
เมื่อ 4 ปีที่แล้วผมทำงานเป็นพนักงานขายประกันอยู่บริษัทแห่งนึง ผมได้มีการวางแผนกับทีมงานว่าจะไปขายประกันตามจังหวัดที่ไม่ค่อยมีคนไปกัน ทีมงานผมจะมีผู้ชาย 2 คนรวมผมและผู้หญิง 2 คน ทั้งหมดรวมเป็น 4 คน ซึ่งเราทั้งหมดก็เป็นเพื่อนร่วมงานกันนี่แหละ ระหว่างที่กำลังประชุมกันอยู่ ผมก็เสนอว่า งั้นไปจังหวัดแม่ฮ่องสอนกันสิ ทุกคนก็โอเค ซึ่งก่อนหน้านี้ผมเคยไปทำงานมา 1-2 ครั้งแล้ว แต่ไม่เคยเจอเหตุการณ์อะไร
ผมและทีมงานเดินทางจากกรุงเทพฯไปแม่ฮ่องสอน โดยขับรถออกจากกรุงเทพฯตั้งแต่เช้า ระหว่างที่ขับรถไปก็ผ่านอำเภอ อำเภอนึงในจังหวัดเชียงใหม่ ตอนนั้นเวลา 6 โมงเย็น ทางขึ้นก็จะมีแต่โค้งขึ้นไปตามเขา ซึ่งผมไม่ค่อยอยากขึ้นไปเท่าไหร่เพราะมันเริ่มมืดมากแล้ว เลยคุยกันว่าเราจะพักก่อนไหมหรือว่าเราจะขึ้นไปกันเลย ซึ่งอำเภอที่ผมจะพักก็คืออำเภอแม่สะเรียง มันอยู่ห่างออกไปอีกประมาณ 100 กว่ากิโลเมตร
ระหว่างที่ทีมงานกำลังปรึกษากันอยู่ ผมเลยตัดสินใจว่าจะขับรถขึ้นไปเลย เพราะกะว่าจะได้ไปถึงในคืนนี้และพักผ่อนทีเดียวเลย ตอนนั้นท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ระหว่างทางขึ้นเขานั้น จะมีแต่รถที่ขับสวนลงมาจากบนเขาตลอดทางเลย มีรถผมคันเดียวเท่านั้นที่ขับขึ้นไป ขับรถไปสักประมาณ 1 ชม. หรือราว ๆ 50 กิโลเมตร ทีมงานก็ปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ แต่ผมรู้แล้วว่าตลอดเส้นทางเส้นนี้มันไม่มีห้องน้ำ ต้องไปให้ถึงอำเภอแม่สะเรียงถึงจะเจอห้องน้ำ
เพื่อให้ถึงที่พักโดยเร็ว ผมขับไปต่อเรื่อย ๆ สองข้างทางก็จะมืดๆ ขณะที่ขับรถไปเรื่อย ๆ สายตาผมสังเกตุเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆอยู่ริมถนนและเห็นมีห้องน้ำเปิดไฟราง ๆ ไว้อยู่ใกล้ ๆ ผมก็เลยขับรถไปจอดเพื่อให้ทีมงานผมลงไปเข้าห้องน้ำกัน ส่วนตัวผมนั้นไม่เข้า เลยออกมายืนอยู่ข้างๆรถ
เมื่อเข้าห้องน้ำเสร็จทีมงานผมผู้ชายได้มากระซิบข้างๆหูผมว่า “ดูตรงนู้นสิ มีผู้หญิงนั่งรออยู่ตรงนู้นด้วย” ผมหันไปมองตามที่ทีมงานบอก ก็เห็นว่ามีผู้หญิงคนนึง ใส่ชุดสีออกน้ำตาลๆ นั่งไขว่ห้างอยู่ในศาลาคนเดียว เหมือนรอรถหรือรออะไรสักอย่าง เพื่อนมันเลยตัดสินใจว่าจะเดินเข้าไปถามว่าเขารออะไร หรือจะไปทางเดียวกับเราหรือเปล่า
