี้ขอบคุณค่ะ
ขอบบคุณที่มา สมาชิกหมายเลข 2669078 เรียบเรียงโดยแอดมิน คลังหลอน