หลอน ณ กิ่วฝิ่น

ณ กิ่วฝิ่น
ณ กิ่วฝิ่น

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเดือนมกราคม 2560 กรุ๊ปเราได้จัดทริปเชียงใหม่-ลำปาง 3 วัน 2 คืน ไปด้วยกัน 4 คน ขอใช้ชื่อสมมตินะคะ มีพี่เอ พี่บี (พี่เอและพี่บีเป็นแฟนกัน และพี่เอคือผู้ชายหนึ่งเดียวของทริปนี้) พี่ซี และแทนตัวเราว่า ดี นะคะ พี่ซีและเราไม่เคยไปเที่ยวที่ลำปางมาก่อน เลยอยากไปมากกกกกกก  มีเพียงพี่เอและพี่บีที่เคยไป ก็เลยพึ่งพี่ๆ ให้วางแผนทริปนี้ให้ 

ตามแผนที่วางกันไว้ คืนแรกพวกเราไปพักที่ดอยอินทนนท์กัน ขอบอกเลยว่าอากาศหนาวมากกกกก สมกับที่อยากไปสัมผัสอากาศหนาวกัน หลังจากเดินทางและแวะเที่ยวกันมาทั้งวัน พวกเราก็กางเต้นท์กันสองหลัง ถัดจากเต้นท์เราไปก็มีเต้นท์นักท่องเที่ยวคนอื่นมากางเต้นท์เช่นเดียวกัน จนเต็มลานกางเต้นท์เลยค่ะ คนเยอะก็รู้สึกอุ่นใจ คืนแรกก็ผ่านไปด้วยดีนะคะ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เช้ามาก็เก็บเต้นท์ ออกเดินทางไปเที่ยวที่ต่อ จนมาถึงแม่กำปองตอนเย็นๆ พวกเราแวะทานอาหารเย็นกันที่นี่ พอทานเสร็จก็ใกล้ค่ำแล้ว พวกเราจึงรีบเดินทางไปยังที่พักในคืนที่สองกัน ทางขึ้นกิ่วฝิ่นเป็นอะไรที่แคบมาก โค้งหักศอกเยอะ และทางชันมากกกกกกกกกถึงมากที่สุด ยิ่งใกล้ค่ำ ทางยิ่งมืด ยิ่งน่ากลัว รู้สึกวังเวงสุดๆ ไปเลยค่ะ ช่วงเวลานั้นเรานึกถึงภาพบรรยากาศในหนังผีขึ้นมาทันที เป็นฉากประมาณว่ากลุ่มนักแสดงนำขับรถไปตามทางเปลี่ยวสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ บรรยากาศใกล้พลบค่ำแบบที่เจอในตอนนั้นเป๊ะเลยอะค่ะ และตอนที่ใกล้จะถึงกิ่วฝิ่นเราก็เหลือบไปเห็นสุนัขลายสีดำขาวหนึ่งตัวกำลังวิ่งเหยาะๆ อยู่ข้างทาง พอรถขับไปอีกก็เจออีกครั้งสีและลายเดียวกันเด๊ะ คิดในใจว่า หมาอะไรวิ่งเร็วจังเลยฟะ เอ๊ะ หรือจะใช่…นะ และก่อนจะถึงหน้าทางเข้ากิ่วฝิ่น ก็เจออีกสุนัขสีเดิมลายเดิมเหมือนกับที่เห็นมาสองครั้งก่อน คราวนี้แบบว่ามั่นใจเลยค่ะ ม่ายยยยยยนะ อันนี้ก็หลอนไปคนเดียว

ในที่สุดก็ถึงที่พักของคืนที่สอง กิ่วฝิ่น บรรยากาศชวนให้ขนลุกอย่างบอกไม่ถูก มันทั้งเงียบ ทั้งมืด ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยสักคน เงียบกริ๊บบบ โอ๊ย รู้สึกเอิ่ม…อธิบายไม่ถูกเลยค่ะ จะว่ากลัวก็กลัว แต่ค่อนไปในทางระแวงมากกว่า ไม่รู้ระแวงอะไร ณ ตอนนั้น คนหรือ… พอลงจากรถปุ๊บ แล้วมองเห็นศาลเรารีบยกมือไหว้ฝากเนื้อฝากตัว บอกล่าวท่านก่อนเลยทันทีค่ะ ไม่รู้ล่ะ มาที่แบบนี้ปลอดภัยไว้ก่อน 5555  และแล้วเราก็เห็นสุนัข 4 ตัว ลายเดียวกันเด๊ะ ขนาดตัวไล่เลี่ยกันกำลังรวมกลุ่มกันอยู่ เรานี่ใจชื้นขึ้นมาเลย ทีแรกคิดว่าจะเจอผีน้องตูบเข้าซะแล้ว ที่ไหนได้มโนไปเอง 