ตอนนั้นผมไม่ได้คิดถึงเรื่องผีหรือว่าเรื่องอะไรเลย ผมคิดถึงแต่เรื่องโจรอย่างเดียว เพราะอยู่ติดชายแดนก็กลัวว่าจะเป็นโจรดักปล้นหรือเปล่า ผมจึงห้ามเพื่อนไว้ ระยะที่ผมยืนกับศาลาที่ผู้หญิงคนนั้นนั่งรออยู่ห่างกันประมาณ 50-60 เมตร ข้ามถนนไปก็ถึงเลย
หลังจากเข้าห้องน้ำกันเสร็จครบแล้ว ผมรีบเรียกให้ทุกคนรีบๆขึ้นรถ เพราะตอนนั้นมันเวลาประมาณ 3 ทุ่มกว่าแล้ว กว่าจะถึงที่พักต้องขับรถไปอีกตั้งไกล
ระหว่างที่ผมขับรถกำลังจะออกจากตรงนั้น แล้วก็ขับรถผ่านผู้หญิงคนนั้นไป แต่เหมือนผู้หญิงคนนั้นเค้าเห็นแสงไฟรถผม เค้าจึงหันมามอง แล้วทำหน้าดีใจ ทำตาเบิกโพลง เหมือนดีใจที่มีคนมารับเค้า
แต่ผมไม่ได้จอด รีบขับผ่านเลยไป พอผมมองกระจากข้าง ผมเห็นสายตาที่ผู้หญิงคนนั้นมองมา จากตอนแรกที่มองด้วยความดีใจ กลับกลายเป็นหน้าบึ้งในทันที แถมยังมองตามหลังรถผมมาอย่างไม่ละสายตา พวกทีมงานก็หันไปมองผู้หญิงคนนั้นเช่นกัน แต่ผมไม่ได้กล้ามองแล้ว มองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียวเลย หลังจากขับรถออกมาจนผู้หญิงคนนั้นลับตาหายไปในความมืดแล้ว ทุกคนก็นั่งคุยกันในรถว่า “โอ้โห น่ากลัวมาก สายตาเค้าโครตดุเลย ”
ผมขับรถต่อไปเรื่อยๆจนถึงอำเภอแม่สะเรียง ก็ตั้งใจว่าจะหาที่พัก จนไปเจอที่พักที่แรก ไปถึงผมก็เข้าไปติดต่อและจ่ายค่าห้องเรียบร้อย โดยที่ยังไม่ได้ดูห้องเลย ที่พักเป็นลักษณะคล้ายบ้านแบ่งให้เช่า เราเอาข้าวของเข้าไปเก็บในห้องพักก่อน แล้วก็ออกไปหาอะไรกินกัน ตอนซื้อของกิน ก็คุยกันว่า “ห้องมันน่ากลัวนะ ไม่มีใครพักเลย มีแค่รถพวกเราคันเดียว” แต่ผมบอกว่า “ผมเหนื่อยแล้วอยากพักผ่อน” แต่ทีมงานอีก 3 คนบอกว่า จะไม่นอนที่นี่
เราจึงต้องเอามติคนส่วนมาก “ถ้าไม่นอนเราก็เดี๋ยวเอากุญแจไปคืน แล้วเราก็เอาเงินที่เราจ่ายค่าห้องคืน” พอกลับมาถึงที่พักเพื่อนผมที่เป็นผู้ชายก็ไปติดต่อเคลียเรื่องค่าห้องและคืนกุญแจ ส่วนผู้หญิงอีก 2 คนกับผมก็จะแอบเข้าไปดูห้องหน่อยว่าห้องเป็นยังไง
