เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ของพี่แม่บ้านที่บริษัทของลุง ขอสมมุติว่าชื่อพี่ทรง ก็แล้วกันน่ะคับ เรื่องก็มีอยู่ว่าพี่ทรงแกมีหลานชายกำพร้าอยู่คนหนึ่งชื่อตั้ม ซึ่งตั้มซึ่งอยู่ดีๆก็เกิดเป็นโรคซึมเหล้า เฮ้ยย ซึมเศร้า…ต่อมาก็เลิกกับเมียคู่ทุกข์คู่ยาก ก่อนที่จะอัปเปหิตัวเองมาพักอาศัยอยู่บ้านพี่ทรง ซึ่งปล่อยร้างเป็นที่เก็บของ ส่วนอาหารการกินก็อาศัยกินตามบ้านญาติๆ บ้างอาศัยวัดมั้งตามเรื่องตามราว…
ต่อมา ตั้มเริ่มไม่ยอมกินยา ทำให้อาการกำเริบคุมร้ายคุมดี แต่ก็ไม่เคยทำร้ายใคร มีแค่อาการเหม่อลอยเป็นครั้งคราว
ซึ่งจะมีแค่เจ๊นก สาวใหญ่วัยรุ่นแม่ที่เกิดสงสารจึงหยิบยื่นน้ำใจจ้างให้มาช่วยงานในไร่เก็บพริก เก็บผัก และหยิบยื่นอาหารการกินให้เป็นประจำ ด้วยความอารีย์ของเจ๊นก บังเกิดให้เกิดความเข้าใจผิดของตั้ม ที่คิดว่าเจ๊นก สาวใหญ่รุ่นแม่ได้มีใจผูกสมัครรักตน
เมื่อความรักแน่นสุ่มอก ตั้มจึงรวบรวมความกล้า สารภาพความในใจต่อเจ๊นกในวันหนึ่ง เอ็งจะบ้าเหรอ ไอ้ตั้ม เจ๊รุ่นแม่เอ็งแล้วน่ะ และเจ๊ก็มีผัวอยู่แล้ว เจ๊จะไปคิดแบบนั้นกับเอ็งได้ไง ฉันน่ะรักเอ็งเหมือนลูกเหมือนหลานตั้มเอย ที่เจ๊ทำแบบนี้เพราะสงสารเอ็ง เอ็งอย่ามาคิดอะไรที่เป็นอกุศล แบบนี้เลย เจ๊ขอล่ะ เจ๊นกพูดก่อนที่จะเดินจากไป
ตั้มยืนนิ่งเป็นหุ่นปั้นโดยไม่รู้สึกรู้สากับสายฝนที่กระหน่ำถางโถมใส่ตั้มเหมือนจะพยายามช่วยกลบเกลือนน้ำตา เจ็บใจดั่งไฟสุ่มทรวงทะลวงอกฉัน เมื่อเธอมาตัดสัมพันธ์เอาเมื่อสายไป เสียงเพลงแว่วๆมาจากเสียงตามสายประจำหมู่บ้านมาแต่ไกลเหมือนปลอบใจตั้ม
เจ๊ๆ เจ๊ออกมาพบฉันหน่อย ตั้มยืนเรียกเจ๊นกอยู่รั้วหน้าบ้าน “เอาแล้วไง มันบุกถึงที่เลย ข้าเคยบอกเอ็งแล้วอย่าไปยุ่งกับมัน” ตาอ่ำผัวเจ๊นกพูดหลังจากฟังเรื่องราวจากเมียรัก “แล้วแกจะเอายังไง จะออกไปเจอมันหน่อยมั้ย” ตาอ่ำถามต่อ… “ก็ตอนนั้นฉันสงสารมันนี้พี่ ญาติพี่น้องก็ไม่ค่อยสนใจมัน แต่ตอนนี้ฉันกลัว พี่ช่วยไปไล่มันกลับไปทีเถอะน่ะ” เจ๊นกขอร้องผัว
ตาอ่ำพยักหน้า “นี่ไอ้ตั้ม เอ็งกลับไปเถอะมันดึกแล้ว เจ๊นกเขาหลับไปแล้ว” ตาอ่ำตะโกนบอกไอ้ตั้มที่ยืนอยู่ริมรั้วก่อนที่จะเดินเข้าบ้านปิดไฟ
“ถ้าเจ๊ไม่มาเจอฉัน ต่อไปนี้เจ๊จะไม่ได้เจอฉันอีก” นี้เป็นประโยคสุดท้ายที่หลุดออกมาจากปากของตั้ม ก่อนที่จะเดินหายไปในเงามืด
กรี๊ดดดดด เสียงอ้อยร้องลั่นบ้าน ปิ่นโตใส่ข้าวหลุดร่วงออกจากมือด้วยความตกใจ เมื่อพบร่างอันไร้วิญญานของตั้มที่ห้อยโตงเตงลิ้นถลนจุกปาก ตาเหลือกจนปูดโปนเป็นที่น่าสยดสยอง
หลังจากเสร็จงานศพของตั้ม พี่ทรงก็คิดที่จะขายตัวบ้านทิ้ง เพราะมีคนตายในบ้าน ถ้าแกออกจากงานมาก็คงไม่กล้าจะมาอยู่อาศัยแน่นอน แกกลัว