ตัดภาพไปที่พี่ซีเมื่อรู้ว่ากิ่วฝิ่นคือที่นี่ ก็ต่อว่าพี่บีใหญ่เลยว่า ทำไมไม่ปรึกษาก่อนว่าจะมาพักที่แบบนี้ มันทั้งเปลี่ยวและทางก็อันตราย  พี่ซีเหวี่ยงจนบรรยากาศเริ่มกร่อย เพราะทั้งพี่เอ พี่ซีและเรา ไม่มีใครรู้ว่ากิ่วฝิ่นเป็นแบบไหน มีพี่บีคนเดียวที่เคยมาพัก พี่บีเคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อครั้งที่เคยมากับครอบครัวมีกลุ่มนักเรียนมากางเต้นท์เต็มไปหมด ครึกครื้นเชียว ในมโนของพวกเราสามคนก็เลยคิดว่าจะเป็นเหมือนที่ดอยอินทนนท์ 

พอพี่ซีใจเย็นแล้วพวกเราสี่คนก็เดินลงเนินเล็กๆ ไปกัน ด้านหน้าจะเป็นจุดชมวิว ทางซ้ายมือจะเป็นลานปูน เหมือนเป็นลานอเนกประสงค์ ไม่ใหญ่มาก มีหลังคา และข้างๆ กันมีห้องเก็บของด้วย พวกเราเห็นผู้ดูแลประจำ ณ กิ่วฝิ่น 3 คน กำลังทานอาหารกันอยู่ที่โต๊ะไม้  โดยมีกองไฟ และเทียนเล่มใหญ่ คล้ายๆ เทียนพรรษาที่นำไปถวายวัดอะค่ะ ใช้เป็นแสงสว่างของพวกเขา 

เราก็คิดในใจว่า เอ๊ะ หรือพวกผู้ดูแลเขาจะประหยัดไฟกันนะเลยไม่เปิดไฟ ทั้งๆ ที่มีหลอดไฟห้อยอยู่ข้างๆ แท้ๆ พี่เอเลยถามผู้ดูแล เขาตอบว่าเครื่องปั่นไฟของที่นี่เสีย ไอ้เรานี่แบบว่าใจไปอยู่ตาตุ่มเลย แม่เจ้า!! มืดก็มืด ไฟฟ้าไม่มี แบตใกล้จะหมด สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่ค่อยจะมีอีก พี่เอเลยแก้ปัญหาโดยขอยืมหลอดไฟ  สายไฟของผู้ดูแลมาต่อพ่วงเข้ากับรถเราเอง ก็เลยทำให้มีแสงสว่างบ้าง พอให้อุ่นใจไปได้นี๊ดนึง ผู้ดูแลที่นี่ใจดีมากค่ะ ขอยืมอุปกรณ์อะไรก็สรรหามาให้ ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้

หลังจากนั้นพวกผู้ดูแลก็แยกย้ายไปพักผ่อนในอาคารที่อยู่บนเนิน ส่วนพวกเราก็ช่วยกันกางเต้นท์สองหลังที่ลานปูน แล้วไปอาบน้ำ จากนั้นก็ต้มน้ำ ต้มบะหมี่ทานกัน สักพักก็เริ่มชินกับบรรยากาศรอบข้าง จะว่าไปแล้วที่นี่ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด บรรยากาศสงบเงียบดี อากาศเย็นสบาย ทำให้พูดคุยกันสนุกสนาน จนความรู้สึกกลัวค่อยๆ คลายลงไปเรื่อยๆ พวกเราสี่คนถึงขั้นใจกล้าเดินไปชมวิวอีกที่ที่อยู่ห่างจากที่พักไปประมาณสองร้อยเมตรได้ พี่ซีเดินนำ พี่บีตาม เรา และพี่เอปิดท้าย บุรุษหนุ่มหนึ่งเดียวในกลุ่ม พี่ชายที่พึ่งพาได้สุดๆ หลังจากชมดาวกันเสร็จก็กลับที่พัก

พวกเราก็แยกย้ายกันเข้านอน พี่เอกับพี่บีนอนด้วยกัน เรากับพี่ซีนอนด้วยกัน ก่อนเข้านอนก็ปิดเต้นท์อย่างมิดชิดทั้งประตูผ้ามุ้งและประตูผ้าเต้นท์ชั้นนอก ไม่เปิดระบายลมเลย เพราะอากาศเริ่มหนาวมากขึ้น เลยไม่ทำให้รู้สึกอึดอัด พอเวลาประมาณเที่ยงคืนกว่า พี่ซีก็ปวดชิ๊งฉ่องก็เลยเรียกเราเบาๆ และเรียกพี่บีที่อยู่อีกเต้นท์นึง ให้ตื่นไปเป็นเพื่อนกัน ทุกคนก็ตื่นอย่างง่ายดายลุกอย่างไม่อิดออด พอเข้าห้องน้ำเสร็จก็กลับมานอนต่อ