พอเปิดห้องเข้าไปดูเห็นสภาพห้องเก่ามา มีสายไฟระโยงระยาง ทีวีตั้งอยู่บนเก้าอี้ตัวนึง เตียงนอนก็ดูแปลกๆ ผมก็คิดว่าดีแล้วละที่เราไม่พักที่นี่กัน ที่นี้ผมก็หันไปเห็นกฎระเบียบของโรงแรม ที่ปกติจะใช้พิมพ์แล้วเอามาแปะไว้ แต่ที่นี่ใช้เป็นแบบเขียนด้วยมือ ดูเก่ามาก จนเพื่อนผมเคลียเรื่องห้องเสร็จ เราก็เดินออกมาที่รถ เพื่อหาที่พักใหม่กัน
ที่นี้ทีมงานผู้หญิงคนนึงเค้าจะเป็นคนติดตุ๊กตามาก เวลาจะไปนอนที่ไหน เค้าต้องเอาตุ๊กตาไปด้วย วันนี้เค้าก็เอามาด้วยเช่นกัน แต่ปรากฏว่าตุ๊กตามันหายไป ทั้งๆที่วางไว้อยู่ข้างๆตัวตลอด ก็เลยคิดว่าน่าจะทำหล่นอยู่ที่ร้านที่เราไปกินข้าวหรือเปล่า เราจึงขับรถกลับไปดู แต่ตุ๊กตาก็ไม่ได้หล่นอยู่ที่นั่น ก็เลยนั่งคิดกัน หรือว่าจะลืมไว้ที่ที่พัก เลยวนรถกลับไปดูที่ที่พักนั้น
พอถึงที่พัก ผมก็เข้าไปคุยกับเจ้าของที่พักว่าช่วยเปิดห้องให้หน่อยได้ไหม พอดีเพื่อนน่าจะลืมตุ๊กตาไว้ในห้อง แต่เจ้าของบอกว่าไม่มีหรอกตุ๊กตาเพราะว่าตรวจห้องแล้ว แต่เจ้าของก็ใจดีพาเราไปเปิดดูห้อง เมื่อเปิดประตุห้อง แว๊ปแรกที่มองเข้าไปในห้องก็ไม่มีตุ๊กตาจริงๆ แต่มีอยู่จังหวะนึงผมลองเดินไปหยิบหมอนที่อยู่หัวเตียงขึ้นปรากฎว่า เจอตุ๊กตาอยู่ใต้หมอน พวกผม 4 คนมองหน้ากัน คิดแล้วว่ามันแปลก ๆ แล้วแหละ ต้องมีใครมากับเราแน่ ๆ
ลักษณะของตุ๊กตาจะคล้ายๆ กับตุ๊กตาโดเรมอนตัวเล็กๆ ถ้าเอาหมอนปิด หมอนมันต้องนูนขึ้น เพราะตัวมันหนาอยู่ แต่นี่เราเดินเข้าไปครั้งแรกกับมองไม่เห็นมันเลย ถ้าไม่ยกหมอนขึ้นก็คงไม่เจอตุ๊กตา หลังจากนั้นเราก็เอาตุ๊กตากลับมาที่รถ ทีมงานผู้หญิงที่เป็นเจ้าของตุ๊กตาก็เอาตุ๊กตาวางไว้ในรถ และเปิดประตูไว้ จังหวะนั้นผมหันไปเห็นว่ามีมือแห้งๆ ยาวๆ ยื่นจะมาจับตุ๊กตา ผมตกใจเลยตะโกนว่า “เห้ย” ทุกคนก็ตกใจตามผม ด้วยความกลัวอยู่แล้ว ทุกคนจึงไม่พูด ไม่ถามว่าผมเห็นอะไร
ผมก็เลยบอกว่า “งั้นเดี๋ยวเราไปหาที่พักใหม่กันเถอะ อยู่ในอำเภอเดียวกันนี่แหละ แต่อยู่กันคนละสถานที่” พอไปถึงโรงแรมใหม่นี้ เราต้องไปติดต่อเจ้าของห้องอีกที่นึง ซึ่งโดยปกติแล้วเจ้าของห้องต้องอยู่ที่ตึก แต่ที่นี่ผมต้องเดินข้ามไปอีกฝั่งนึงเพื่อไปติดต่อ ไปถึงผมก็ตกลงจ่ายค่าห้อง จนได้กุญแจมา แต่ห้องก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนอีก เพราะไม่ได้มีใครเดินมาส่ง