หลังปิดป้ายไม่นาน ก็มีคนสนใจ จึงเข้ามาดูบ้าน ซึ่งดูคนซื้อดูจะพอใจมาก แต่ขณะที่เดินผ่านห้องที่ตั้มได้ผูกคอตายนั้น เขาก็มีอาการแปลกๆ ก่อนที่จะบอกว่า เขาไม่อยากได้บ้านหลังนี้แล้ว ก่อนที่จะลุกลี้ลุกลนลากลับไป จนต่อมาได้ข่าวว่าขณะที่เดินผ่านห้องนั้นเขาก็เห็นร่างของผู้ชายคนหนึ่งห้อยโตงเตงอยู่กลางห้อง ก่อนที่มันจะตวาดใส่เขา “ออกไป จากบ้านกู” ก่อนที่ร่างนั้นจะเลือนหายไปต่อหน้าต่อตากลางวันแสกๆ
ซึ่งก็มีคนมาดูหลายราย แต่ก็ต้องเผ่นกลับไปทุกราย จนมีรายหนึ่ง ที่ยืนยันจะเอาบ้านหลังนี้เพราะบ้านมีแต่ไม้สวยๆทั้งนั้น แต่หลังจากกลับออกไป ก็เกิดอุบัติเหตุระหว่างที่เดินทางกลับ ทำให้ข้อตกลงเป็นอันยุติโดยปริยาย ทำให้พี่ทรงแกโมโหเป็นอย่างมาก จนต่อมาก็มีคนเข้ามาดูบ้านอีกครั้ง ชายคนนี้เขาไม่กลัวเรื่องที่เขาร่ำลือกัน จึงตกลงที่จะซื้อบ้านของพี่ทรงในทันที
แต่ในขณะที่คนงานกำลังเข้ารื้อบ้านหลังนั้นก็ต้องมีเหตุให้งานต้องหยุดชงักเช่นคนงานตกบันไดมั้ง ขณะงัดรื้อถอนงัดไม้ก็โดนชะแลงฟาดหัวร้างคางแตกไปมั้ง
จวบจนผ่านมาจะหนึ่งอาทิตย์บ้านก็รื้อไม่เสร็จสักที ร้อนมาถึงพี่ทรง จึงได้เดินทางไปดูการรื้อถอนด้วยตัวเอง
“โอ้ยยย” เสียงคนงานร้องดังลั่น เมื่อจู่ๆก็มีค้อนหล่นใส่หัวคนงานจนแตกเลือดแดงฉานเต็มหัว เพื่อนๆจึงรีบพาเพื่อนตนงานไปหาหมอ ทำให้การรื้อถอนในวันนั้นต้องยุติลงทันที
ด้วยความโมโหสุดขีด พี่ทรงจึงร้องตะโกนดังลั่น “ไอ้เหี๊ยตั้ม มึงเป็นอะไรนักหนา ตอนอยู่ก็ทำแต่ความเดือดร้อน ตายห่าไปแล้วก้ยังจะมาทำให้เดือดร้อนอีก บ้านก็บ้านกูไม่ใช่บ้านมึง กุจะขายหรือทำอะไรก็เรื่องของกู มึงอย่ามาขี้เสือกเรื่องของกู ถ้ามึงไม่เลิกขี้เสือก กูจะแช่งไม่ให้มึงไปผุดไปเกิดเลย ไอ้หลานเหี๊ย” ด้วยความโมโห พี่ทรงเห็นผี ตัวเท่ามดไปส่ะแล้ว
หลังสิ้นเสียงพี่ทรง ก็เกิดมีล้มวูบเข้ามาปะทะพี่ทรง จนแกล้มก้นจ้ำเบ้า ก่อนที่แกจะได้ยินเสียงแว่วข้างๆหู
“ฉันไปก็ได้ ยัยป้าใจร้ายย”
และหลังจากนั้น การรื้อถอนบ้านหลังนั้นก็ลุ่ล่วงไปด้วยดีไม่มีเหตุขัดข้องเกิดขึ้นอีกเลย
มันอาจจะเป็นแค่ความบังเอิญ หรืออาจเป็นเพราะผีก็เป็นไปได้!
ปล.คนเป็นโรคซึ่มเศร้า พวกเขาแค่อยากได้ความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใย จากคนรอบๆข้าง เมื่อมีคนมาทำดีต่อเขาทำให้เขาเกิดความเข้าใจผิดจนเกิดเรื่องเศร้าดังเช่นเรื่องขอตั้มผู้น่าสงสารคนนี้
ขออโหสิกรรมที่นำเรื่องของผู้วายชนมาเล่าสู่กันฟัง เรื่องนี้อาจเป็นอุทธาหรณ์ สอนใจได้บ้างไม่มากก็น้อย
ขอบคุณเรื่องจาก ลุงนู๋ดา ตะมุ๊ตะมิ๊