หลังจากนี้ไป พี่ซีเป็นคนเล่าให้ฟังนะคะ พอหลับไปสักพักพี่ซีก็ได้ยินเสียงเหมือนคนเดิน ทำกิจกรรมอะไรสักอย่างอยู่รอบๆ เต้นท์ เหมือนเป็นเสียงคนคุยกัน เลยคิดว่าเช้าแล้วเหรอ ผู้ดูแลถึงได้มาทำนู้นนี่นั่นกัน แบบว่าเสียงชัดเจนมาก จนพี่ซีลืมตาขึ้นมามอง พอลืมตามาสิ่งที่เห็นคือ ประตูผ้าเต้นท์ชั้นนอกถูกเปิดออกครึ่งนึง และลมพัดประตูผ้าเต้นท์ปลิวสะบัดไปมา แต่ประตูผ้ามุ้งชั้นในยังปิดไว้เหมือนเดิม หลังจากที่เห็นแบบนั้นเลยตั้งสติแล้วมองออกไปว่าพวกเขามาทำไรกันนะ ที่สำคัญคือมาเปิดเต้นท์กุทำไม เลยตัดสินใจลุกขึ้นนั่งเพราะจำได้ว่าเอามีดอีโต้ซ่อนไว้ที่ปลายเท้า เลยกะว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นก็สู้ยิบตาค่ะ ณ จุดนั้นกลัวคนมากกว่าผีค่ะ

พอดีคืนนั้นเป็นคืนเดือนหงายเลยเห็นรายละเอียดค่อนข้างชัดว่าพวกเขาทำท่าทางเหมือนกำลังจะกางเต้นท์ข้างๆ เต้นท์เรา พี่ซีในตอนนั้นมือนึงก็ควานหามีด อีกมือนึงก็เขย่าตัวเรา แล้วเรียกเราว่า “ดีๆๆๆ ตื่นๆๆ” พี่ซีบอกว่าเขย่าแรงมาก แต่เราก็นิ่งไม่ยอมตื่น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้   ที่ยกโขยงไปห้องน้ำเรียกแป๊ปเดียวก็ลุกละ แต่ครั้งนี้เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น 

หลังจากเรียกแล้วไม่ตื่นก็เลยหันกลับไปมองด้านหน้าอีกครั้ง ก็เห็นว่าคนนึงกำลังผูกเชือกที่เสา อีกคนกำลังจัดแจงเต้นท์โดยหันด้านข้างให้พี่ซี เขาใส่หมวกมีปีก ใส่เสื้อยืดลายพลางเหมือนทหาร กางเกงขายาวมีกระเป๋าด้านข้างอยู่ในท่าคุกเข่าชันขาข้างหนึ่ง ที่เห็นชัดมีคนนี้คนเดียว อีกคนเห็นไม่ค่อยชัดเพราะอยู่ใกล้เสาค่อนข้างไกลกว่า ตอนนั้นพี่ซีสับสนมาก ว่าเกิดอะไรขึ้น เขามาทำอะไรตรงนี้ แล้วมาเปิดเต้นท์เราทำไม 

ช่วงที่กำลังคิดอยู่ก็มีอีกคนหนึ่ง ไม่รู้โผล่มาตอนไหน จู่ๆ ก็มาที่หน้าเต้นท์เรา ทำท่าเหมือนจะพยายามมุดเข้ามาแล้วเอื้อมมือจะมาเปิดประตูผ้ามุ้ง พี่ซีเห็นเป็นเงาดำๆ รูปร่างอวบๆ ณ ตอนนั้นทั้งพี่ซีและเขาห่างกันแค่คืบเดียว เพราะพี่ซีก็นั่งอยู่ที่ปลายเท้าของเราตรงประตูผ้ามุ้งเลย เรียกได้ว่านั่งประจันหน้ากันโดยมีแค่ประตูผ้ามุ้งและประตูผ้าใบเต้นท์กั้น  รู้สึกเหมือนเขาเอื้อมมือมากำลังจะรูดซิบ ตอนนั้นไม่นึกว่าเป็นผีเลย ตกใจรีบเอามือดึงซิบประตูผ้ามุ้งไว้ แล้วตะโกนถามว่า “ทำไรคะๆ” (มีอารมณ์พูดสุภาพเฉย 555 คงเพราะคิดว่าเป็นผู้ดูแล) แล้วหันไปเรียกพี่เอเต้นท์ข้างๆ “พี่เอ!!” ได้ยินเสียงพี่เอตอบกลับมาว่า “เอ้อ” 