โรงแรมนี้มี 4 ชั้น เมื่อเข้าไปในโรงแรม บันไดจะอยู่ตรงกลาง ต้องเดินวนขึ้นไป ตอนนั้นเราอยู่กันที่ชั้น 2 ก่อนที่เราจะเข้าห้อง ทีมงานผู้หญิง 2 คนได้พูดกับผมว่า “ขอนอนด้วยได้ไหม” แต่ผมตอบกลับไปว่า “แยกนอนหญิงๆ ชายๆ” ห้องละ 2 คน พอตกลงกันได้แล้ว เราก็แยกย้ายกันเข้าห้องของตัวเอง
พอผมเปิดประตูเข้ามาในห้อง ปรากฏว่ามันเป็นห้องเตียงคู่ 2 เตียง มีร่องอยู่ตรงกลาง ผมนอนเตียงขวา เพื่อนนอนเตียงซ้าย ด้วยความเหนื่อยจากการที่ขับรถมาไกล ผมเลยหลับเป็นคนแรก ขณะที่ผมนอนหลับอยู่ ผมก็ต้องสะดุ้งตื่น เมื่อได้ยินเสียงเหมือนมีคนกดชักโครกอยู่ในห้องน้ำ ผมก็คิดว่าเพื่อนเข้าห้องน้ำอยู่หรือป่าว ก็เลยตะแคงซ้ายหันไปมองเพื่อน แต่สิ่งที่ผมเห็น มันกับไม่ใช่เพื่อนของผมนะสิ
ผมเห็นเป็นผู้ชายยืนอยู่ข้างๆ เพื่อน เขายืนมองเพื่อน แต่ไม่ได้มองผม หัวเขาจะล้านๆ ตัวมอมๆ ผมมองไปที่เพื่อน ก็รู้ทันทีเลยว่า เพื่อนน่าจะโดนตั้งแต่ผมนอนหลับอยู่ก่อนแล้ว เพราะเขานอนเอาผ้าห่มคลุมโปงอยู่ คลุมทั้งตัวแบบไม่อยากรับรู้ไม่อยากเห็นอะไรทั้งสิ้น
ผมพยายามหยี่ตาดู ผู้ชายคนนั้นก็ค่อยๆก้มลงมองเพื่อนผมเรื่อย ๆ จนผมเข้าใจแล้วว่าทำไมทีมงานผมถึงปิดคลุมโปง เพราะว่าเพื่อนถูกมองตั้งแต่เข้าห้องมาแล้ว (เดี๋ยวผมจะสรุปให้ฟังอีกที่ตอนจบว่าทำไม)ด้วยความกลัวว่าผู้ชายคนนั้นจะหันมามองผม ผมจึงหันหน้ากลับมาหลับตานอนต่อ พักนึงผมก็ผลอยหลับไป
ส่วนทางด้านห้องทีมงานผู้หญิง มีคนนึงที่เค้าเป็นคนหลับง่าย หลับไปก่อนแล้ว เหลืออีกคนที่ยังดูทีวีอยู่ ขณะที่กำลังดูทีวีอยู่ จู่ ๆ ไฟในห้องก็ดับ แอร์ก็ดับ จนภายในห้องมืดสนิท เงียบสงัด ด้วยความกลัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ว่าอดทนอดกลั้น จึงหยิบมือถือขึ้นมาเล่นต่อ
ปกติแล้วผู้หญิงเค้าจะชอบเอาเครื่องสำอางออกมาวางไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้งใช่ไหม จังหวะที่เค้าปิดโทรศัพท์และกำลังจะนอน จู่ ๆ เค้าก็เห็นผู้หญิงคนนึงนั่งหันหลังให้ และกำลังแต่งหน้าอยู่ตรงโต๊ะเครื่องแป้ง ด้วยเครื่องสำอางของเพื่อนผม….
แต่พอเพื่อนผมมองไปที่กระจกกับไม่เห็นอะไร ทั้ง ๆ ที่ผู้หญิงคนนั้นยังนั่งหันหลังให้อยู่ตรงหน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง ขณะที่เพื่อนผมกำลังจองมองหลังของผู้หญิงคนนั้นอยู่ จู่ ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มหันคอมาถามเพื่อนผมว่า “ฉันสวยไหม” หลังจากนั้นเพื่อนผมภาพตัดไปเลย
ตอนเช้าผมเข้ามาปลุกทีมงานผู้หญิงทั้ง 2 คน เปิดประตูเข้าไปก็เห็นว่าคนนึงหลับสนิท ส่วนอีกคนเป็นลมไปอยู่ กว่าจะตื่นกว่าจะออกมาจากโรงแรมก็สายมากแล้ว ตอนออกมาเราพึ่งมาสังเกตว่าโรงแรมมันตั้งอยู่ติดกับบ้านร้าง เป็นบ้านไม้สูงๆ ทำให้ผมนึกย้อนถึงเรื่องราวและสถานที่ต่าง ๆ ตั้งแต่ที่ศาลา ที่พักที่แรก และโรงแรมแห่งนี้
หลังจากที่เรากำลังจะเดินทางออกจากโรงแรมนี้เพื่อไปทำงานต่อ พอทุกคนขึ้นรถ ต่างคนต่างเล่าเรื่องของแต่ละคนที่ได้เจอมา วันนั้นทุกคนแทบไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานกัน ผมจึงบอกว่างั้นเราไปนอนกันที่แม่ฮ่องสอนกันเลยแล้วกัน
ตอนนี้เพื่อนผมคนที่ทักว่าเห็นผู้หญิงในศาลา เริ่มรู้สึกกลัวมากละ จังหวะพอดีขับรถออกมาได้นิดเดียว มันหันไปเห็นพระรูปนึงกำลังเดินอยู่ริมถนน เราก็เลยคุยกันว่า “งั้นเราลองลงไปทำบุญกันหน่อยไหม”
ผมจึงจอดรถ นิมนต์พระท่าน แล้วก็ทำบุญตามปกติ ระหว่างที่ทำบุญพระท่านก็ได้พูดภาษาอะไรไม่รู้ เหมือนเป็นภาษาพม่า พูดแล้วก็หันไปที่รถ แล้วก็หันกลับมาบอกว่า “ยังไม่ลงมาอีกหรอ” ด้วยความตกใจผมจึงลุกขึ้นไปเปิดประตูรถ แล้วก็พูดว่า “ลงมา ไม่ให้ไปด้วย” แล้วเปิดประตูรออยู่อย่างนั้น
ทีมงานผมทุกคนหน้าเหวอ ช็อค ตกใจกันหมด ผมเปิดประตูทิ้งไว้อย่างนั้น แล้วกลับมาไหว้พระกันต่อ พระท่านบอกว่า “เค้าอยู่นี่แล้ว พวกโยมเดินทางไปแม่ฮ่องสอนกันต่อได้เลย ไม่มีอะไรแล้ว”
หลังจากที่เรากราบลาพระท่านเสร็จแล้ว และกำลังจะเดินไปขึ้นรถออกเดินทางเพื่อเข้าเมืองต่อ พระท่านก็พูดตามหลังมาว่า “ตุ๊กตาตัวนั้นเค้าขอได้ไหม”
ผมและทีมงานก็พากันงง แล้วผมก็บอกกับเพื่อนเจ้าของตุ๊กตาว่า “ให้ไปเถอะ ไม่งั้นเด๋วตามมาอีกกกก” แล้วผมก็เอาตุ๊กตาไปใส่ย่ามของพระ เสร็จแล้วพากันขับรถเข้าเมืองต่อ ระหว่างทางต่างคนต่างมีข้อสงสัยกันเต็มไปหมด พอเดินทางมาถึงที่พักแม่ฮ่องสอน ครั้งนี้เราทั้ง 4 คน นอนรวมห้องเดียวกันหมดเลย