สิ้นเสียง  คำว่าเอ้อของพี่เอ หางตาพี่ซีก็เหลือบกลับมามองประตูเต้นท์อีกครั้ง แต่ทุกอย่างกลับหายวับไปหมด เต้นท์ปิดสนิท ไม่มีร่องลอยลมพัดหรือผ้าเต้นท์ด้านนอกเปิดออกเลย เหลือเพียงพี่ซีที่จับซิปผ้ามุ้งค้างอยู่ท่านั้นคนเดียว เลยอุทานออกมาว่า “ใช่แล้วล่ะๆ” แล้วทิ้งตัวลงนอน คุมโปงทันที ส่วนพี่เอออกมาจากเต้นท์เดินสำรวจรอบๆ เต้นท์ แล้วพูดว่า “ไม่เห็นมีไรเลย” พี่ซีเลยตะโกนออกไปว่า “เสียงหมามั้ง รีบเข้าเต้นท์เถอะ” แล้วก็นอนทบทวนว่าเกิดไรขึ้น แต่ด้วยความที่ง่วงและเพลียมากเลยผล็อยหลับไป

กลับมาในส่วนของเราเอง ตอนที่พี่ซีเรียกและเขย่าตัวเรานั้น เรารู้สึกตัวนะ แต่เหมือนอารมณ์ความรู้สึกตอนนั้นประมาณว่า ทุกอย่างจะดูซอฟลงเมื่อเป็นสีพาสเทล  (เคยอ่านเพจนี้กันใช่มั้ยคะ ถ้าไม่เคยก็มุกแป้ก ขออภัยค่ะ) อารมณ์แบบนั้นเลยอะเหมือนกำลังอยู่ในภวังค์ความฝัน ความรู้สึกตอนนั้น  เหมือนภาพสโลวโมชั่นมัวๆ เบลอๆ รู้ว่าพี่ซีเรียกเรา เขย่าเรา แต่เรากลับรู้สึกว่าโดนเขย่าแบบสโลวโมชั่นอะ ได้ยินว่าพี่ซีตะโกนว่า “ทำไรค่ะๆ” โดยปกติถ้าเป็นแบบนั้นเราต้องรีบลุกปุบปับขึ้นมาแล้ว แต่ตอนนั้นเหมือนจะอยากลุกนะ แต่ตัวเรามันไม่มีแรง ลุกไม่ขึ้นอะ เรารับรู้หมดทุกอย่าง เราได้ยินหมดนะว่าพี่เอกับพี่ซีพูดอะไรกันบ้าง และก็ตอนนั้นจิตใต้สำนึกเหมือนบอกว่าไม่มีอะไรหรอก ไม่มีอะไรร้ายแรง ไม่เป็นไร รู้สึกว่าปากตัวเองพะงาบๆ จะพูดอะไรออกมา แต่ไม่มีเสียง เหมือนจะพยายามบอกพี่ซีว่าไม่เป็นไรหรอก อะไรประมาณนี้อะ คือแบบคล้ายกำลังฝันอยู่ เราเลยคิดว่าเราฝันไง งงมั้ย เราก็งงตัวเองในตอนนั้นเหมือนกัน แปลกใจจนถึงทุกวันนี้    

พอเช้า พวกเราก็เก็บของเดินทางลงมาที่แจ้ซ้อน พี่เอไปคุยกับเจ้าหน้าที่ที่แจ้ซ้อนว่าที่กิ่วฝิ่นมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นรึเปล่า เขาก็บอกมาว่ามีรถตกเขาที่แม่กำปอง ตายสองศพ (ลองไปหาข่าวอ่านดูแล้วกันค่ะ แต่ไม่รู้จะเกี่ยวกันรึเปล่านะคะ)

ปล. ในตอนนั้นขณะที่พวกเรากำลังเดินทางกลับบ้านก็คุยถึงเรื่องที่เจอผีกันตลอดทาง ก็ได้รู้ว่าพี่เอ พี่บี และเราไหว้เจ้าที่หมด ยกเว้นพี่ซีคนเดียวที่ไม่ได้ไหว้ นางบอกว่าตอนนั้นนางกำลังเหวี่ยงอยู่เลยไม่ได้สนใจศาลเลย แต่เพื่อความสบายใจเนอะ เกี่ยวรึเปล่าอันนี้ไม่รู้ รู้แต่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่ควรละเลยนะ

ขอบคุณที่อ่านเรื่องของพวกเรา สาบานได้ไม่ได้แต่งเรื่องขึ้น อมพระ ไม่สิ อมโบสถ์มาพูดเลยอะ

เรื่องหลอน ๆ จากพันทิป

Previous articleฉันสวยไหม
Next articleวิญญาณรักแฟนเก่า