ขณะที่เรากำลังนอนกันอยู่ ก็ได้ยินเสียงขบวนแห่อะไรสักอย่าง พอออกมาดูที่ระเบียง เห็นเป็นเหมือนงานไล่ผี เรียกผี พอมองไปรอบ ๆ ก็จะเห็นว่า ที่หน้าบ้านของชาวบ้านจะมีกระโจมไฟจุดไว้หน้าทุกหลังเลย พวกเค้าออกมาเดินแห่ตามถนนรอบแม่ฮ่องสอน ตลอดทั้งคืนเลย
จนเช้าวันต่อมา เราออกไปพบลูกค้า ซึ่งเป็นชาวบ้านแถวนั้น ผมถามลูกค้าว่าเมื่อคืนเค้ามีงานอะไรกัน แล้วเล่าเรื่องที่เจอมาให้ลูกค้าฟัง ลูกค้าก็บอกว่า “เมื่อวานที่ชาวบ้านเค้ามีงานเรียกผี เพราะสัมภเวสีต้องการส่วนบุญ แต่ละบ้านจึงต้องมีเครื่องเซ่นวางไหว้หน้าบ้าน เพื่อให้ผีหรือสัมภเวสีพวกนี้กิน ส่วนผู้หญิงคนที่คุณบอก ที่เค้าติดรถมาด้วย อาจเป็นเพราะว่าเขารู้ว่าที่นี่มีงานผี และคุณจะมากันทางนี้พอดี เค้าก็เลยขอติดรถมาด้วย”
ผมก็ถามต่อว่าและวิญญาณที่ผมเจอที่โรงแรมใช่ตนเดียวกับที่ติดรถมาด้วยไหม ลูกค้าก็บอกว่า ไม่ใช่ เป็นคนละคนกัน ผู้หญิงตนนั้นนน่าจะเป็นวิญญาณที่อยู่แถวนั้น มันคงจะเป็นวันที่คุณทั้ง 4 คนดวงตกพร้อมกันพอดี จึงทำให้มาเจอวิญญาณที่อยู่ในบ้านร้างหลังนั้น
ส่วนผีที่มาหลอกผมกลับเพื่อนผู้ชายตอนที่พักที่โรงแรม เพื่อนผมเล่าให้ฟังที่หลังว่า ตอนนั้นผมหลับไปแล้ว และเพื่อนผมกำลังนอนอยู่ อยู่ ๆ เพื่อนก็เห็นร่างผู้ชายหัวล้านอยู่ในห้อง ตอนนั้นเพื่อนรู้ละว่าไม่ใช่คนแน่ ๆ จึงเอามาห่มมานอนคุมโปง แต่อีกใจก็อยากรู้ เลยหยี่ตามองดู ร่างนั้นก็เดินเข้ามาตรงระหว่างเเตียงผมกับเตียงเพื่อน แล้วยืนนิ่ง หันซ้ายหันขวา เค้าคงคิดว่าจะหลอกใครดี แล้วแจ็กพอตก็ไปตกที่เพื่อนผม
สงสัยใช่ไหมว่า วิญญาณผู้ชายหัวล้านเค้าเป็นใคร ลูกค้าเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้าที่จะมีโรงแรมที่พวกคุณไปพัก เมื่อก่อนตรงนั้นจะมีแค่บ้านร้างหลังนั้นหลังเดียว พอโรงแรมมาสร้างก็ดันไปสร้างเบียดกับบ้านร้าง ซึ่งก่อนหน้านี้บ้านร้างหลังนั้นเคยมีตากับยายอาศัยอยู่ และพวกเขาไม่ยอมให้โรงแรมมาสร้างตรงนี้ พอตากลับยายเสียไปจึงแค้นเลยมาหลอกหลอนคนที่มาพักร่วมถึงพนักงานและเจ้าของตลอด จนทำให้โรงแรมนี้ไม่มีใครเข้ามาพักอีกเลย
ที่มาเดอะช็อค เรื่อง ฉันสวยไหม คุณป๊อป ถอดความโดย คลังหลอน